Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใน สตรีตั้งครรภ์ (Sexually…
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใน
สตรีตั้งครรภ์
(Sexually Transmitted Infections: STIs)
โรคที่ติดต่อจากคน หนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรค หรือผู้ที่ติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นทางปาก ทางช่อง คลอด หรือทางทวารหนัก นอกจากนี้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิดยังสามารถแพร่กระจายเชื้อจาก สตรีตั้งครรภ์ไปสู่ทารก เช่น หนองใน เริม เป็นต้น องค์การอนามัยโลกรายงานว่าทั่วโลกรายงานว่ามีผู้ติด เชื้อทางเพศสัมพันธ์ทั่วโลกมากกว่า 1 ล้านคนต่อวัน และมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละปีประมาณ 376 ล้านคน ซึ่งโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่พบมากเป็น 4 อันดับแรก คือ หนองในเทียม หนองในแท้ ซิฟิลิส และพยาธิ ในช่องคลอด (WHO, 2016) สำหรับประเทศไทยมีอัตราการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ประมาณ 18.63 ต่อ ประชากรแสนคน โดยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุดคือ หนองใน และซิฟิลิส
การตกขาวผิดปกติ
การตกขาวจากการติดเชื้อรา (Vulvovaginal candidiasis)
การติดเชื้อราในช่องคลอดเป็นอาการที่พบได้บ่อยประมาณร้อยละ 10 ในสตรีที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ และพบ ได้ร้อยละ 10-30 ในสตรีตั้งครรภ์ เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงขณะตั้งครรภ์ ทำให้เนื้อเยื่อและผิวหนัง อ่อนนุ่มลง บอบบางมากขึ้น จึงมีโอกาสติดเชื้อราได้มากกว่าสตรีที่ไม่ได้ตั้งครรภ์และเชื้อราที่ทำให้เกิดการ ตกขาวผิดปกติได้ถึงร้อยละ 80-90 เกิดจากเชื้อรากลุ่ม candida albicans
ปัจจัยและปัจจัยเสี่ยง
การรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อการรักษาบางชนิดอย่างต่อเนื่อง
การได้รับฮอร์โมนสเตียรอยด์ และได้รับยากดภูมิต้านทานทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง
การรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดที่มีปริมาณฮอร์โมนมาก (high dose)
ภูมิต้านทานของร่างกายถูกกดจากการเป็นโรคเอดส์ หรือการได้รับเคมีบำบัด
การควบคุมภาวะเบาหวานไม่ดี มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลเป็นอาหารที่ดีของเชื้อรา ทำให้ เชื้อราเจริญเติบโตได้เป็นอย่างด
การรับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมาก
การสวมใส่ชุดชั้นในที่แน่นเกินไป ทำให้เกิดความอับชื้น เชื้อราเจริญได้ง่าย
การใช้น้ำยาล้างทำความสะอาดช่องคลอด และปากช่องคลอดบ่อยๆ
การใส่แผ่นอนามัยโดยไม่เปลี่ยนระหว่างวัน หรือไม่สะอาด จะทำให้เกิดความอับชื้นมากขึ้น
ความเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายต่ำ
การตั้งครรภ์พบว่าขณะตั้งครรภ์ ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้น ทำให้ระดับ glycogen ในช่อง คลอดสูงขึ้นตาม
ขบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตขณะตั้งครรภ์ ภาวะความเป็นกรด-ด่าง ในช่องคลอดที่ เปลี่ยนไป ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี
อาการและอาการแสดง
ประมาณร้อยละ 20 ของผู้ติดเชื้อราจะไม่มีอาการ
มีอาการคันและระคายเคืองมากในช่องคลอดและปากช่องคลอด ปากช่องคลอดเป็นผื่นแดง ช่อง คลอดอักเสบ และบวมแดงแต่ปากมดลูกปกติ ตกขาวมีลักษณะสีขาวขุ่น อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหมือนนม ตกตะกอน (curd-liked discharge หรือ cottage-cheese vaginal discharge) ตกขาวนี้จะเกาะติดแน่นกับผนังช่องคลอด ไม่มีกลิ่น หรือมีกลิ่นอับ
อาจมีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ (dyspareunia)
มีอาการปัสสาวะลำบาก และแสบขัดตอนสุด (external dysuria)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์ ทำให้อาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดเป็นมากขึ้นเป็น 2 เท่า มีความระคายเคือง คันช่องคลอดมากขึ้น การติดเชื้อราในช่องคลอดทั้งแบบไม่มีอาการและมีอาการ ไม่มีผลเสียต่อการตั้งครรภ์
ผลกระทบต่อทารก
ทารกที่คลอดทางช่องคลอดจากมารดาที่มีการติดเชื้อราในช่องคลอด จะเป็นเชื้อราในช่องปาก (oral thrush) ได้มากกว่าปกติ 2-35 เท่า
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติประวัติอาการและอาการแสดง ระยะเวลาที่แสดงอาการ ประวัติอาการตกขาว ผิดปกติและการรักษา
การตรวจร่างกาย การตรวจภายในพบช่องคลอดบวมแดง และตกขาวมีลักษณะขุ่นรวมตัวกัน เป็นก้อนเหมือนนมตกตะกอน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 การตรวจด้วยวิธี wet mount smear จะพบเซลล์ของยีสต์ (yeast cell) และเส้นใยของ เซลล์เชื้อรา (mycelium) pH น้อยกว่า 4.5 หรือนำตกขาวไปเพาะเชื้อ (culture) ใน sabouraud dextrose agar เชื้อราจะเจริญเติบโตได้ดี เพราะมีน้ำตาล
3.2 การตรวจด้วยวิธีแกรมสเตน (gram stain) จะพบลักษณะเป็นเหมือนเส้นด้าย (gram positive pseudomycelial threads) และมีรูปร่างเหมือนยีสต์ (yeast-like form)
แนวทางการรักษา
2% Miconazole cream 5 กรัม ทาช่องคลอด 7 วัน หรือ
Miconazole 100 มิลลิกรัม 1 เม็ด เหน็บช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 7 วัน หรือ
Clotrimazole 100 มิลลิกรัม 1 เม็ด เหน็บช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 6 วัน หรือ 1%
Clotrimazole cream 5 กรัม ทางช่องคลอด 6 วัน อย่างไรก็ตามการรักษาการติดเชื้อราในช่องคลอดในขณะตั้งครรภ์นั้นรักษาให้หายขาดได้ยากต้องกำจัดปัจจัยอื่นด้วย
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์ เข้าใจสาเหตุของการติดเชื้อ
แนะนำการใช้ยาทา และยาเหน็บช่องคลอดตามแพทย์สั่งโดยการเหน็บยาในช่องคลอดอย่างมี ประสิทธิภาพ
การทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
หากอาการติดเชื้อเป็นซ้ำ ๆ หรือสามีมีอาการแสดง ควรพาสามีให้มารักษาพร้อมกัน
ระยะคลอด
สามารถให้คลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเทอโรนลดลง อาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดจะดีขึ้น
การดูแลมารดาหลังคลอดเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
เน้นการดูแลความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้สะอาดและแห้งเสมอ ชุดชั้นในต้องสะอาดและแห้ง ไม่อับชื้น
สามารถเลี้ยงดูบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยต้องล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
ทารกแรกเกิดอาจมีการติดเชื้อในช่องปาก ซึ่งจะพบมีฝ้าขาวในช่องปาก ให้ปรึกษากุมารแพทย์
การตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิ (Vaginal trichomoniasis)
เชื้อโปรโตซัวชื่อ trichomonas vaginalis ซึ่งเป็นพยาธิที่ไม่ ต้องการออกซิเจน มีรูปร่างค่อนข้างกลมป้อม มีหนวด 3-5 เส้น มีนิวเคลียสเป็นรูปวงรี เคลื่อนไหวใน ลักษณะคืบเป็นจังหวะตลอดเวลา เจริญเติบโตได้ดีในสภาวะที่เป็นด่าง pH ประมาณ 5.8-7 อุณหภูมิ
ประมาณ 37OC ซึ่งจะก่อให้เกิดการอักเสบเยื่อบุช่องคลอดชนิด squamous การติดต่อมีได้ 2 ทางคือ ทางเพศสัมพันธ์ และอวัยวะเพศสัมผัสเชื้อโดยตรง มีระยะฟักตัว 5-28 วัน
อาการและอาการแสดง
ผู้ติดเชื้อร้อยละ 10 ไม่แสดงอาการ ผู้ติดเชื้อร้อยละ 50 มักจะพบโรคคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่น ร่วมด้วย เช่น หนองใน (gonorrhea) ปากมดลูกอักเสบแบบมูกปนหนอง (mucopurulent cervicitis) หูดหงอนไก่ (condyloma acuminata) เชื้อราในช่องคลอด (vulvovaginal candidiasis) เป็นต้น
ลักษณะของตกขาวมีสีขาวปนเทา หรือสีเหลืองเขียว ตกขาวเป็นฟอง (foamy discharge) มีกลิ่น เหม็น
มีอาการระคายเคืองที่ปากช่องคลอด ในช่องคลอด ปากช่องคลอดบวมแดง และอาจทำให้ปาก มดลูกอักเสบ มีจุดเลือดออกเป็นหย่อม ๆ (strawberry spot หรือ flea bitten cervix)
อาจมีอาการปัสสาวะแสบขัดหรือบ่อย ปวดแสบปวดร้อนบริเวณต้นขาด้านใน
เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด มีความสัมพันธ์กับภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด การเจ็บครรภ์ คลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ทารกคลอดก่อนกำหนด และทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ ได้แก่ประวัติการมีตกขาวจำนวนมาก
การตรวจร่างกาย การตรวจภายในช่องคลอด พบตกขาวเป็นฟองสีเหลือเขียวอาจพบจุดเลือดออกเป็นหย่อมๆ ที่ผิวปากมดลูก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วย wet mount smear จะพบเม็ดเลือดขาวจำนวนมาก อาจพบตัว เชื้อพยาธิเคลื่อนไหวไปมา ตกขาวมีฤทธิ์เป็นด่าง ค่า pH มากกว่า 4.5
แนวทางการรักษา
ยาที่ใช้ได้ผลดีที่สุดต่อการติดเชื้อพยาธิ คือ metronidazole แต่ห้ามใช้ในไตรมาสแรก เพราะอาจ เป็น teratogen ดังนั้นยาที่สามารถใช้ในไตรมาสแรกได้อย่างปลอดภัยคือ clotriamazole 100 มิลลิกรัม สอดเข้าช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 6 วัน
หลังไตรมาสแรกไปแล้ว จะรักษาด้วย metronidazole โดยให้รับประทาน 2 กรัม ครั้งเดียว
ให้การรักษาสามีไปด้วย โดยให้ metronidazole หรือ tinidazole รับประทาน 2 กรัม ครั้งเดียว หรือ ornidazole 1.5 กรัม ครั้งเดียว
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ให้คำแนะนำและการดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
แนะนำการเหน็บยา หรือการรับประทานยาตามแผนการรักษาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
แนะนำให้สามีมารับการรักษาพร้อมกัน
แนะนำการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการสวมถุงยางอนามัย
แนะนำการรักษาความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้แห้งสะอาดเสมอ และซักชุดชั้นในให้ สะอาดตากแดดให้แห้ง
ระยะคลอด
ให้การพยาบาลผู้คลอดในระยะคลอด โดยให้คลอดทางช่อคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
แนะนำให้เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
หากอาการยังไม่ดีขึ้น ให้พบแพทย์และดูแลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกเสมอ
การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด ต้องได้รับการรักษาทั้งสามีและภรรยาให้หาย ในช่วงที่มีอาการอาจต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ และรักษาให้หาย รวมถึงแนะนำการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
การตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial vaginosis)
ในช่องคลอดโดยปกติจะมีแบคทีเรียประจำถิ่น lactobacillus ซึ่งเป็นแบคทีเรียดีทำหน้าที่ป้องกันการ เพิ่มจำนวนของแบคทีเรียชนิดอื่นและเชื้อรา แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุทำให้ช่องคลอดอักเสบมีหลายชนิด และเป็นแบคทีเรียที่ไม่ต้องใช้ออกซิเจน (anaerobes) แต่แบคทีเรียที่ทำให้ช่องคลอดอักเสบมากที่สุดชื่อ gardnerella vaginalis ติดต่อทางการมีเพศสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่สตรีที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์
อาการและอาการแสดง
มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อนปากช่องคลอด ในช่องคลอด ถ่ายปัสสาวะลำบาก แสบขัด เจ็บขณะ ร่วมเพศ ตกขาวสีขาว สีเทา หรือสีเหลือง ข้นเหนียว มีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนคาวปลา (fishy smell) โดยเฉพาะหลังการมีเพศสัมพันธ์แล้ว เนื่องจากน้ำอสุจิมีฤทธิ์เป็นด่าง ทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียแล้วมีการ ปล่อยสารเคมีออกมาทำให้มีกลิ่นเหม็นเน่า
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ถ้าไม่ได้รักษา อาจทำให้มีการติดเชื้อราได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้เชื้อแบคทีเรียยังจะคืบคลานเข้าสู่ โพรงมดลูก ท่อนำไข่ ทำให้มีการติดเชื้อในมดลูก (chorioamnionitis) ปีกมดลูกอักเสบ (salpingitis) และ เกิดการอักเสบในอุ้งเชิงกราน (pelvic inflammatory disease: PID) ได้
อาจทำให้เกิดการแท้งติดเชื้อ (septic abortion) ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด และเจ็บครรภ์ คลอดก่อนกำหนด
มารดาหลังคลอดอาจมีไข้ ปวดท้องมากและมีอาการแสดงของเยื่อบุมดลูกอักเสบ (endometritis) ทั้งหลังการคลอดปกติและหลังการผ่าตัดคลอด
ผลกระทบต่อทารก
ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย และทารกคลอดก่อนกำหนด ซึ่งอาจตรวจพบว่ามีเชื้อแบคทีเรียใน หลอดลมทำให้มีภาวะหายใจลำบาก มีแบคทีเรียในเลือด ซึ่งต้องรีบรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เป็นเวลา 72 ชั่วโมง
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ ได้แก่ ประวัติการมีตกขาวจำนวนมาก
การตรวจร่างกาย การตรวจทางช่องคลอดและการทำ pap smear จะพบเชื้อแบคทีเรียตรวจความเป็นกรด-ด่างในช่องคลอด จะได้ผลมีฤทธิ์เป็นด่าง ค่า pH มากกว่า 4.5
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 ตรวจ Wet smear โดยการหยด 10% Potassium Hydroxide (KOH) ลงไปบนตกขาว 2 หยดแล้ว คนให้เข้ากันจะได้กลิ่นเหม็นเน่าเหมือนคาวปลา และถ้านำไปส่องกล้องจุลทรรศน์จะพบเชื้อ lactobacilli ลดลง เม็ดเลือดขาวมากว่า 5 cells/OF และพบ clue cells (คือ epithelial cell ที่มี แบคทีเรีย gram-negative coccobacilli เกาะอยู่รอบๆ) มากกว่าร้อยละ 20 แสดงว่าได้ผลบวก
3.2 การเพาะเชื้อ (culture) ตกขาวใน columbia agar ที่มีเลือดเป็นส่วนผสมหรือมี 5%CO2 ใช้ เวลา 3 วันเชื้อแบคทีเรียจะโตขึ้นเป็นกลุ่มเล็ก
แนวทางการรักษา
ให้ยา metronidazole 250 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง หรืออาจให้ metronidazole 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7-10 วัน
ให้ampicillin 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ให้คำแนะนำและการดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบและเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
รักษาความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกไม่ให้อับชื้นโดยใช้น้ำธรรมดา
แนะนำให้พาสามีไปตรวจและรักษาโรคพร้อมกัน
แนะนำการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง ท้องแข็งบ่อย
ระยะคลอด
ผู้คลอดสามารถคลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ โดยให้การพยาบาลเหมือนผู้คลอดทั่วไป
ระยะหลังคลอด
ให้การดูแลเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
สามารถเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยเน้นเรื่องการล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
เน้นการทำความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ให้สะอาดและแห้งเสมอ
หากมีอาการผิดปกติให้รีบมาพบแพทย์ทันที
ซิฟิลิส (Syphilis)
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังได้รับเชื้อสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เป็นแผลถลอก หรือทางเยื่อบุต่าง ๆ ของร่างกาย ประมาณ 10-14 วัน ร่างกายจะสร้าง antibody ต่อเชื้อชนิด IgM และ IgG ขึ้นมา ขณะที่ร่างกายกำลังสร้าง antibody เชื้อจะแบ่งตัวทำให้บริเวณผิวหนังหรือบริเวณเนื้อเยื่อที่เชื้อผ่านเข้าไปจะเกิดการระคายเคือง เกิดปฏิกิริยา lymphocyte และ plasma cell reaction มาล้อมรอบเนื้อเยื่อที่มีการอักเสบทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวและบวม
อาการและอาการแสดง
ซิฟิลิสระยะแรก หรือระยะที่หนึ่ง (primary stage) หลังจากได้รับเชื้อ 10-90 วัน หรือประมาณ 3 สัปดาห์ จะเกิดแผล กลม นิ่ม ขอบนูนแข็ง ไม่เจ็บ เรียว่าแผล chancre บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก หรือในช่องคลอดและปากมดลูก ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโตแต่กดไม่เจ็บมักจะพบเพียง 1 แผล
ซิฟิลิสระยะที่สอง (secondary stage) ขณะที่แผลกำลังจะหาย หรือหลังจากแผลหายจะพบผื่น กระจายทั่วร่างกาย ฝ่ามือฝ่าเท้า เยื่อบุรวมทั้งอวัยวะสืบพันธุ์ โดยผื่นที่พบบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์จะยกนูน ร่วมกับมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ ผมร่วงเป็นหย่อมๆ ปวดศีรษะ น้ำหนักลด ซึ่งอาการในระยะนี้ จะหายได้เองแม้ไม่ได้รับการรักษา
ระยะแฝง (latent syphilis) ระยะนี้จะไม่มีอาการใด ๆ แต่กระบวนการติดเชื้อยังดำเนินอยู่และ สามารถแพร่กระจายเชื้อได้ รวมถึงอาจมีการกำเริบของโรคได้ ซึ่งระยะแฝงของซิฟิลิสจะอยู่ได้นานเป็นปี
ซิฟิลิสระยะที่ 3 หรือระยะท้ายของโรคซิฟิลิส (tertiary syphilis) ระยะนี้เชื้อจะเข้าไปทำลาย ระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เกิด aortic aneurysm และ aortic insufficiency ถ้าเชื้อเข้าสู่ระบบ ประสาทจะเกิดผิวหนังอักเสบ กระดูกผุ เยื่อบุสมองอักเสบ และเสียชีวิตในที่สุด เกิดรอยโรคที่อวัยวะ
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่ออักเสบ คลอดก่อนกำหนด และแท้งบุตร
ผลต่อทารก
ทารกคลอดก่อนกำหนด ตายคลอด ทารกแรกเกิดติดเชื้อซิฟิลิส (neonatal syphilis) ทารก พิการแต่กำเนิดโดยอาจพบความพิการของตับม้ามโต ทารกตัวบวมน้ำ ตัวเหลือง เยื่อบุส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกายเกิดการอักเสบ ผิวหนังที่ฝ่ามือฝ่าเท้าอักเสบและลอกเป็นขุย ปัญญาอ่อน เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติประวัติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อซิฟิลิส
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 ระยะที่เป็นแผลสามารถวินิจฉัยโดยการตรวจหาเชื้อ T. Pallidum จากแผล chancre
3.2 หากไม่มีแผลหรือผื่น การวินิจฉัยทำโดยการตรวจเลือด
3.3 การคัดกรองส่วนใหญ่นิยมใช้การตรวจด้วยวิธี VDRL
แนวทางการรักษา
การรักษาเป็นแนวทางเดียวกับสตรีที่ติดเชื้อซิฟิลิสขณะไม่ตั้งครรภ์
ให้ยา Penicillin G ซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาซิฟิลิสในสตรีตั้งครรภ์
การรักษาในระยะ primary, secondary และ early latent syphilis
การรักษาในระยะ late latent syphilis จะรักษาด้วย Benzathine Penicillin G Sodium 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะพก 3 สัปดาห์ติดต่อกัน
หนองใน (Gonorrhea)
เกิดจากการติดเชื้อ Neiseria gonorrheae หรือ gonococcus (GC) ซึ่งเป็น แบคทีเรียทรงกลมอยู่เป็นคู่ (gram negative diplococci) ลักษณะคล้ายเม็ดถั่ว เชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่าน ทางเยื่อเมือกต่างๆ ของอวัยวะสืบพันธุ์จากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ และสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อหนอง ในสามารถแพร่เชื้อไปยังทารกได้โดยผ่านทางแผลถลอก หรือเยื่อเมือกของร่างกายโดยเฉพาะบริเวณเยื่อบุตา
พยาธิสรีรภาพ
เมื่อเชื้อ Neiseria gonorrheae เข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปเกาะติดกับเซลล์เยื่อบุและเซลล์ขับเมือก โดย จะพยายามผ่านเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเข้าไปเพิ่มจำนวนเซลล์ในชั้น subepithelial tissue จากนั้นเชื้อ Neiseria gonorrheae จะทำปฏิกิริยากับภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้เกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อเซลล์ และเนื้อเยื่อ
ส่งผลให้เนื้อเยื่ออักเสบเป็นหนอง ซึ่งตำแหน่งที่มักพบการอักเสบคือ เยื่อเมือกบริเวณปาก มดลูก ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ
อาการและอาการแสดง
มีการอักเสบของปากมดลูกและช่องคลอดทำให้ตกขาวเป็นหนองข้นปริมาณมาก อาจพบอาการกด เจ็บบริเวณต่อมบาร์โธลิน (bartholin’s gland) หากมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะส่วนล่างจะพบอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกระปิดกระปรอย เป็นหนองข้น และปัสสาวะเป็นเลือด
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ไม่มีอาการ มีบุตรยาก กรณีที่มีอาการขณะตั้งครรภ์จะทำให้ถุงน้ำคร่ำอักเสบและติดเชื้อ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด แท้งบุตร และการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารก
ทารกแรกเกิดที่คลอดปกติผ่านทางช่องคลอดมีการติดเชื้อหนองในที่ปากมดลูก ช่องคลอด หรือ อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก โดยเฉพาะบริเวณเยื่อเมือกที่ตาของทารก ทำให้เกิดตาอักเสบ (gonococcal ophalmia neonatorum) และอาจเป็นสาเหตุให้ตาบอดได้ หากทารกแรกเกิดกลืนหรือสำลักน้ำคร่ำที่มี เชื้อหนองในเข้าไปจะทำให้ช่องปากอักเสบ หูอักเสบ กระเพาะอาหารอักเสบได
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติประวัติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อหนองใน
การตรวจร่างกาย ตรวจทางช่องคลอดจะพบหนองสีขาวขุ่น บางรายอาจพบเลือดปนหนอง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจขั้นต้นโดยการเก็บน้ำเหลืองหรือหนองจากส่วนที่มีการอักเสบ
แนวทางการรักษา
ตรวจคัดกรองขณะตั้งครรภ์ตามปกติ (VDRL)
หากพบว่ามีเชื้อให้ยา ceftriaxone, azithromycin, penicillin ได้ทั้งรับประทานและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ทารกแรกเกิดทุกรายควรได้รับยาป้ายตาคือ 1% tetracycline ointment หรือ 0.5% erythromycin ointment หรือ 1% Silver nitrate (AgNO3) หยอดตาตาทารก
ทารกที่พบว่ามีการติดเชื้อหนองในควรได้รับยาปฏิชีวนะ ceftriaxone ตามแผนการรักษาของกุมารแพทย์
การรักษาในสตรีตั้งครรภ์ควรคำนึงว่ามีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วมด้วยหรือไม่
การติดเชื้อเริม (Herpes simplex)
โรคนี้เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของแผลอวัยวะเพศ สาเหตุเกิดจาก เชื้อไวรัสคือ Herpes simplex virus (HSV) เข้าสู่ร่างกายโดยผ่านทางเยื่อบุ หรือแผลที่ผิวหนัง เชื้อ แบ่งเป็น HSV–1และ HSV–2 เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทรับความรู้สึก เชื้อนี้ สามารถถูกกระตุ้นให้กลับมาที่ผิวหนังได้อีกเป็นครั้งคราว ทำให้เกิดโรคซ้ำได้เรื่อย ๆในปัจจุบันพบว่าโรคเริมอวัยวะเพศเป็นกันมากขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ผิวหนังเป็นตุ่มน้ำใส เล็ก ๆจำนวนมาก เมื่อตุ่มน้ำแตก หนัง กำพร้าจะหลุดพร้อมกับทำให้เกิดแผลตื้น ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่แผล ขณะเดียวกันเชื้อก็จะ เดินทางไปแฝงตัวที่ปมประสาท และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ
อาการและอาการแสดง
อาการของการติดเชื้อปฐมภูมิมักเกิด 3-7 วันหลังการสัมผัสเชื้อ โดยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน และคันบริเวณที่สัมผัสโรค จากนั้นจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสๆ แล้วแตกกลายเป็นแผลอยู่ 2 สัปดาห์ ก่อนจะ ตำสะเก็ด บางรายอาจมีอการคล้ายหวัด ได้แก่ ไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลัย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อม น้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ผู้ที่เคยติดเชื้อ HSV มักจะเกิดการติดเชื้อซ้ำเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ โดยจะมี อาการเหมือนกับการติดเชื้อปฐมภูมิ แต่อาการจะไม่ค่อยรุนแรง รอยโรคจะน้อยกว่า ระยะเวลาที่เป็นน้อยกว่าและไม่ค่อยพบต่อน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อครั้งแรกขณะตั้งครรภ์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดส่วนการติดเชื้อซ้ำขณะตั้งครภร์มีผลกระทบค่อนข้างน้อย
ผลกระทบต่อทารก
ทารกมีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ทารกคลอดก่อนกำหนด หากทารกมีการติดเชื้อในขณะ ตั้งครรภ์ จะทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิดสูง ส่งผลให้ทารกเสียชีวิตได้ และหากให้คลอดทางช่องคลอด ทารกอาจติดเชื้อขณะคลอดได้
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติประวัติเกี่ยวกับการเคยติดเชื้อเริมมาก่อนหรือไม่
การตรวจร่างกายจะพบตุ่มน้ำใสหากตุ่มน้ำแตกจะพบแผลอักเสบแดงปวดแสบปวดร้อนบริเวณขอบแผลค่อนข้างแข็ง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 การเพาะเชื้อใน Hank’s medium โดยนำของเหลวที่ได้จากตุ่มน้ำหรือจากก้นแผลมาทำการเพาะเชื้อเป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูงและมีความไวมาก
3.2 การขูดเนื้อเยื่อจากแผลมาทำการย้อมและดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ (exfoliative cytology หรือ pap smear) วิธีนี้ทำได้ง่าย แต่ความไวในการตรวจพบเชื้อค่อนข้างต่ำ
3.3 การทำให้ตุ่มน้ำแตกแล้วขูดบริเวณก้นแผลมาป้ายสไลด์แล้วย้อมสี (Tzanck’s test) สามารถพบเชื้อร้อยละ 70-85
แนวทางการรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถรักษา herpes simplex ให้หายขาดได้การรักษาจึงเป็นการรักษาแบบ ประคับประคองตามอาการ
ให้ Acyclovir 200 mg รับประทานวันละ 5 ครั้ง นาน 5-7 วัน แต่หากมีอาการของระบบอื่นที่รุนแรงร่วมด้วยอาจให้ Acyclovir 5 mg/kg ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุก 8 ชั่วโมง นาน 5-7 วัน
การรักษาในระยะคลอด
3.1 กรณีที่เคยติดเชื้อเริมมาก่อน แต่ขณะคลอดตรวจไม่พบรอยโรคหรือไม่มีอาการของการติดเชื้อให้คลอดทางช่องคลอด และเฝ้าระวังทารก เพื่อดูอาการของการติดเชื้อเริม
3.2 กรณีที่พบรอยโรคขณะคลอดไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อครั้งแรก หรือติดเชื้อซ้ำ ให้คลอดโดยการผ่าตัดคลอด
หูดหงอนไก่ (Condyloma acuminate)
เกิดจากการติดเชื้อ human papilloma virus (HPV) มี ระยะฟักตัวนาน 2-3 เดือน ติดต่อจากการสัมผัสรอยโรคโดยเฉพาะทางเพศสัมพันธ์
อาการและอาการแสดง
มีรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ขนาดแตกต่างกัน มักเกิดบริเวณอับชื้น เช่น ปากช่องคลอด หรือในช่องคลอด เป็นต้น การติดเชื้อขณะตั้งครรภ์รอยโรคจะขยายใหญ่ มีผิวขรุยระคล้ายดอกกะหล่ำและยุ่ยมาก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
หากเกิดรอยโรคใหญ่อาจขัดขวางช่องทางคลอด หรือทำให้เกิดการตกเลือดหลังคลอดและมารดาหลังคลอดมีโอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูกได้
ผลต่อทารก
ทารกอาจติดเชื้อหูดหงอนไก่ระหว่างตั้งครรภ์และขณะคลอด บางรายอาจเกิด laryngeal papillomatosis ทำให้เกิดการอุดกั้นของระบบทางเดินหายใจส่วนบน เสียงเปลี่ยน (voice change) เสียงร้องไห้แหบผิดปกติ (abnormal cry)
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติ ประวัติเคยติดเชื้อหูดหงอนไก่มาก่อน
การตรวจร่างกาย จะพบรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ผิวขรุขระคล้ายดอกกะหล่ำ บริเวณปากช่องคลอด ในช่องคลอด หรือบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ควรวินิจฉัยแยกโรคออกจากซิฟิลิสและ genital cancer (CA vulva) โดยการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
แนวทางการรักษา
ทาบริเวณรอยโรคด้วย 85% trichlorracetic acid หรือ bichloroacetic acid ทุก 7-10 วัน
ใช้ยาท่าร่วมกับการจี้ laser หรือ cryosurgery หรือ electrocoagulation with curettage
แนะนำการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการอับชื้นบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ระยะคลอดหากหูดหงอนไก่มีขนาดใหญ่ อาจพิจารณาผ่าตัดคลอด
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซิฟิลิส หนองใน เริม และหูดหงอนไก่
วัตถุประสงค์
เพื่อส่งเสริมสุขภาพสตรีตั้งครรภ์และทารก และเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นแก่สตรีตั้งครรภ์และทารกในระยะตั้งครรภ์ ขณะคลอด และหลังคลอด
ระยะตั้งครรภ์
คัดกรองและประเมินภาวะสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์
แนะนำให้นำสามีมารับการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค
อธิบายให้เข้าใจถึงการดำเนินของโรค
แนะนำการปฏิบัติตัวของสตรีตั้งครรภ์และสามี
4.1 รับประทานยา ฉีดยา หรือทายาตามแผนการรักษา
4.2 หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งจนกว่าจะรักษาจนหายขาด
4.3 หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลและหนอง และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังการสัมผัสแผลหรือหนอง
4.4 กรณีมีแผลที่อวัยวะสืบพันธุ์แนะนำให้ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้ง
4.5 แนะนำเกี่ยวกับความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลการรักษาของสตรีตั้งครรภ์และสามีอย่างสม่ำเสมอ
ระยะคลอด
ดูแลผู้คลอดโดยยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
หลีกเลี่ยงการทำหัตถการทางช่องคลอด
ดูแลให้ผู้คลอดและทารกได้รับยาตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
หากไม่สามารถคลอดทางช่องคลอดได้ เตรียมผู้คลอดให้พร้อมสำหรับการผ่าตัดนำทารกออกทางหน้าท้องทั้งทางร่างกาย จิตใจ และกฎหมาย
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลมารดาหลังคลอดโดยยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อเช่นเดียวกับระยะคลอด
แนะนำมารดาหลังคลอดเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดร่างกาย เครื่องใช้ส่วนตัว
ประเมินอาการติดเชื้อของทารกแรกเกิด ได้แก่ มีไข้ อ่อนเพลีย ดูดนมไม่ดี ตัวเหลือง ชัก
แนะนำการเลี้ยงบุตร โดยล้างมือให้สะอาดก่อนจับทารกทุกครั้ง
ดูแลให้มารดาหลังคลอดและทารกได้รับยาป้องกันการติดเชื้อตามแผนการรักษา
แนะนำและดูแลมารดาหลังคลอดปกติ หรือหลังการผ่าตัดคลอด
เช่นเดียวกับมารดาหลังคลอดทั่วไป
การติดเชื้อเอชไอวีในสตรีตั้งครรภ์ (Human Immunodeficiency Virus [HIV] during pregnancy)
ในสตรีตั้งครรภ์สามารถติดต่อผ่าน ทางเลือด ทางเพศสัมพันธ์ และจากมารดาสู่ทารก องค์การอนามัยโลกกำหนดเป้าหมายเพื่อยุติการ ถ่ายทอดเชื้อ HIV จากมารดาสู่ทารกไว้ที่ร้อยละ 2 โดยประเทศไทย พ.ศ. 2558 มีอัตราการถ่ายทอดเชื้อ HIV จากมารดาสู่ทารกที่ร้อยละ 1.9 และมีนโยบายที่จะตั้งเป้าหมายให้ลดต่ำกว่าร้อยละ 1 ในปี พ.ศ. 2563 (สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, 2560)
การแพร่เชื้อจากมารดาสู่ทารก
การติดเชื้อ HIV ระหว่างตั้งครรภ์ เชื้อไวรัสสามารถผ่านทางรกโดยผ่านเซลล์ trophoblast และ macrophages
การติดเชื้อ HIV ระหว่างคลอด การติดเชื้อในทารกเกิดขึ้นขณะคลอดหรือใกล้คลอดถึงร้อยละ 65
การติดเชื้อ HIV ระยะหลังคลอด ภายหลังคลอดทารกจะติดเชื้อได้จากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของมารดา แต่ส่วนใหญ่มักจะติดเชื้อจากน้ำนมมารดา
อาการและอาการแสดง
ระยะเริ่มแรกของการติดเชื้อ HIV ระยะนี้เริ่มตั้งแต่ติดเชื้อ HIV จนกระทั่งร่างกายเริ่มสร้าง antibody กินเวลาประมาณ 1-6 สัปดาห์หลังติดเชื้อ
ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ระยะนี้ร่างกายจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แต่หากตรวจเลือดจะพบเชื้อ HIV และ antibody
ระยะติดเชื้อที่มีอาการ อาจพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ได้แก่ มีอุณหภูมิร่างกายสูง มากกว่า 37.80C เป็นพักๆ หรือติดต่อกันทุกวัน
ระยะป่วยเป็นเอดส์จะมีอาการดังต่อไปนี้ คือ ไข้ ผอม ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่ง ซีด อาจพบลิ้น หรือช่องปากเป็นฝ้าขาวจากเชื้อรา แผลเริมเรื้อรัง ผิวหนังเป็นแผลพุพอง
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV และมีปริมาณ CD4 ต่ำ มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น
ผลกระทบต่อทารก
มีโอกาสที่ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย ทารกมีขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์ และทารกตายคลอด
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
การตรวจร่างกาย โดยการตรวจร่างกายทั่วไป
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 การตรวจเชื้อ HIV (HIV viral testing)
3.2 การตรวจหา antibody ต่อเชื้อ HIV เป็นวิธีมาตรฐาน
3.3 การตรวจนับเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 lymphocyte และการตรวจวัดปริมาณ viral load
การตรวจพิเศษ การตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น ตรวจเสมหะและเอกซเรย์
การป้องกันและการรักษา
1. การให้ยาต้านไวรัสแก่สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV เพื่อลดปริมาณของเชื้อ HIV ในเลือดให้ต่ำที่สุด
1.1 กรณีที่สตรีตั้งครรภ์ไม่เคยได้รับยาต้านไวรัสมาก่อน ให้ยาต้านไวรัสทันทีเมื่อมาฝากครรภ์โดย ไม่คำนึงถึงค่า CD4 ให้ยาต้านไวรัส 3 ตัว (HAART regimen) และรับประทานไปจนการคลอดสิ้นสุด
ระยะตั้งครรภ์
สูตรแนะนำ - TDF/FTC + EFV หรือ - TDF+3TC+EFV
ระหว่างคลอด
ให้ยาเดิม + AZT 300 mg. ทุก 3 ชั่วโมง หรือ 600 mg ครั้งเดียวจน คลอดเสร็จ (ถ้า viral load < 50 cpm งดให้ AZT wfh)
ระยะหลังคลอด
มารดา ให้ยาต่อในมารดาหลัง คลอดทุกรายทารก AZT syrup 4mg/kg ทุก 12 ชั่วโมง ให้นาน 4 สัปดาห์ (เริ่มภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด)
1.2 กรณีที่สตรีตั้งครรภ์เคยได้รับยาต้านไวรัสมาก่อน
ระยะตั้งครรภ์
ให้ยาสูตรใดก็ได้ที่ทำให้ค่า viral load < 50 copies/mL กรณีที่ใช้ EFV แม้จะอยู่ในช่วงไตร มาสแรกก็สามารถใช้ยา สูตรเดิมต่อไป
ระหว่างคลอด
ให้ยาเดิม + AZT 300 mg. ทุก 3 ชั่วโมง หรือ 600 mg ครั้งเดียวจน คลอดเสร็จ (ถ้า viral load < 50 cpm งดให้ AZT wfh)
ระยะหลังคลอดมารดา
ใช้ยาสูตรเดิม หรืออาจ ปรับสูตรยาตามแนว ทางการรักษาผู้ใหญ่ทารก AZT syrup 4mg/kg ทุก 12 ชั่วโมง ให้นาน 4 สัปดาห์ (เริ่มภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด)
1.3 กรณีที่ไม่ได้มาฝากครรภ์ และไม่ได้รับยาต้านไวรัส หรือมีความเสี่่ยงสูง
ระยะตั้งครรภ์
คาดว่าจะคลอดใน 2 ชั่วโมง
ระหว่างคลอด
AZT 600 mg. ครั้งเดียว
ระยะหลังคลอด
มารดาในผู้ป่วยที่สมัครใจกิน ยาต่อหลังคลอดให้ยา ตามแนวทางการรักษา ผู้ใหญทารก AZT syrup 4mg/kg ทุก 12 ชั่วโมง + 3TC (syr) 2 mg/kg ทุก 12 ชั่วโมง + NPV (syr) 4 mg/kg ทุก 24 ชั่วโมง ให้นาน 6 สัปดาห์ (เริ่ม ภายใน 1 ชั่วโมงหลัง คลอด)
1.4 การหยุดยาหลังคลอด กรณีที่จำเป็นต้องหยุดยาหลังคลอดให้ปฏิบัติดังนี้ หากได้ยา LVP/rbased HAART ก่อนคลอดสามารถหยุดยาทุกชนิดพร้อมกันได้เลย แต่หากได้รับยา TDF/FTC + EFV หรือ TDF + 3TC + EFV ก่อนคลอด ให้หยุด EFV ก่อน โดยให้ TDF/FTC หรือ 3TC ต่ออีก 14 วัน
2. การให้ยาเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสระหว่างตั้งครรภ์ หาก CD4 < 200 cells/mm3 ป้องกัน การติดเชื้อฉวยโอกาส PCP โดยให้ยา TMP-SMX (80/400 mg) ให้กินครั้งละ 2 เม็ด ทุก 24 ชั่วโมง หรือ double strength TMP-SMX (160/800 mg) 1 เม็ด ทุก 24 ชั่วโมง
3. พิจารณาระยะเวลาที่จะให้คลอดและวิธีการคลอด
3.1 การพิจารณาให้คลอดทางช่องคลอด
3.1.1 การคลอดทางช่องคลอดจะพิจารณาสำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่มีปริมาณ viral load อยู่ในระดับต่ำ (50-999 copies/ml)
3.1.2 การพิจารณาเจาะถุงน้ำคร่ำเพื่อชักนำการคลอด
3.1.3 หลีกเลี่ยงการโกนขนบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก และหลีกเลี่ยงการทำหัตถการที่จะทำให้ได้รับบาดเจ็บ หรือทารกมีโอกาสสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งจากมารดา
3.2 การผ่าตัดคลอดก่อนการเจ็บครรภ์ (scheduled cesarean delivery)
3.3 การผ่าตัดคลอดกรณีฉุกเฉิน
4. หลังคลอดหลีกเลี่ยงการให้ยากลุ่ม ergotamine
5. หลีกเลี่ยงการใส่สายยางสวนอาหารในกระเพาะทารกโดยไม่จำเป็น
6. หลีกเลี่ยงการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา
7. ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อ HIV ทุกรายควรได้รับการดูแลรักษาโดยกุมารแพทย์ที่มีความ เชี่ยวชาญในการให้ยาต้านไวรัส
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
คัดกรองสตรีตั้งครรภ์และสามีที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ให้ข้อมูลแก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับการดำเนินของโรค
แนะนำให้มาฝากครรภ์ตามนัดทุกครั้ง
ให้ความรู้แก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับหลักมาตรฐานในการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ประเมินภาวะแทรกซ้อนจากการได้รัยยาต้านไวรัส ซึ่งภาวะแทรกซ้อนต่อมารดาที่พบได้แก่ กดไขกระดูก ซีด มีความผิดปกติทางโลหิตวิทยา
แนะนำการปฏิบัติตัวของสตรีตั้งครรภ์
7.1 รับประทานยาตามแผนการรักษา
7.2 รักษาความสะอาดของร่างกายและอวัยวะสืบพันธุ์
7.3 หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับบุคคลที่ติดเชื้อ
7.4 หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ
7.5 แนะนำเกี่ยวกับความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
ประเมินระดับความวิตกกังวล ความกลัวของสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV และเปิดโอกาสให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวได้ระบายความรู้สึก
ให้การพยาบาลด้วยท่าทีที่ปราศจากความรังเกียจ ให้กำลังใจและช่วยเหลือให้สตรีตั้งครรภ์
ระยะคลอด
ดูแลผู้คลอดโดยยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ให้การดูแลเช่นเดียวกับผู้คลอดทั่วไป
หากปริมาณ viral load ≤ 50 copies/mL แพทย์อาจพิจารณาเจาะถุงน้ำคร่ำเพื่อชักนำการคลอดก่อนเจาะ ขณะเจาะ และหลังเจาะถุงน้ำคร่ำ
ทำคลอดด้วยวิธีที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อผู้คลอดกและทารกน้อยที่สุดและหลีกเลี่ยงการใช้ สูติศาสตร์หัตถการที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
ดูแลให้ผู้คลอดและทารกได้รับยาต้านไวรัสตามแผนการรักษา
เตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการช่วยเหลือทารกแรกเกิดและรายงานกุมารแพทย์เพื่อเตรียมช่วยเหลือทารกที่มีภาวะแทรกซ้อน
ประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
ระยะหลังคลอด
ดูแลมารดาหลังคลอดโดยยึดหลัก universal precaution
ให้คำแนะนำแก่มารดาหลังคลอด
2.1 หลีกเลี่ยงเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา เพราะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ทารก
2.2 แนะนำให้ใส่เสื้อชั้นในที่คับเพื่อยับยั้งการสร้างและหลั่งน้ำนม
2.3 แนะนำวิธีป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่บุคคลอื่น การกำจัดสารคัดหลั่งอย่างถูกวิธี
2.4 อธิบายให้มารดาหลังคลอดเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลตนเองและการมาตรวจตามนัด
2.5 แนะนำการวางแผนครอบครัว โดยสามารถใช้วิธีคุมกำเนิดได้ทุกวิธีโดยต้องใช้ร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัยเสมอ
2.5.1 การใช้ห่วงอนามัยไม่เหมาะสำหรับรายที่ CD4 ต่ำ และ viral load ในเลือดสูง
2.5.2 ในมารดาหลังคลอดที่ได้รับยาต้านไวรัส EFV และ LPV/r อาจจะทำให้ประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดของยาเม็ดคุมกำเนิดลดลง
2.5.3 ไม่แนะนำให้ใช้ยาฆ่าอสุจิ (spermicides) เพราะจะทำให้เยื่อบุปากมดลูก และ ช่องคลอดเกิดการระคายเคือง ทำให้เพิ่มปริมาณไวรัสในช่องคลอด เพิ่มโอกาสการถ่ายทอดเชื้อ
2.5.4 หากมีบุตรเพียงพอแล้ว แนะนำให้ทำหมันชายหรือหญิง
2.6 อธิบายให้มารดาหลังคลอดเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการนำทารกมาตรวจเลือด
2.7 จัดให้บริการปรึกษาแก่มารดาหลังคลอดที่ติดเชื้อ HIV อย่างต่อเนื่อง