Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ - Coggle Diagram
การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การตกขาวผิดปกติ
1.การตกขาวจากการติดเชื้อรา (Vulvovaginal candidiasis)
เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงขณะตั้งครรภ์ ทำให้เนื้อเยื่อและผิวหนังอ่อนนุ่มลง บอบบางมากขึ้น จึงมีโอกาสติดเชื้อราได้มากกว่าสตรีที่ไม่ได้ตั้งครรภ์และเชื้อราที่ทำให้เกิดการตกขาวผิดปกติได้ถึงร้อยละ 80-90 เกิดจากเชื้อรากลุ่ม candida albicans ซึ่งมีระยะฟักตัว 1-4 วัน
อาการและอาการแสดง
ร้อยละ 20 ของผู้ติดเชื้อราจะไม่มีอาการ
มีอาการคันและระคายเคืองมากในช่องคลอดและปากช่องคลอด
ปัสสาวะลำบาก และแสบขัดตอนสุด (external dysuria)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์ ทำให้อาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดเป็นมากขึ้นเป็น 2 เท่าระคายเคือง คันช่องคลอดมากขึ้น
ผลกระทบต่อทารก
ทารกที่คลอดทางช่องคลอดจากมารดาที่มีการติดเชื้อราในช่องคลอด จะเป็นเชื้อราในช่องปาก (oral thrush) ได้มากกว่าปกติ 2-35 เท่า
การรักษา
2% Miconazole cream 5 กรัม ทาช่องคลอด 7 วัน
Miconazole 100 มิลลิกรัม 1 เม็ด เหน็บช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 7 วัน
Clotrimazole 100 มิลลิกรัม 1 เม็ด เหน็บช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 6 วัน
1% Clotrimazole cream 5 กรัม ทางช่องคลอด 6 วัน
2.การตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิ (Vaginal trichomoniasis)
อาการและอาการแสดง
ตกขาวมีสีขาวปนเทา หรือสีเหลืองเขียว ตกขาวเป็นฟอง (foamy discharge) มีกลิ่นเหม็น
มีอาการระคายเคืองที่ปากช่องคลอด ในช่องคลอด
อาจมีอาการปัสสาวะแสบขัดหรือบ่อย
ตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิ หรือเชื้อโปรโตซัวชื่อ trichomonas vaginalis ซึ่งเป็นพยาธิที่ไม่ต้องการออกซิเจน การติดต่อ 2 ทาง คือ ทางเพศสัมพันธ์ และอวัยวะเพศสัมผัสเชื้อโดยตรง ระยะฟักตัว 5-28 วัน
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
แนะนำการเหน็บยา หรือการรับประทานยาตามแผนการรักษาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
แนะนำให้สามีมารับการรักษาพร้อมกัน
แนะนำการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการสวมถุงยางอนามัย
ระยะคลอด
ให้คลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
แนะนำให้เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
3.การตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial vaginosis)
อาการและอาการแสดง
มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อนปากช่องคลอด
ถ่ายปัสสาวะลำบาก แสบขัด
ตกขาวสีขาว สีเทา หรือสีเหลือง ข้นเหนียว มีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนคาวปลา (fishy smell)
แนวทางการรักษา
ให้ยา metronidazole 250 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง หรืออาจให้ metronidazole 500 มิลลิกรัมวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7-10 วัน
ให้ampicillin 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
แบคทีเรียที่ทำให้ช่องคลอดอักเสบมากที่สุดชื่อ
gardnerella vaginalis ติดต่อทางการมีเพศสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่ สตรีที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็อาจพบการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ได้จากการใช้สบู่ หรือเจลอาบน้ำที่มีสารระคายเคือง
ซิฟิลิส (Syphilis)
อาการและอาการแสดง
ซิฟิลิสระยะแรก หรือระยะที่หนึ่ง (primary stage)
จะเกิดแผล กลม นิ่ม ขอบนูนแข็ง ไม่เจ็บ เรียว่าแผล chancre
ซิฟิลิสระยะที่สอง (secondary stage)
ขณะที่แผลกำลังจะหาย หรือหลังจากแผลหายจะพบผื่น
กระจายทั่วร่างกาย ฝ่ามือฝ่าเท้าโดยผื่นที่พบบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์จะยกนูน ร่วมกับมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ ผมร่วงเป็นหย่อมๆ
ระยะแฝง (latent syphilis)
ระยะนี้จะไม่มีอาการใด ๆ แต่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้ซึ่งระยะแฝงของซิฟิลิสจะอยู่ได้นานเป็นปี หากยังไม่ได้รับการรักษาจะพัฒนาไปเป็นซิฟิลิสระยะที่ 3
ซิฟิลิสระยะที่ 3 หรือระยะท้ายของโรคซิฟิลิส (tertiary syphilis)
ระยะนี้เชื้อจะเข้าไปทำลายระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เกิด aortic aneurysm และ aortic insufficiency ถ้าเชื้อเข้าสู่ระบบประสาทจะเกิดผิวหนังอักเสบ กระดูกผุ เยื่อบุสมองอักเสบ และเสียชีวิตในที่สุด
เกิดจากการติดเชื้อ Treponema pallidum (T. Pallidum) มีระยะฟักตัวประมาณ 10-90 วัน สามารถติดจากคนสู่คนโดยการ
สัมผัสโดยตรงกับแผลหรือเยื่อบุที่มีรอยถลอกเล็ก ๆ
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่ออักเสบ คลอดก่อนกำหนด และแท้งบุตร
ผลต่อทารก
ทารกคลอดก่อนกำหนด ตายคลอด ทารกแรกเกิดติดเชื้อซิฟิลิส (neonatal syphilis)
แนวทางการรักษา
1.รักษาเป็นแนวทางเดียวกับสตรีที่ติดเชื้อซิฟิลิสขณะไม่ตั้งครรภ์ โดยยึดหลักการรักษาให้หายครบถ้วน และต้องพาสามีมารักษาพร้อมกัน
2.ให้ยา Penicillin G
3.รักษาในระยะ primary, secondary และ early latent syphilis รักษาด้วย BenzathinePenicillin G Sodium 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพกครั้งเดียว
หนองใน (Gonorrhea)
เกิดจากการติดเชื้อ Neiseria gonorrheae หรือ gonococcus (GC) ซึ่งเป็นแบคทีเรียทรงกลมอยู่เป็นคู่ (gram negative diplococci)เชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อเมือกต่างๆ ของอวัยวะสืบพันธุ์จากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อและสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อหนองในสามารถแพร่เชื้อไปยังทารกได้โดยผ่านทางแผลถลอกหรือเยื่อเมือกของร่างกายโดยเฉพาะบริเวณเยื่อบุตา
อาการและอาการแสดง
มีการอักเสบของปากมดลูกและช่องคลอดทำให้ตกขาวเป็นหนองข้นปริมาณมาก
อาจพบอาการกดเจ็บบริเวณต่อมบาร์โธลิน (bartholin’s gland)
หากมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะส่วนล่างจะพบ
อาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกระปิดกระปรอย
แนวทางการรักษา
2.หากพบว่ามีเชื้อให้ยา ceftriaxone, azithromycin, penicillinควรระวังเรื่องของการเพิ่มของ blood level
3.ทารกแรกเกิดทุกรายควรได้รับยาป้ายตาคือ 1% tetracycline ointment
1.ตรวจคัดกรองขณะตั้งครรภ์ตามปกติ (VDRL)
4.ทารกที่พบว่ามีการติดเชื้อหนองในควรได้รับยาปฏิชีวนะ ceftriaxone ตามแผนการรักษาของกุมารแพทย์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
กรณีที่มีอาการขณะตั้งครรภ์จะทำให้ถุงน้ำคร่ำอักเสบและติดเชื้อ
ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด แท้งบุตร และการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารก
ทำให้เกิดตาอักเสบ (gonococcal ophalmia neonatorum) และอาจเป็นสาเหตุให้ตาบอดได้
การติดเชื้อเริม (Herpes simplex)
แนวทางการรักษา
ให้ Acyclovir 200 mg รับประทานวันละ 5 ครั้ง นาน 5-7 วัน
ยังไม่มียาที่สามารถรักษา herpes simplex ให้หายขาดได้
เกิดจากเชื้อไวรัสคือ Herpes simplex virus (HSV) เข้าสู่ร่างกายโดยผ่านทางเยื่อบุ หรือแผลที่ผิวหนัง เชื้อแบ่งเป็น HSV–1และ HSV–2 เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทรับความรู้สึกเชื้อนี้สามารถถูกกระตุ้นให้กลับมาที่ผิวหนังได้อีกเป็นครั้งคราว ทำให้เกิดโรคซ้ำได้เรื่อย ๆ
อาการและอาการแสดง
เชื้อปฐมภูมิมักเกิด 3-7 วันหลังการสัมผัสเชื้อ โดยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน และคันบริเวณที่สัมผัสโรค จากนั้นจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสๆ แล้วแตกกลายเป็นแผลอยู่ 2 สัปดาห์ ก่อนจะตำสะเก็ด
หูดหงอนไก่ (Condyloma acuminate)
เกิดจากการติดเชื้อ human papilloma virus (HPV) มีระยะฟักตัวนาน 2-3 เดือน ติดต่อจากการสัมผัสรอยโรคโดยเฉพาะทางเพศสัมพันธ์
อาการและอาการแสดง
มีรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ขนาดแตกต่างกัน มักเกิดบริเวณอับชื้นเช่น ปากช่องคลอด หรือในช่องคลอด เป็นต้นการติดเชื้อขณะตั้งครรภ์รอยโรคจะขยายใหญ่ มีผิวขรุยระคล้ายดอกกะหล่ำและ
ยุ่ยมาก
การติดเชื้อเอชไอวีในสตรีตั้งครรภ์
(Human Immunodeficiency Virus [HIV] during pregnancy)
ในสตรีตั้งครรภ์สามารถติดต่อผ่านทางเลือด ทางเพศสัมพันธ์ และจากมารดาสู่ทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV และมีปริมาณ CD4 ต่ำ มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ ฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น
ผลกระทบต่อทารก
มีโอกาสที่ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย ทารกมีขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์ และทารกตายคลอด