Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงด้านสรีระวิทยาของมารดา ในระยะหลังคลอด - Coggle Diagram
การเปลี่ยนแปลงด้านสรีระวิทยาของมารดา
ในระยะหลังคลอด
ช่องคลอด
Hymen ขาดกะรุ่งกะริ่ง เป็นติ่งเนื้อเล็กๆ เรียกว่า
carunculaemyriformes เป็นการเปลี่ยนแปลงถาวร
การเปลี่ยนแปลงของช่องคลอดจะค่อยค่อยลดขนาดลง
แต่ไม่กลับสู่สภาพเดิม
หลังคลอดช่องคลอดบางตัวลง rugae หายไป
ภายในสัปดาห์ที่ 3-4หลังคลอด ผนังช่องคลอดจะค่อยฟื้นตัวช้าๆภายใน 6-10 สัปดาห์ ผนังช่องคลอดฟื้นตัวกลับสู่สภาวะปกติหากมีเพศสัมพันธ์ก่อนอาจเกิดความเจ็บปวดได้ (dyspareunia)
ฝีเย็บ (Perineum)
แผลฝีเย็บหายเหมือนก่อนการตั้งครรภ์ประมาณ 4-6 เดือน
หลังคลอดบริเวณฝึเย็บจะร้อนแดง (erythematous) เกิด
จากการคั่งและบวมซ้ำ
บางรายมีความไม่สุขสบายปวดแผลฝีเย็บ อาจนาน 6
เดือนหลังคอด
กรณีตัดฝีเย็บหรือมีการฉีกขาดแผลฝีเย็บจะเริ่มหายภายใน
2-3 สัปดาห์
การพยาบาล
การใช้ยาแก้ปวด
Ice pack (การวางแผนน้ำแข็ง) ใน 24 ชั่ว โมงแรกหลังคลอด
Sitzbath (การนั่งแช่ก้น) ใช้บรรเทาความปวดริดสีดวงทวาร
ควรทำหลังคอด 24 ชั่วโมง
การอบแผลฝีเย็บด้วย (intro red light) ช่วยลตอาการบวม
ของแผลฝึเย็บ
ระบบทางเดินอาหารและการขับถ่าย (Gastrointestinal)
มารดาหลังคลอดจะเริ่มหิวแล้วกระหายน้ำทันทีที่คลอด
มักมีอาการท้องผูกใน 1 สัปดาห์หลัง เนื่องจากการเคลื่อนไหวลำไส้ลดลง ร่วมกับการสูญเสียเลือด
การเจ็บบริเวณเผลฝีเย็บ ทำให้ไม่กล้าแบ่งถ่ายอุจจาระจึงทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ง่าย
การพยาบาล
แนะนำให้รับประทานผักผลไม้ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และขับถ่ายเป็นเวลา
กระตุ้นให้เกิด early ambulation และบริหารร่างกายสม่ำเสมอ
หากมีอาการท้องผูก 3-4 วัน ให้ยาระบายอ่อนๆหรือสวนอุจจาระ
ดูแลบรรเทาอาการริดสีดวงทวารในช่วง 2-3 วันแรกโดยทำ hot
sitzbath นอนในท่า sim's position เพื่อช่วยการไหลเวียนของ
หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักดีขึ้น
ดูแลให้ยาเน็บทางทวารหนัก หรือให้ยาที่ทำให้อุจจาระอ่อนตัวตามแผนการรักษา
ระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine System)
หลังคลอด Hormone estrogen และ progesterone ลดลงอย่างรวดเร็ว มีการไหลเวียนเพิ่มที่เต้านม
ต่อมใต้สมองผลิต Hormone prolactin เพิ่มขึ้น ทำให้มีการสร้างน้ำนม
ระยะนี้เกิดกลไกการผลิตน้ำนม (production of milk) หลั่งน้ำนม (let- down reflex)
การพยาบาล
มารดาสูญเสียน้ำ และพลังงานในการคลอด ควรส่งเสริมให้มารดารับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพิ่มโปรตีน เกลือแร่ และวิตามิน เพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรงดีขึ้น ฟื้นฟูสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว
ส่งเสริมการดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน
ควรได้รับ calcium อย่างน้อย 1200 กรัม/วันเพื่อทดแทนการสูญเสีย calcium ในช่วง 6 เตือนแรก
มารดาหลังคลอดที่เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา ควรได้รับพลังงานจากการบริโภคอาหารประมาณ 2500-2700 kcal/day
อาหารที่ควรงดและหลีกเลี่ยง ได้แก่ ชา กาแฟ ของหมักดอง อาหารรสจัด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งควรงดอาหารสุกๆดิบๆ อาหารที่รับประทานแล้วมีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย เป็นผื่น เป็นต้น
งดการดื่มน้ำไพล เนื่องจากไพลมีคุณสมบัติทำให้มดลูกคลายตัวอาจทำให้เกิด PPH ได้
สำหรับมารดาที่รับประทานมังสวิรัติอาจได้รับวิตามินบี 12 ไม่เพียงพอ ดังนั้น อาจจำเป็นให้วิตามินบี 12 ในมารดาที่รับประทานมังสวิรัติ
มดลูก (Uterus)
การพยาบาล
อธิบายให้ทราบว่าอาการปวดมดลูกเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ใน 1-2 วันแรกหลังคลอดโดยเฉพาะมารดาครรภ์หลังที่มีอาการปวดมากกว่าครรภ์แรก
ดูแลกระเพาะปัสสาวะให้ว่าง กระตุ้นปัสสาวะทุก 3-4 ชั่วโมง
แนะนำให้นอนคว่ำใช้หมอนรองใต้ท้องน้อยทำให้มดลูกถูกกด เป็นการกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัว และน้ำคาวปลาไหลออกได้สะดวก
ห้ามประคบความร้อนบริเวณหน้าท้องในวันแรก เพราะมดลูกจะคลายตัว และทำให้เกิด PPH ตามมา
รับประทานยาแก้ปวดก่อน BF อย่างน้อย 30 นาทีหากมีอาการปวดมดลูกมาก
ส่งปรึกษาแพทย์หากมีอาการปวดมดลูกมากกว่าปกติ และนานกว่า 72 ชั่ว โมงเนื่องจากอาจมีเศษรก และก้อนเลือดค้างในโพรงมดลูก
การเปลี่ยนแปลงของมดลูก
มารดาครรภ์หลังจะมีอาการปวดมากกว่ามารดาครรภ์แรก เพราะความตึงตัวของกล้ามเนื้อมดลูกลดลง
เกิดจากการหดตัวและการคลายตัวของมดลูกสลับกัน
ขณะให้นมบุตร อาจมีการปวดมดลูกเพิ่มขึ้นจาก xytocin มดลูกยืดขยายมาก ปวดมาก เช่น ในรายที่มีการคลอดล่าช้า น้ำคร่ำมาก ครรภ์แฝดมีเศษรกหรือเยี่ยหุ้มรกเด็กค้างโพรงมดลูก
ขนาดและน้ำหนักของมดลูก
ทันทีหลังรกคลอดมดลูกจะมีขนาดลดลง
16 wks Pregnancy
ภายหลังคลอดหนักประมาณ 1000 กรัม
ยาวประมาณ 15 เชนติเมตร
กว้างประมาณ 12 เซนติเมตรและหนา
ประมาณ 8-10 เซนติเมตร
1 สัปดาห์หนัก 500 กรัม
2 สัปดาห์หนัก 3000 กรัม
6 สัปดาห์หนักประมาณ 60-80 กรัม
มดลูกเข้าอู่
ทันทีหลังรกคลอด ความสูงของยอดมดลูกจะลดลงอยู่ระดับกลางระหว่างสะดือกับกระดูกหัวเหน่าหรือสูงกว่าเล็กน้อย
1-2 เซนติมตร หลังคลอดวัดมดลูกได้ที่ระดับสะดือ มีลักษณะ
กลมแข็ง หดรัดตัวตี อาจเอียงไปด้านขวาของหน้าท้องมารดาวัดได้ประมาณ 1 นิ้วมือ (hinger-breadth) ต่ำกว่าสะตือ
ภายใน 12-24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด มดลูกจะอยู่ที่ระดับสะดือ
และจะลดระดับลงอย่างต่อเนื่อง
เฉลี่ยประมาณ 1 เซนติเมตรหรือ 0.5 ถึง 1 นิ้วฟุต
สาเหตุของมดลูกเข้าอู่
การบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก
การย่อยสลายตัวเอง
การขาดเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อมดลูก
เยื่อบุโพรงมดลูก
ระยะที่ 1 ระยะ 2-3 วันหลังคลอดสารคัดหลั่งที่ถูกขับออกจาก
แผลมีสีแดงสด เรียกว่า Lochia rubra
ระยะที่ 2 ระยะหลังคลอด 2-3 วันน้ำคาวปลาจะเป็นสีจางหรือ
คล้ำ
ระยะที่ 3 ระยะ 7-10 วันหลังคลอดน้ำคาวปลามีมูกสีเหลืองปน
น้ำคาวปลา (Lochia)
คือสิ่งที่ถูกขับออกมาจากแผลในโพรงมดลูกบริเวณตำแหน่งที่เกาะของรก
ชนิดของน้ำคาวปลา (type of lochia)
Lochia rubra (1-3 วันหลังคลอด) สีแดงสด มีปริมาณมาก อาจมีก้อนเลือดเล็กๆปน ประกอบด้วยเลือด decidua และ trophoblast ที่ถูกทำลายเซลล์เยื่อบุผิวเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว อาจมีขนอ่อนและขี้เทาของทารกที่ค้างอยู่ในโพรงมดลูกปนออกมาด้วย
Lochia serosa (4-9 วันหลังคลอด) มีปริมาณลดลง เนื่องจากเส้นเลือดเริ่มมีการอุดตันแผลเรียบ และเริ่มหายเป็นส่วนใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงที่บริเวณแผลโดยมีชั้นของเม็ดเลือดขาวปกคลุมและมี exudates มากขึ้น ประกอบด้วย serous exudetes, decidua ที่ถูกทำลาย erythrocytes,
leukocytes, cervical mucous แaะ bacteria
Lochia alba (10-21 วันหลังคลอด) สีเหลืองข้นหรือครีมขาวมีปริมาณลดลงมากประกอบด้วย leukocytes, decidua cell, epithelial cell,
cervical mucous, cholesterol crystals และ bacteria
ระบบทางเดินหายใจ
ประสิทธิภาพการทำงานของปอดลดลง
ปริมาณการใช้ออกซิเจนในร่างกายจะเพิ่มขึ้น
ระบบภูมิคุ้มกันของแม่ท้องเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
อาการและอาการแสดง
อาการทางผิวหนังที่พบคือ อาการคัน ผื่นลมพิษ หน้ำแดง เยื่อบุตาแดงน้ำตาไหล หน้าบวม
อาการทางระบบทางเดินหายใจที่พบคือ มีการหลั่งสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจเร็วขึ้น
อาการระบบหัวใจและหลอดเลือดที่พบคือ ทำให้เกิดหลอดเลือดขยายตัว การไหลของเลือดเร็วขึ้น
อาการระบบทางเดินอาหาร ที่พบคือ มีการหลั่งของเหลวในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลทำให้เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน
การพยาบาล
แนะนำผู้ป่วยและญาติทำความสะอาดร่างกายเพื่อให้ผิวหนังสะอาดเช็ดให้แห้งและใส่เสื้อผ้าที่อ่อนนุ่ม เพื่อลดการระคายเคือง
แนะนำตัดเล็บให้สั้น เพื่อป้องกันการเกิดแผล จากการเกาบริเวณที่คัน
ดูแลให้ยา Chlorpheniramine 10 มิลลิกรัมทางหลอดเลือดดำทุก 8 ชั่วโมง เพื่อยับยั้งการทำงานของฮีสตามีน