Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550, สีส้มคือแตกต่างกันระหว่างธรรมนูณสุข…
พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550
หมวด 5 ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ
ธรรมนูญสุขภาพ ปี2559 (ฉบับที่ 2)
หมวด 1 สิทธิและหน้าที่ด้านสุขภาพ
หมวด 2 การสร้างเสริมสุขภาพ
หมวด 3 การป้องกันและควบคุมโรคและปัจจัยที่คุกคามสุขภาพ
หมวด 4 การบริการสาธาณสุขและการสร้างหลักประกันคุณภาพ
หมวด 5 การส่งเสริมสนับสนุน และการใช้และพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกอื่น
หมวด 6 การคุ้มครองผู้บริโภค
หวมด 7 การสร้างองค์ความรู้ด้านสุขภาพ
หมวด 8 การเผยแพร่ความรู้และข้อมูลด้านสุขภาพ
หมวด 9 การสร้างและพัฒนาสังคมด้านสุขภาพ
หมวด 10 การเงินการคลังด้านสุขภาพ
หมวด 11 สุขภาพจิต
หมวด 12 สุขภาพทางปัญญา
หมวด 13 การอภิบาลระบบสุขภาพ
หมวด 14 ธรรมนูญสุขภาพพื่นที่
ธรรมนูญสุขภาพ ปี2552
หมวด 1 ปรัชญาและแนวคิดหลักของระบบสุขภาพ
หมวด 2 คุณลักษณะที่พึงประสงค์และเป้าหมายของระบบสุขภาพ
หมวด 3 การจัดการให้มีหลักประกันและความคุ้มครองให้เกิดสุขภาพ
หมวด 4 การเสริมสร้างสุขภาพ
หมวด 5 การป้องกันและควบคุมโรคและปัจจัยที่คุกคามสุขภาพ
หมวด 6 การบริการสาธาณสุขและการควบคุมคุณภาพ
หมวด 7 การส่งเสริมสนับสนุน การใช้และพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกอื่น
หมวด 8 การคุ้มครองผู้บริโภค
หมวด 9 การสร้างและเผยแพร่องค์คามรู้ด้านสุขภาพ
หมวด 10 การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ
หมวด 11 การสร้างและการพัฒนาบุคลากรด้านสาธารณสุข
หมวด 12 การเงินและการคลังด้านสุขภาพ
หมวดที่ 3 สำนักงาน
คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
มาตรา 26
ให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติขึ้น เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่ไม่เป็นส่วนราชการตามประมวลกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการ งบประมาณ หรือกฎหมายอื่นๆ
มาตรา 27
ให้สำนักงานมีหน้าที่และอำนาจ
มาตรา 28
รายได้ของสำนักงาน
มาตรา 29
บรรดารายได้ของสำนักงานตามมาตราที่ 28 ไม่เป็นรายได้ส่วนที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณแผ่นดิน
มาตรา 30
การเก็บรักษาและการใช้จ่ายของสำนักงาน ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารกำหนด
มาตรา 31
ให้มีเลขาธิการคนหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารงานของสำนักงาน ขึ้นตรงต่อคสช.
มาตรา 34
เลขาธิการมีหน้าที่และอำนาจ
มาตรา 37
ให้คสช. แต่งตั้งคณะกรรมการบริหาร
มาตรา 39
คณะกรรมการบริหารมีอำนาจและหน้าที่
หมวดที่ 4 สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
มาตรา 40
การจัดตั้งสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ หรือสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น หรือสนับสนุนให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ หรือสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คสช.กำหนด
มาตรา 41
ให้คสช. จัดให้มีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
มาตรา 42
ในการจัดสมัชชาสุขภาพ ให้คสช.แต่งตั้งคณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติคณะหนึ่ง มีจำนวนตามที่คสช.กำหนด
มาตรา 43
ให้คณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติมีหน้าที่ในการจัดประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ กำหนดวัน เวลา และสถานที่ในการประชุม ซึ่งต้องประกาศให้ประชาชนทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน
มาตรา 44
ผู้ใดประสงค์จะเข้าร่วมสมัชชาแห่งชาติในการประชุมครั้งใด ให้สมัครลงทะเบียนสำหรับการประชุมครั้งนั้นต่อเจ้าหน้าทีที่คณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติกำหนด ตามแบบและหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติกำหนด
มาตรา 45
ในกรณีที่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติมีข้อเสนอให้หน่วยงานของรัฐนำไปปฎิบัติหรือนำไปพิจารณาประกอบนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ ให้เสนอต่อคสช.เพื่อพิจารณาดำเนินการให้บรรลุผลตามควรแก่กรณีต่อไป
หมวด 2 คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
มาตรา 13
ให้มีคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติโดยเรียกโดยย่อว่า “คสช.”
มาตรา 14
กรรมการต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม
มาตรา 16
การเลือกกรรมการตามมาตรา 13 ให้เป็นไปตามวิธีการที่คณะกรรมการประกอบโรคศิลปะตามกฎหมายว่าด้วยการประกบโรคศิลปะ
มาตรา 17
การเลือกกรรมการตามมาตรา 13 ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการสรรหาประกาศกำหนด
มาตรา 18
การเลือกกรรมการตามมาตรา 13 ให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการ
มาตรา 19
ให้มีคณะกรรมการสรรหาคณะหนึ่งซึ่งคสช.แต่งตั้ง
มาตรา 20
ให้คณะกรรมการสรรหามีหน้าที่และอำนาจ
มาตรา 21
กรรมการตามมาตรา 13 มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี โดยกรรมการตามมาตรา 13 จะดำรงตำแหน่งเกิน 2 วาระติดต่อกันไม่ได้
มาตรา 23
นอกจากการพ้นตำแหน่งตามวาระ การมการจะพ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย, ลาออก,ถูกจำคุก, คสช.มีมติ, ขาดคุณสมบัติ
มาตรา 24
หลักเกณฑ์และวิธีการประชุมของคสช. และการปฎิบัติงานของคสช. ให้เป็นไปตามระเบียบที่คสช.กำหนด
หมวด 6 บทกำหนดโทษ
มาตรา 49
ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 7 หรือมาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 50
ให้โอนบรรดากิจการทรัพย์สิน สิทธิหนี้สิน และเงินงบประมาณของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขในส่วนของสำนักงานปฎิรูประบบสุขภาพแห่งชาติไปเป็นของสำนักงานตามพระราชบัญญัติ
มาตรา 51
ให้นำบรรดาข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการปฎิบัติงานของสำนักงานปฎิรูประบสุขภาพแห่งชาติมาใช้บังคับกับการปฎิบัติงานของสำนักงาน โดยอนุโลมจนกว่า
จะได้มีข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 52
ให้ถือว่าข้าราชการที่โอนมาตามมาตรา 50 ออกจากราชการ เพราะทางราชการเลิกหรือยุบตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญราชการ หรือกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ แล้วแต่กรณี
มาตรา 53
นำความในมาตรา 52 มาใช้บังคับกับการออกจากราชการ หรือออกจากงานของข้าราชการ หรือลูกจ้างของส่วนราชการที่สำนักงานรับเข้าทำงานด้วยโดยอนุโลมแต่ข้าราชการหรือลูกจ้างนั้นต้องแสดงความจำนงเป็นหนังสือเข้าทำงานต่อสำนักงานภายใน 1 ปีนับตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้บังคับใช้
มาตรา 54
ให้ผู้ปฎิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานปฎิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ อยู่ในวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ปฎิบัติหน้าที่เลขานุการไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งเลขาธิการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 55
ในวาระเริ่มแรก ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาตามมาตรา 19 ให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้บังคับใช้ตามหลักเกณฑ์
หมวดที่ 1 สิทธิและหน้าที่ด้านสุขภาพ
มาตรา 5
บุคคลมีสิทธิในการดํารงชีวิตในสิ่งแวดล้อมและสภาพแวดล้อมทีเอื้อต่อสุขภาพ
มาตรา 6
สุขภาพของหญิงในด้านสุขภาพทางเพศและสุขภาพของระบบเจริญพันธุ์ซึ่งมีความจําเพาะ ซับซ้อนและมีอิทธิพลต่อสุขภาพหญิงตลอดช่วงชีวิต ต้องได้รับการสร้างเสริม และคุ้มครองอย่างสอดคล้องและเหมาะสม
มาตรา 7
ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล เป็นความลับส่วนบุคคล ผู้ใดจะนำไปเปิดเผยในประการทีน่า จะทําให้บุคคลนั้นเสียหายไม่ได้ เว้นแต่การเปิดเผยนั้นเป็นไปตามความประสงค์ของบุคคลนั้นโดยตรง
มาตรา 8
ในการบริการสาธารณสุข บุคลากรด้านสาธารณสุขต้องแจ้งข้อมูลด้านสุขภาพที่เกียวข้องกับการให้บริการ ใหผู้รับบริการทราบอย่างเพียงพอที่ผู้รับบริการจะใช้ประกอบการตัดสินใจในการรับหรือไม่รับบริการใดและในกรณีทีผู้รับบริการปฏิเสธไม่รับบริการใด จะให้บริการนั้นไม่ได้
มาตรา 10
เมื่อมีกรณีที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเกิดขึ้น หน่วยงานของรัฐทีมีข้อมูลเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ต้องเปิดเผยข้อมูลนัินและวิธีป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพให้ประชาชนทราบและจัดหาข้อมูลให้โดยเร็ว
มาตรา 11
บุคคลหรือคณะบุคคลมีสิทิธร้องขอให้มีการประเมินและมีสิทธิรว่มในกระบวนการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพจากนโยบายสาธารณะ
มาตรา 12
บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขทีเป็นไปเพียงเพื่อยืด การตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตนหรือเพื่อยุติการทรมานจากอาการเจ็บป่วยได้
สีส้มคือแตกต่างกันระหว่างธรรมนูณสุขภาพ 2 ฉบับ
นายปานชนก เบิกบานดี กลุ่ม A2 ชั้นปีที่ 4 รหัสประจำตัว 61102301080 รายวิชา การพยาบาลชุมชน 2