Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ - Coggle Diagram
การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การตกขาวผิดปกติ
การตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิ (Vaginal trichomoniasis)
การประเมินและวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย การตรวจภายในช่องคลอด พบตกขาวเป็นฟองสีเหลือเขียว อาจพบจุดเลือดออกเป็นหย่อมๆ ที่ผิวปากมดลูก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วย wet mount smear จะพบเม็ดเลือดขาวจํานวนมาก อาจพบตัวเชื้อพยาธิเคลื่อนไหวไปมา ตกขาวมีฤทธิ์เป็นด่าง ค่า pH มากกว่า 4.5
การซักประวัติ ได้แก่ประวัติการมีตกขาวจํานวนมาก เป็นฟอง มีกลิ่นเหม็น ร่วมกับอาการคัน ประวัติการตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิและการรักษา
แนวทางการรักษา
หลังไตรมาสแรกไปแล้ว จะรักษาด้วย metronidazole โดยให้รับประทาน 2 กรัม ครั้งเดียว
ให้การรักษาสามีไปด้วย โดยให้ metronidazole หรือ tinidazole รับประทาน 2กรัม ครั้งเดียว หรือ ornidazole 1.5 กรัม ครั้งเดียว
ยาที่ใช้ได้ผลดีที่สุดต่อการติดเชื้อพยาธิ คือ metronidazole แต่ห้ามใช้ในไตรมาสแรก เพราะอาจเป็น teratogen ดังนั้นยาที่สามารถใช้ในไตรมาสแรกได้อย่างปลอดภัยคือ clotriamazole 100 มิลลิกรัม สอดเข้าช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 6 วัน
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด มีความสัมพันธ์กับภาวะถุงน้ําคร่ําแตกก่อนกําหนด การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนด
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ทารกคลอดก่อนกําหนด และทารกแรกเกิดมีน้ําหนักตัวน้อย
การพยาบาล
ระยะคลอด
ให้การพยาบาลผู้คลอดในระยะคลอด โดยให้คลอดทางช่อคลอดได้ตามปก
ระยะหลังคลอด
แนะนําให้เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
หากอาการยังไม่ดีขึ้น ให้พบแพทย์และดูแลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกเสมอ
ให้การพยาบาลเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด ต้องได้รับการรักษาทั้งสามีและภรรยาให้หาย ในช่วงที่มีอาการ อาจต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ และรักษาให้หาย รวมถึงแนะนําการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
ระยะตั้งครรภ์
แนะนําให้สามีมารับการรักษาพร้อมกัน
แนะนําให้สามีมารับการรักษาพร้อมกัน
แนะนําการเหน็บยา หรือการรับประทานยาตามแผนการรักษาอย่างถูกต้องและสม่ําเสมอ
แนะนําการรักษาความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้แห้งสะอาดเสมอ และซักชุดชั้นในให้สะอาดตากแดดให้แห้ง
ให้คําแนะนําและการดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
อาการและอาการแสดง
มีอาการระคายเคืองที่ปากช่องคลอด ในช่องคลอด ปากช่องคลอดบวมแดง และอาจทําให้ปากมดลูกอักเสบ มีจุดเลือดออกเป็นหย่อม ๆ (strawberry spot หรือ flea bittencervix)
อาจมีอาการปัสสาวะแสบขัดหรือบ่อย ปวดแสบปวดร้อนบริเวณต้นขาด้านใ
. ลักษณะของตกขาวมีสีขาวปนเทา หรือสีเหลืองเขียว ตกขาวเป็นฟอง (foamy discharge) มีกลิ่นเหม็น
เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
ผู้ติดเชื้อร้อยละ 10 ไม่แสดงอาการ ผู้ติดเชื้อร้อยละ 50 มักจะพบโรคคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วมด้วย
การตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรีย(Bacterial vaginosis)
การประเมินและวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย การตรวจทางช่องคลอดและการทําpap smear จะพบเชื้อแบคทีเรียตรวจความเป็นกรด-ด่างในช่องคลอด จะได้ผลมีฤทธิ์เป็นด่าง ค่า pH มากกว่า 4.5
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจ Wet smear โดยการหยด 10% Potassium Hydroxide(KOH) ลงไปบนตกขาว 2 หยดแล้ว คนให้เข้ากันจะได้กลิ่นเหม็นเน่าเหมือนคาวปลา และถ้านําไปส่องกล้องจุลทรรศน์จะพบเชื้อ lactobacilli ลดลง เม็ดเลือดขาวมากว่า 5 cells/OF และพบ clue cells (คือ epithelial cell ที่มีแบคทีเรีย gram-negative coccobacilli เกาะอยู่รอบๆ) มากกว่าร้อยละ 20 แสดงว่าได้ผลบวก
การเพาะเชื้อ (culture) ตกขาวใน columbia agar ที่มีเลือดเป็นส่วนผสมหรือมี 5%CO2ใช้เวลา 3 วันเชื้อแบคทีเรียจะโตขึ้นเป็นกลุ่มเล็ก
การซักประวัติ ได้แก่ประวัติการมีตกขาวจํานวนมาก ปวดแสบปวดร้อนบริเวณปากช่องคลอดและในช่องคลอด ถ่ายปัสสาวะลําบา เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ประวัติการตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรียและการรักษา
แนวทางการรักษา
ให้ยา metronidazole 250 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง หรืออาจให้ metronidazole 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7-10 วัน
ให้ampicillin 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
อาจทําให้เกิดการแท้งติดเชื้อ (septic abortion)ถุงน้ําคร่ําแตกก่อนกําหนดและเจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนด
มารดาหลังคลอดอาจมีไข้ ปวดท้องมากและมีอาการแสดงของเยื่อบุมดลูกอักเสบ (endometritis) ทั้งหลังการคลอดปกติและหลังการผ่าตัดคลอด
ถ้าไม่ได้รักษา อาจทําให้มีการติดเชื้อราได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้เชื้อแบคทีเรียยังจะคืบคลานเข้าสู่โพรงมดลูก ท่อนําไข่ ทําให้มีการติดเชื้อในมดลูก (chorioamnionitis) ปีกมดลูกอักเสบ (salpingitis) และเกิดการอักเสบในอุ้งเชิงกราน (pelvic inflammatory disease: PID) ได้
ผลกระทบต่อทารก
ทารกแรกเกิดน้ําหนักตัวน้อย และทารกคลอดก่อนกําหนด ซึ่งอาจตรวจพบว่ามีเชื้อแบคทีเรียในหลอดลมทําให้มีภาวะหายใจลําบาก มีแบคทีเรียในเลือด ซึ่งต้องรีบรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เป็นเวลา 72 ชั่วโมง
การพยาบาล
ระยะคลอด
ผู้คลอดสามารถคลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ โดยให้การพยาบาลเหมือนผู้คลอดทั่วไป
ระยะหลังคลอด
สามารถเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยเน้นเรื่องการล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
เน้นการทําความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ให้สะอาดและแห้งเสมอ
ให้การดูแลเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
หากมีอาการผิดปกติให้รีบมาพบแพทย์ทันที
ระยะตั้งครรภ์
รักษาความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกไม่ให้อับชื้นโดยใช้น้ําธรรมดา หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ซึ่งอาจไปทําลายเชื้อโรคประจําถิ่นได้
แนะนําให้พาสามีไปตรวจและรักษาโรคพร้อมกัน
รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ และเน้นย้ําให้เห็นความสําคัญของการมาตรวจตามนัด
แนะนําการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
ให้คําแนะนําและการดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
หากมีอาการผิดปกติ ด ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเป็นอาการของการคลอดก่อนกําหนดได้
อาการและอาการแสดง
มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อนปากช่องคลอด ในช่องคลอด ถ่ายปัสสาวะลําบาก แสบขัด เจ็บขณะร่วมเพศ ตกขาวสีขาว สีเทา หรือสีเหลือง ข้นเหนียว มีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนคาวปลา (fishy smell) โดยเฉพาะหลังการมีเพศสัมพันธ์แล้ว เนื่องจากน้ําอสุจิมีฤทธิ์เป็นด่าง ทําปฏิกิริยากับแบคทีเรียแล้วมีการปล่อยสารเคมีออกมาทําให้มีกลิ่นเหม็นเน่า
การตกขาวจากการติดเชื้อรา (Vulvovaginal candidiasis)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์ ทําให้อาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดเป็นมากขึ้นเป็น 2 เท่า มีความระคายเคือง คันช่องคลอดมากขึ้น การติดเชื้อราในช่องคลอดทั้งแบบไม่มีอาการและมีอาการ ไม่มีผลเสียต่อการตั้งครรภ์
ผลกระทบต่อทารก
ทารกที่คลอดทางช่องคลอดจากมารดาที่มีการติดเชื้อราในช่องคลอด จะเป็นเชื้อราในช่องปาก (oral thrush) ได้มากกว่าปกติ 2-35 เท่า
การประเมินและการวินิจฉัย
การตรวจร่างกายการตรวจภายในพบช่องคลอดบวมแดง และตกขาวมีลักษณะขุ่นรวมตัวกันเป็นก้อนเหมือนนมตกตะกอน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจด้วยวิธี wet mount smear จะพบเซลล์ของยีสต์ (yeast cell) และเส้นใยของเซลล์เชื้อรา (mycelium) pH น้อยกว่า 4.5 หรือนําตกขาวไปเพาะเชื้อ (culture) ใน sabourauddextrose agar เชื้อราจะเจริญเติบโตได้ดี เพราะมีน้ําตาล
การตรวจด้วยวิธีแกรมสเตน (gram stain) จะพบลักษณะเป็นเหมือนเส้นด้าย (gram positive pseudomycelial threads) และมีรูปร่างเหมือนยีสต์ (yeast-like form)
การซักประวัติประวัติอาการและอาการแสดงระยะเวลาที่แสดงอาการ ประวัติอาการตกขาวผิดปกติและการรักษา
อาการและอาการแสดง
มีอาการคันและระคายเคืองมากในช่องคลอดและปากช่องคลอด ปากช่องคลอดเป็นผื่นแดง ช่องคลอดอักเสบ และบวมแดงแต่ปากมดลูกปกติ ตกขาวมีลักษณะสีขาวขุ่น อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหมือนนมตกตะกอน (curd-liked discharge หรือ cottage-cheese vaginal discharge) ตกขาวนี้จะเกาะติดแน่นกับผนังช่องคลอด ไม่มีกลิ่น หรือมีกลิ่นอับ
อาจมีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ (dyspareunia)
ประมาณร้อยละ 20 ของผู้ติดเชื้อราจะไม่มีอาการ
มีอาการปัสสาวะลําบาก และแสบขัดตอนสุด (external dysuria)
แนวทางการรักษา ใช้ยารักษาภายนอกเฉพาะที่ซึ่งไม่มีผลเสียทั้งต่อมารดาและทารกในครรภ์ ได้แก่
Miconazole 100 มิลลิกรัม 1 เม็ด เหน็บช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 7 วัน
Clotrimazole 100 มิลลิกรัม 1 เม็ด เหน็บช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 6วัน
2% Miconazole cream 5 กรัม ทาช่องคลอด 7วัน
1% Clotrimazole cream 5 กรัม ทางช่องคลอด 6 วัน
ปัจจัยและปัจจัยเสี่ยง
การรับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ําตาลมาก แป้งที่รับประทานเข้าไปจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ําตาล การดื่มเหล้ามาก เหล้ามีส่วนประกอบของน้ําตาลและน้ําตาลเป็นอาหารที่ดีชนิดหนึ่งของเชื้อรา จึงทําให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี
การสวมใส่ชุดชั้นในที่แน่นเกินไป ทําให้เกิดความอับชื้น เชื้อราเจริญได้ง่ายรวมถึงการสวมชุดชั้นในที่ทําจากใยสังเคราะห์
การควบคุมภาวะเบาหวานไม่ดี มีระดับน้ําตาลในเลือดสูง น้ําตาลเป็นอาหารที่ดีของเชื้อรา ทําให้เชื้อราเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี
การใช้น้ํายาล้างทําความสะอาดช่องคลอด และปากช่องคลอดบ่อยๆ จะทําลายเชื้อโรคประจําถิ่น ทําให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ง่าย
ภูมิต้านทานของร่างกายถูกกดจากการเป็นโรคเอดส์ หรือการได้รับเคมีบําบัด
การใส่แผ่นอนามัยโดยไม่เปลี่ยนระหว่างวัน หรือไม่สะอาด จะทําให้เกิดความอับชื้นมากขึ้น
การรับประทานยาคุมกําเนิดชนิดที่มีปริมาณฮอร์โมนมาก (high dose) ยาเม็ดคุมกําเนิดทําให้มีการเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย และกระตุ้นการเจริญเติบโตของเชื้อราได้
ความเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายต่ํา ทําให้ติดเชื้อราได้ง่ายขั้น
การได้รับฮอร์โมนสเตียรอยด์ และได้รับยากดภูมิต้านทานทําให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง
การตั้งครรภ์พบว่าขณะตั้งครรภ์ ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้น ทําให้ระดับ glycogen ในช่องคลอดสูงขึ้นตาม ซึ่งเป็นการเพิ่มสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตของเชื้อรา และเพิ่มความสามารถของเชื้อราในการเกาะติดเยื่อบุช่องคลอด นอกจากนี้ขณะตั้งครรภ์ปฏิกิริยาของ T-cell ซึ่งทําหน้าที่สร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายลดลง ส่งผลให้เชื้อราเจริญเติบโตขึ้น และทําให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุช่องคลอดชนิด squamous
การรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อการรักษาบางชนิดอย่างต่อเนื่อง ทําให้มีการทําลายเชื้อแบคทีเรีย lactobacillus ที่มีหน้าที่ฆ่าเชื้อราในช่องคลอด ทําให้มีโอกาสทําให้เชื้อราในช่องคลอดเจริญเติบโต เกิดการอักเสบในช่องคลอดและปากช่องคลอด
ขบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตขณะตั้งครรภ์ ภาวะความเป็นกรด-ด่าง ในช่องคลอดที่เปลี่ยนไป ทําให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี
การพยาบาล
ระยะคลอด
สามารถให้คลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
เน้นการดูแลความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้สะอาดและแห้งเสมอ ชุดชั้นในต้องสะอาดและแห้ง ไม่อับชื้น
สามารถเลี้ยงดูบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยต้องล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
การดูแลมารดาหลังคลอดเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
ทารกแรกเกิดอาจมีการติดเชื้อในช่องปาก ซึ่งจะพบมีฝ้าขาวในช่องปาก ให้ปรึกษากุมารแพทย์เพื่อการดูแลทารกต่อไป
ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเทอโรนลดลง อาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดจะดีขึ้น
ระยะตั้งครรภ์
แนะนําการใช้ยาทา และยาเหน็บช่องคลอดตามแพทย์สั่ง โดยการเหน็บยาในช่องคลอดอย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาติดต่อกันจนยาหมด หากอาการยังไม่ดีขึ้น หรือยังมีอาการหลงเหลืออยู่ ให้ไปพบแพทย์ เพื่อการรักษาอย่างต่อเนื่อง
การทําความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก และการทําความสะอาดชุดชั้นในต้องซักให้สะอาดและตากแดดให้แห้งเสมอ ชุดชั้นในควรเป็นผ้าฝ้ายไม่ควรใช้ไนลอนเพราะจะทําให้อับชื้น
อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์ เข้าใจสาเหตุของการติดเชื้อ และการดูแลตนเองให้มีอาการสุขสบายขึ้นจากอาการคันในช่องคลอด และปากช่องคลอด
หากอาการติดเชื้อเป็นซ้ําๆ หรือสามีมีอาการแสดง ควรพาสามีให้มารักษาพร้อมกัน
ซิฟิลิส (Syphilis)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ทําให้ผิวหนังและเนื้อเยื่ออักเสบ คลอดก่อนกําหนด และแท้งบุตร
ผลต่อทารก
ทารกคลอดก่อนกําหนด ตายคลอด ทารกแรกเกิดติดเชื้อซิฟิลิส(neonatalsyphilis)ทารกพิการแต่กําเนิดโดยอาจพบความพิการของตับม้ามโต ทารกตัวบวมน้ํา ตัวเหลือง เยื่อบุส่วนต่างๆของร่างกายเกิดการอักเสบ ผิวหนังที่ฝ่ามือฝ่าเท้าอักเสบและลอกเป็นขุย ปัญญาอ่อน เป็นโรคหัวใจแต่กําเนิด
การประเมินและวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย
กรณีที่มีอาการและอาการแสดงอาจตรวจพบไข้ต่ํา ๆครั่นเนื้อครั่นตัว ตรวจอวัยวะสืบพันธ์ภายนอกพบแผลที่มีลักษณะขอบแข็ง กดไม่เจ็บ อาจพบผื่นบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า ต่อมน้ําเหลืองที่ขาหนีบโตแต่กดไม่เจ็บ มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และน้ําหนักลด หรือบางรายอาจไม่พบอาการแสดงใด ๆ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
หากไม่มีแผลหรือผื่น การวินิจฉัยทําโดยการตรวจเลือด
การตรวจหา antibody ที่ไม่จําเพาะต่อเชื้อ (nontreponemal test) ได้แก่การตรวจ Rapid plasma Reagin (RPR), Venereal Disease Research Laboratory (VDRL) testและ the toluidine red unheated serum test หาก nontreponemal test ให้ผลบวก reactive จะยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นซิฟิลิส ต้องตรวจยืนยันด้วย treponemal test เสมอ เพราะในรายที่มีการติดเชื้ออื่นร่วมด้วย การตรวจ nontreponemal testมีโอกาสให้ผลบวกเทียม false positive ได้
การตรวจหา antibody เพื่อยืนยันการติดเชื้อซิฟิลิส ที่จําเพาะต่อเชื้อ Treponema pallium โดยตรง (treponema test) ได้แก่ Chemiluminessence microparticle immunoassay (CMIA), enzyme immunoassay (EIA), ImmunoChromatographic Strip (ICS), Treponema Pallidum Hemagglutination Assay (TPHA) และ Treponema pallidum particle agglutination assay (TPPA)การแปลผล หาก treponema test ให้ผลบวก reactive แปลผลว่าเป็นซิฟิลิส
การคัดกรองส่วนใหญ่นิยมใช้การตรวจด้วยวิธี VDRL เนื่องจากเป็นวิธีที่ให้ผลเร็ว ใช้คัดกรองในสตรีตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ครั้งแรก หากผล reactive (titer มากกว่า 1:8) จะต้องตรวจยืนยันด้วยการตรวจ treponema testโดยวิธี TPHA หรือ TPPA และหากยืนยันแล้วพบว่าผล reactive จะทําการตรวจต่อด้วยวิธี the Fluorescent treponemal antibody absorbed test for syphilis (FTA ABS) ซึ่งหากผลตรวจยืนยันเป็นบวก แสดงว่าร่างกายมีภูมิต้านทานเชื้อซิฟิลิส แต่ในกรณีที่ตรวจคัดกรองครั้งแรกผล VDRL nonreactive จะต้องตรวจซ้ําเมื่ออายุ 28-32 สัปดาห์
ระยะที่เป็นแผลสามารถวินิจฉัยโดยการตรวจหาเชื้อ T. Pallidum จากแผล chancre หรือผื่น มาตรวจด้วยกล้อง dark-field microscope ซึ่งเป็นกล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษ หากพบเชื้อ T. Pallidum จะถือว่าเป็น definition diagnosis
การซักประวัติ
ประวัติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อซิฟิลิส หรือมีประวัติเคยป่วยด้วยโรคซิฟิลิสมาก่อน หรือมีประวัติผลการตรวจซิฟิลิสได้ผลบวก รวมถึงประวัติเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อซิฟิลิส
อาการและอาการแสดง
ซิฟิลิสระยะที่สอง (secondary stage)
ขณะที่แผลกําลังจะหาย หรือหลังจากแผลหายจะพบผื่นกระจายทั่วร่างกาย ฝ่ามือฝ่าเท้า เยื่อบุรวมทั้งอวัยวะสืบพันธุ์ โดยผื่นที่พบบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์จะยกนูน ร่วมกับมีอาการไข้ ต่อมน้ําเหลืองโต เจ็บคอ ผมร่วงเป็นหย่อมๆ ปวดศีรษะ น้ําหนักลด ซึ่งอาการในระยะนี้จะหายได้เองแม้ไม่ได้รับการรักษา จากนั้นประมาณ 3-12 สัปดาห์จะเข้าสู่ระยะแฝง
ระยะแฝง (latent syphilis)
ระยะนี้จะไม่มีอาการใดๆ แต่กระบวนการติดเชื้อยังดําเนินอยู่และสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ รวมถึงอาจมีการกําเริบของโรคได้ ซึ่งระยะแฝงของซิฟิลิสจะอยู่ได้นานเป็นปี หากยังไม่ได้รับการรักษาจะพัฒนาไปเป็นซิฟิลิสระยะที่ 3
ซิฟิลิสระยะแรก หรือระยะที่หนึ่ง (primary stage)
หลังจากได้รับเชื้อ 10-90 วัน หรือประมาณ 3 สัปดาห์ จะเกิดแผล กลม นิ่ม ขอบนูนแข็ง ไม่เจ็บ เรียว่าแผล chancre บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกหรือในช่องคลอดและปากมดลูก ต่อมน้ําเหลืองบริเวณขาหนีบโตแต่กดไม่เจ็บมักจะพบเพียง 1 แผล แผลจะเป็นอยู่นานประมาณ 3-6 สัปดาห์ จากนั้นแผลจะหายได้เองแม้ไม่ได้รับการรักษา และจะเข้าสู่ซิฟิลิสระยะที่สอง
ซิฟิลิสระยะที่ 3 หรือระยะท้ายของโรคซิฟิลิส (tertiary syphilis)
ระยะนี้เชื้อจะเข้าไปทําลายระบบหัวใจและหลอดเลือด ทําให้เกิด aortic aneurysm และ aortic insufficiency ถ้าเชื้อเข้าสู่ระบบประสาทจะเกิดผิวหนังอักเสบ กระดูกผุ เยื่อบุสมองอักเสบ และเสียชีวิตในที่สุด เกิดรอยโรคที่อวัยวะภายในและกระดูกที่มีลักษณะเฉพาะเรียกว่า gumma lesion และอาจตรวจพบรูม่านตาที่ค่อนข้างเล็ก และหดเล็กลงได้เมื่อมองใกล้ แต่ไม่หดเล็กลงเมื่อถูกแสง เรียกว่า Argyll Robertson Pupil
แนวทางการรักษา
ให้ยา Penicillin Gซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาซิฟิลิสในสตรีตั้งครรภ์ และป้องกันการติดเชื้อของทารก
การรักษาในระยะ primary, secondary และ early latent syphilisรักษาด้วยBenzathine Penicillin G Sodium 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพกครั้งเดียว
การรักษาเป็นแนวทางเดียวกับสตรีที่ติดเชื้อซิฟิลิสขณะไม่ตั้งครรภ์ โดยยึดหลักการรักษาให้หาย ครบถ้วน และต้องให้สามีมารับการตรวจและรักษาพร้อมกัน
การรักษาในระยะ late latent syphilis จะรักษาด้วย Benzathine Penicillin G Sodium 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะพก 3 สัปดาห์ติดต่อกัน และภายหลังการรักษาควรตรวจ VDRL title เมื่อครบ 6 และ 12 เดือน หาก title ลดลง 4 เท่าหลังการรักษา ถือว่าตอบสนองการรักษาดี แต่หาก title เพิ่มขึ้น 4 เท่า แสดงว่ารักษาไม่หาย ต้องเริ่มรักษาใหม่
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังได้รับเชื้อสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เป็นแผลถลอก หรือทางเยื่อบุต่างๆของร่างกาย ประมาณ 10-14 วัน ร่างกายจะสร้างantibody ต่อเชื้อชนิด IgM และ IgG ขึ้นมา ขณะที่ร่างกายกําลังสร้างantibodyเชื้อจะแบ่งตัวทําให้บริเวณผิวหนังหรือบริเวณเนื้อเยื่อที่เชื้อผ่านเข้าไปจะเกิดการระคายเคือง เกิดปฏิกิริยา lymphocyte และ plasma cell reaction มาล้อมรอบเนื้อเยื่อที่มีการอักเสบทําให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวและบวม เชื้อจะแทรกเข้าไปอยู่ระหว่างผนังหลอดเลือดและทําให้หลอดเลือดอุดตัน ส่งผลให้เนื้อเยื่อที่มีการอักเสบมีเลือดมาเลี้ยงลดลง เกิดการขาดเลือดกลายเป็นเนื้อตาย และกลายเป็นแผลที่มีลักษณะเป็นตุ่มแข็ง กดไม่เจ็บ ส่วนเชื้อที่เข้าสู่กระแสเลือดจะทําให้หลอดเลือดส่วนปลายเกิดการอักเสบส่งผลให้เกิดผื่นทั่วร่างกาย ขณะเดียวกันเชื้อจะเข้าไปยังต่อมน้ําเหลืองทําให้ต่อมน้ําเหลืองโตแต่กดไม่เจ็บ ภายหลังจากรับเชื้อเข้าร่างกาย 6-8 สัปดาห์ จํานวนเชื้อที่แผลหรือที่เนื้อเยื่อจะค่อยๆ ลดลง ผื่นจะค่อยๆหายไป ส่วนบริเวณแผลจะมีพังผืดเกิดขึ้นและกลายเป็นแผลเป็น ส่วนเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณรกจะทําให้รกเกิดการอักเสบ เนื้อรกกลายเป็นเนื้อตาย และถ้าเชื้อผ่านไปยังทารกในครรภ์จะทําให้เนื้อเยื่อของทารกอักเสบและเป็นเนื้อตาย เปื่อยยุ่ย และหลุดเป็นแผล เกิดพังผืด และทําให้ทารกพิการแต่กําเนิด
หนองใน (Gonorrhea)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ไม่มีอาการ มีบุตรยาก กรณีที่มีอาการขณะตั้งครรภ์จะทําให้ถุงน้ําคร่ําอักเสบและติดเชื้อ ถุงน้ําคร่ําแตกก่อนกําหนด แท้งบุตร และการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนด
ผลกระทบต่อทารก
ทารกแรกเกิดที่คลอดปกติผ่านทางช่องคลอดมีการติดเชื้อหนองในที่ปากมดลูก ช่องคลอด หรืออวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก โดยเฉพาะบริเวณเยื่อเมือกที่ตาของทารก ทําให้เกิดตาอักเสบ (gonococcal ophalmia neonatorum) และอาจเป็นสาเหตุให้ตาบอดได้ หากทารกแรกเกิดกลืนหรือสําลักน้ําคร่ําที่มีเชื้อหนองในเข้าไปจะทําให้ช่องปากอักเสบ หูอักเสบ กระเพาะอาหารอักเสบได้
การประเมินและวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย
ตรวจทางช่องคลอดจะพบหนองสีขาวขุ่น บางรายอาจพบเลือดปนหนอง หากมีการอักเสบมากขาหนีบจะบวม กดเจ็บบริเวณต่อมบาร์โธลิน หรือต่อมข้างท่อปัสสาวะ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจขั้นต้นโดยการเก็บน้ําเหลืองหรือหนองจากส่วนที่มีการอักเสบมาย้อมสีตรวจ gram stain smear หากมีการติดเชื้อจะพบintracellular gram negative diplocooci ส่วนการตรวจเพื่อยืนยันผลทําได้โดยการเพาะเชื้อ (culture) หรือการตรวจ Nucleic acid test (NAT) เพื่อยืนยันผล หากผล positive ต่อ Neiseria gonorrheaeจะแปลผลว่ามีการติดเชื้อ
การซักประวัติ
ประวัติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อหนองในหรือมีประวัติเคยป่วยด้วยโรคหนองในมาก่อน รวมถึงประวัติเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อหนองใน
อาการและอาการแสดง
มีการอักเสบของปากมดลูกและช่องคลอดทําให้ตกขาวเป็นหนองข้นปริมาณมาก อาจพบอาการกดเจ็บบริเวณต่อมบาร์โธลิน (bartholin’s gland) หากมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะส่วนล่างจะพบอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกระปิดกระปรอย เป็นหนองข้น และปัสสาวะเป็นเลือด
แนวทางการรักษา
ทารกแรกเกิดทุกรายควรได้รับยาป้ายตาคือ 1% tetracycline ointment หรือ 0.5% erythromycin ointment หรือ 1% Silver nitrate (AgNO3)หยอดตาตาทารก หลังคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ตา
ทารกที่พบว่ามีการติดเชื้อหนองในควรได้รับยาปฏิชีวนะceftriaxone ตามแผนการรักษาของกุมารแพทย์
หากพบว่ามีเชื้อให้ยา ceftriaxone, azithromycin, penicillin ได้ทั้งรับประทานและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ทั้งนี้ควรระวังเรื่องของการเพิ่มของ blood level ระหว่างที่ได้รับยาเนื่องจากจะมีผลต่อการทํางานของหัวใจของสตรีขณะตั้งครรภ์
การรักษาในสตรีตั้งครรภ์ควรคํานึงว่ามีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วมด้วยหรือไม่ หากมีควรรักษาพร้อมกัน รวมถึงต้องตรวจและรักษาคู่นอนด้วยเช่นกัน
ตรวจคัดกรองขณะตั้งครรภ์ตามปกติ (VDRL)
พยาธิสรีรภาพ
เมื่อเชื้อ Neiseria gonorrheaeเข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปเกาะติดกับเซลล์เยื่อบุและเซลล์ขับเมือก โดยจะพยายามผ่านเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเข้าไปเพิ่มจํานวนเซลล์ในชั้น subepithelial tissue จากนั้นเชื้อ Neiseria gonorrheaeจะทําปฏิกิริยากับภูมิต้านทานของร่างกาย ทําให้เกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อเซลล์และเนื้อเยื่อ ส่งผลให้เนื้อเยื่ออักเสบเป็นหนอง ซึ่งตําแหน่งที่มักพบการอักเสบคือ เยื่อเมือกบริเวณปากมดลูก ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ ถ้าเข้าเชื้อสู่เชิงกรานจะไปทําลายถุงน้ําคร่ําทําให้ถุงน้ําคร่ําแตกก่อนกําหนด เกิดการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนด น้ําคร่ําติดเชื้อ โพรงมดลูกดักเสบ อุ้งเชิงกรานอักเสบ หากเชื้อเข้าสู่ช่องท้องจะทําให้ช่องท้องอักเสบ ตับอักเสบ และหากเข้าสู่กระแสเลือดจะทําให้ติดเชื้อในกระแสเลือด มีอาการรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากเชื้อกระจายแพร่ไปทั่วร่างกาย
การติดเชื้อเริม (Herpes simplex)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อครั้งแรกขณะตั้งครรภ์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนด ส่วนการติดเชื้อซ้ําขณะตั้งครภร์มีผลกระทบค่อนข้างน้อย
ผลกระทบต่อทารก
ทารกมีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ทารกคลอดก่อนกําหนด หากทารกมีการติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ จะทําให้เกิดความพิการแต่กําเนิดสูง ส่งผลให้ทารกเสียชีวิตได้ และหากให้คลอดทางช่องคลอดทารกอาจติดเชื้อขณะคลอดได้
การประเมินและการวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย
จะพบตุ่มน้ําใส หากตุ่มน้ําแตกจะพบแผลอักเสบ แดง ปวดแสบปวดร้อนบริเวณขอบแผลค่อนข้างแข็ง แต่ไม่ติดแน่นกับอวัยวะข้างเคียงเหมือนกับแผลจากการติดเชื้อซิฟิลิส อาจพบต่อน้ําเหลืองที่ขาหนีบโตแบบกดไม่เจ็บ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การขูดเนื้อเยื่อจากแผลมาทําการย้อมและดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ (exfoliative cytology หรือ pap smear) วิธีนี้ทําได้ง่าย แต่ความไวในการตรวจพบเชื้อค่อนข้างต่ํา
การทําให้ตุ่มน้ําแตกแล้วขูดบริเวณก้นแผลมาป้ายสไลด์แล้วย้อมสี (Tzanck’s test) สามารถพบเชื้อร้อยละ 70-85
การเพาะเชื้อใน Hank’s medium โดยนําของเหลวที่ได้จากตุ่มน้ําหรือจากก้นแผลมาทําการเพาะเชื้อ เป็นวิธีที่มีความแม่นยําสูงและมีความไวมาก
การซักประวัติ
ประวัติเกี่ยวกับการเคยติดเชื้อเริมมาก่อนหรือไม่ หรือเคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นเริมที่อวัยวะสืบพันธ์หรือไม่ รวมถึงซักประวัติเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อเ
อาการและอาการแสดง
อาการของการติดเชื้อปฐมภูมิมักเกิด 3-7 วันหลังการสัมผัสเชื้อ โดยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน และคันบริเวณที่สัมผัสโรค จากนั้นจะกลายเป็นตุ่มน้ําใสๆ แล้วแตกกลายเป็นแผลอยู่ 2 สัปดาห์ ก่อนจะตําสะเก็ด บางรายอาจมีอการคล้ายหวัด ได้แก่ ไข้ต่ําๆ อ่อนเพลัย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ําเหลืองที่ขาหนีบโต ผู้ที่เคยติดเชื้อ HSV มักจะเกิดการติดเชื้อซ้ําเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ําโดยจะมีอาการเหมือนกับการติดเชื้อปฐมภูมิ แต่อาการจะไม่ค่อยรุนแรง รอยโรคจะน้อยกว่า ระยะเวลาที่เป็นน้อยกว่า และไม่ค่อยพบต่อน้ําเหลืองที่ขาหนีบโต
แนวทางการรักษา
ให้ Acyclovir 200 mg รับประทานวันละ 5 ครั้ง นาน5-7 วัน แต่หากมีอาการของระบบอื่นที่รุนแรงร่วมด้วยอาจให้ Acyclovir 5 mg/kg ฉีดเข้าหลอดเลือดดํา ทุก 8 ชั่วโมง นาน 5-7 วัน
การรักษาในระยะคลอด
กรณีที่เคยติดเชื้อเริมมาก่อน แต่ขณะคลอดตรวจไม่พบรอยโรคหรือไม่มีอาการของการติดเชื้อ ให้คลอดทางช่องคลอด และเฝ้าระวังทารก เพื่อดูอาการของการติดเชื้อเริม
กรณีที่เคยติดเชื้อเริมมาก่อน แต่ขณะคลอดตรวจไม่พบรอยโรคหรือไม่มีอาการของการติดเชื้อ ให้คลอดทางช่องคลอด และเฝ้าระวังทารก เพื่อดูอาการของการติดเชื้อเริม
ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถรักษา herpes simplex ให้หายขาดได้ การรักษาจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะทําให้ผิวหนังเป็นตุ่มน้ําใส เล็กๆจํานวนมาก เมื่อตุ่มน้ําแตก หนังกําพร้าจะหลุดพร้อมกับทําให้เกิดแผลตื้น ทําให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่แผล ขณะเดียวกันเชื้อก็จะเดินทางไปแฝงตัวที่ปมประสาท และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ํา
หูดหงอนไก่ (Condyloma acuminate)
การประเมินและการวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย
จะพบรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ผิวขรุขระคล้ายดอกกะหล่ําบริเวณปากช่องคลอด ในช่องคลอด หรือบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ควรวินิจฉัยแยกโรคออกจากซิฟิลิสและgenital cancer (CA vulva)โดยการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา หรือตรวจ Pap smear หรือตรวจหาเชื้อ HPV โดยวิธี Polymerase Chain Reaction (PCR) หรือการตรวจ DNA (DNA probe)
การซักประวัติ
ประวัติเคยติดเชื้อหูดหงอนไก่มาก่อน หรือเคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นหูดหงอนไก่ รวมถึงอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อหูดหงอนไก่
แนวทางการรักษา
ใช้ยาท่าร่วมกับการจี้ laser หรือ cryosurgery หรือ electrocoagulation with curettage
แนะนําการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการอับชื้นบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ทาบริเวณรอยโรคด้วย 85% trichlorracetic acid หรือ bichloroacetic acid ทุก 7-10 วัน
ระยะคลอดหากหูดหงอนไก่มีขนาดใหญ่ อาจพิจารณาผ่าตัดคลอด เพื่อหลีกเลี่ยงการคลอดติดขัดและการตกเลือดหลังคลอด เพื่อป้องกันการติดเชื้อในทารกแรกเกิด
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
หากเกิดรอยโรคใหญ่อาจขัดขวางช่องทางคลอด หรือทําให้เกิดการตกเลือดหลังคลอด และมารดาหลังคลอดมีโอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูกได้
ผลต่อทารก
ทารกอาจติดเชื้อหูดหงอนไก่ระหว่างตั้งครรภ์และขณะคลอด บางรายอาจเกิด laryngeal papillomatosis ทําให้เกิดการอุดกั้นของระบบทางเดินหายใจส่วนบนเสียงเปลี่ยน (voice change) เสียงร้องไห้แหบผิดปกติ (abnormal cry)
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซิฟิลิส หนองใน เริม และหูดหงอนไก่
ระยะคลอด
หลีกเลี่ยงการทําหัตถการทางช่องคลอด หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรทําอย่างระมัดระวังและไม่ทําให้ถุงน้ําคร่ําแตก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ทารก กรณีที่ถุงน้ําคร่ําแตกนานควรรายงานแพทย์
ดูแลให้ผู้คลอดและทารกได้รับยาตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ผู้คลอดที่มีการติดเชื้อหนองใน ทารกแรกเกิดต้องได้รับการป้ายตาด้วย 1% Tetracyclin ointment หรือ 0.5% Erythromycin ointment หรือ หยอดตาทารกแรกเกิดด้วย 1% Silver nitrate (1%AgNO3) เพื่อป้องกันภาวะ opthalmia neonatarum ซึ่งการให้ยาจะทําภายหลังจากศีรษะทารกคลอดแล้ว หรือเมื่อทารกคลอดครบแล้ว
ดูแลผู้คลอดโดยยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
หากไม่สามารถคลอดทางช่องคลอดได้ เตรียมผู้คลอดให้พร้อมสําหรับการผ่าตัดนําทารกออกทางหน้าท้องทั้งทางร่างกาย จิตใจ และกฎหมาย
ระยะหลังคลอด
ประเมินอาการติดเชื้อของทารกแรกเกิด ได้แก่ มีไข้ อ่อนเพลีย ดูดนมไม่ดี ตัวเหลืองชัก หรือมีแผล herpes ตามร่างกาย ซึ่งหากทารกสัมผัสกับเชื้อเริมควรแยกทารกออกจากทารกรายอื่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับทารก
แนะนําการเลี้ยงบุตร โดยล้างมือให้สะอาดก่อนจับทารกทุกครั้ง และหากไม่มีแผลบริเวณหัวนมหรือเต้านมสามารถให้นมมารดาได้ และหากสงสัยว่าทารกอาจมีตาอักเสบ ควรรีบมาพบแพทย์
แนะนํามารดาหลังคลอดเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดร่างกาย เครื่องใช้ส่วนตัว การกําจัดสิ่งปนเปื้อนสารคัดหลั่งอย่างถูกต้อง เพื่อการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ดูแลให้มารดาหลังคลอดและทารกได้รับยาป้องกันการติดเชื้อตามแผนการรักษา
ให้การพยาบาลมารดาหลังคลอดโดยยึดหลัก universal precautionเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อเช่นเดียวกับระยะคลอด
แนะนําและดูแลมารดาหลังคลอดปกติ หรือหลังการผ่าตัดคลอด เช่นเดียวกับมารดาหลังคลอดทั่วไป และเน้นการกลับมาตรวจตามนัดหลังคลอด รวมถึงอาการผิดปกติที่ควรมาตรวจก่อนวันนัด
ระยะตั้งครรภ์
อธิบายให้เข้าใจถึงการดําเนินของโรค อันตรายของโรคต่อการตั้งครรภ์ แผนการรักษาพยาบาล การป้องกันสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
แนะนําการปฏิบัติตัวของสตรีตั้งครรภ์และสามีดังนี้
หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลและหนอง และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังการสัมผัสแผลหรือหนอง
กรณีมีแผลที่อวัยวะสืบพันธุ์แนะนําให้ทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้งหลังการขับถ่ายและอาบน้ํา รวมทั้งดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งจนกว่าจะรักษาจนหายขาด
แนะนําเกี่ยวกับความสําคัญของการมาตรวจตามนัด การสังเกตอาการผิดปกติ รวมถึงอาการผิดปกติที่ต้องมาตรวจก่อนวันนัด
รับประทานยา ฉีดยา หรือทายาตามแผนการรักษา
แนะนําให้นําสามีมารับการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค และหากมีการติดเชื้อแนะนําให้รักษาพร้อมกัน และติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลการรักษาของสตรีตั้งครรภ์และสามีอย่างสม่ําเสมอ
คัดกรองและประเมินภาวะสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์ โดยการซักประวัติโดยละเอียด ตรวจร่างกาย หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อควรส่งพบแพทย์ เพื่อให้ได้รับวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มฝากครรภ์
อาการและอาการแสดง
มีรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ขนาดแตกต่างกัน มักเกิดบริเวณอับชื้น การติดเชื้อขณะตั้งครรภ์รอยโรคจะขยายใหญ่ มีผิวขรุยระคล้ายดอกกะหล่ําและยุ่ยมาก
การติดเชื้อเอชไอวีในสตรีตั้งครรภ์ (Human Immunodeficiency Virus [HIV]during pregnancy)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV และมีปริมาณ CD4 ต่ํา มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น
ผลกระทบต่อทารก
มีโอกาสที่ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ทารกคลอดก่อนกําหนด ทารกแรกเกิดน้ําหนักตัวน้อย ทารกมีขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์ และทารกตายคลอด
การประเมินและการวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย
โดยการตรวจร่างกายทั่วไป ซึ่งหากเป็นระยะที่แสดงอาการอาจพบว่ามีไข้ ไอ ต่อมน้ําเหลืองโต มีแผลในปาก มีฝ้าในปาก ติดเชื้อราในช่องคลอด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจหา antibody ต่อเชื้อ HIV เป็นวิธีมาตรฐานสําหรับการวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV หลักการที่ใช้ ได้แก่ enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA), agglutination assay,immunochromatography และ dot immune assay ถ้าผลเป็นบวกแสดงว่ามีการติดเชื้อ HIV ในร่างกาย
การตรวจนับเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 lymphocyte และการตรวจวัดปริมาณ viral load เพื่อใช้ในการประเมินความรุนแรงของโรค เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกวิธีการคลอด เป็นแนวทางการดูแลรักษาที่เหมาะสม และติดตามการดําเนินของโรค
การตรวจเชื้อ HIV (HIV viral testing) เป็นการตรวจหาเชื้อ HIV หรือส่วนประกอบของเชื้อ ได้แก่ ตรวจหาโปรตีนชนิด p24 antigen หรือสารพันธุกรรมของเชื้อ HIV เป็นการตรวจเชิงคุณภาพ (qualitative assay) ด้วยเทคนิค nucleic acid amplification testing (NAT) ซึ่งการตรวจวิธีนี้จะสามารถวินิจฉัยการติดเชื้อในช่วงเวลาที่ไม่สามารถตรวจพบ antibody ต่อเชื้อได้ แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าผลการตรวจจะเป็นผลบวก หรือผลลบยังควรทําการตรวจหา antibody ต่อเชื้อ HIV
การซักประวัติ
เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ หรือสงสัยว่าจะติดเชื้อ ประวัติการใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดํา รวมทั้งซักประวัติอาการและอาการแสดงของโรคเอดส์
การตรวจพิเศษ
การตรวจพิเศษอื่น ๆ
อาการและอาการแสดง
ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ
ระยะนี้ร่างกายจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แต่หากตรวจเลือดจะพบเชื้อ HIV และ antibody ต่อเชื้อHIV และสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการจะนาน 5-10 ปี บางรายอาจนานมากกว่า 15 ปี
ระยะติดเชื้อที่มีอาการ
อาจพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ได้แก่ มีอุณหภูมิร่างกายสูงมากกว่า 37.80C เป็นพักๆ หรือติดต่อกันทุกวัน ท้องเดินเรื้อรังหรืออุจจาระร่วงเรื้อรัง น้ําหนักลดเกิน 10% ของน้ําหนักตัว ต่อมน้ําเหลืองโตมากกว่า 1 แห่ง เป็นงูสวัด และพบเชื้อราในปากหรือฝ้าขาว (hairy leukoplakia) ในช่องปาก
ระยะเริ่มแรกของการติดเชื้อ HIV
ระยะนี้เริ่มตั้งแต่ติดเชื้อ HIV จนกระทั่งร่างกายเริ่มสร้าง antibody กินเวลาประมาณ 1-6 สัปดาห์หลังติดเชื้อ จากนั้นจะเริ่มมีไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ําเหลืองโต บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว หรือมีฝ้าขาวในช่องปาก อาการเหล่านี้จะเป็นอยู่ 1-2 สัปดาห์ แล้วหายไปได้เอง บางรายอาจไม่มีอาการและอาการแสดงใด
ระยะป่วยเป็นเอดส์
จะมีอาการดังต่อไปนี้ คือ ไข้ ผอม ต่อมน้ําเหลืองโตหลายแห่ง ซีด อาจพบลิ้นหรือช่องปากเป็นฝ้าขาวจากเชื้อรา แผลเริมเรื้อรัง ผิวหนังเป็นแผลพุพอง ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันจะเสื่อมเต็มที่ ทําให้เชื้อโรคฉวยโอกาสเข้ามาในร่างกาย ทําให้เกิดวัณโรคปอด ปอดอักเสบ สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร เป็นมะเร็ง
การป้องกันและการรักษา
หลังคลอดหลีกเลี่ยงการให้ยากลุ่ม ergotamineกับมารดาที่ได้รับยาต้านไวรัสกบุ่ม protease inhibitors (PIs) เนื่องจากจะทําให้หลอดเลือดหดรัดตัวรุนแรง
หลีกเลี่ยงการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา โดยระยะเวลาที่ทารกจะติดเชื้อจากการได้รับนมมารดาส่วนใหญ่จะเกิดใน 6 สัปดาห์แรกหลังคลอด
พิจารณาระยะเวลาที่จะให้คลอดและวิธีการคลอด
การผ่าตัดคลอดก่อนการเจ็บครรภ์ (scheduled cesarean delivery) จะทําให้รายที่มีข้อบ่งชี้ คือ อายุครรภ์ครบ 38 สัปดาห์ มีปริมาณ viral load ≥ 1,000 copies/mL รับประทานยาไม่สม่ําเสมอ หรือมาฝากครรภ์ช้า ทําให้ได้รับยาต้านไวรัสน้อยกว่า 4 สัปดาห์ หรือไม่รู้ระดับ viral load หรือไม่เคยฝากครรภ์มาก่อน สําหรับในกรณีที่เป็นการนัดมาผ่าตัดคลอดซ้ํา (previous cesarean delivery) และปริมาณ viral load ≤ 1,000 copies/mLการนัดผ่าตัดคลอดจะกําหนดตามข้อบ่งชี้ทั่วไป
การผ่าตัดคลอดกรณีฉุกเฉิน ในสตรีตั้งครรภที่มีปริมาณ viral load ≥1,000 copies/mLหรือไม่ทราบปริมาณ viral load ในระยะเจ็บครรภ์คลอด ควรทําในรายที่มีข้อบ่งชี้ทางสูติกรรมที่จําเป็นต้องผ่าตัดคลอดเท่านั้น เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าการผ่าตัดคลอดฉุกเฉินจะช่วยลดความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อจากมารดาสู่ทารกได้มากกว่าการคลอดทางช่องคลอด และอัตราการถ่ายทอดการติดเชื้อจากมารดามาสู่ทารกไม่มีความแตกต่างกันกับการคลอดเองทางช่องคลอด
การพิจารณาให้คลอดทางช่องคลอด
การพิจารณาเจาะถุงน้ําคร่ําเพื่อชักนําการคลอด พิจารณาปริมาณ viral load ต้อง ≤50 copies/ml จึงจะไม่เสี่ยงต่อการถ่ายทอดเชื้อ
หลีกเลี่ยงการโกนขนบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก และหลีกเลี่ยงการทําหัตถการที่จะทําให้ได้รับบาดเจ็บ หรือทารกมีโอกาสสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งจากมารดา
การคลอดทางช่องคลอดจะพิจารณาสําหรับสตรีตั้งครรภ์ที่มีปริมาณ viral load อยู่ในระดับต่ํา (50-999 copies/ml) สามารถรอให้เจ็บครรภ์คลอดเองได้จนถึงอายุครรภ์ 40-42สัปดาห์
ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อ HIV ทุกรายควรได้รับการดูแลรักษาโดยกุมารแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้ยาต้านไวรัส และสามารถติดตามการได้รับยาอย่างต่อเนื่อง
การให้ยาเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสระหว่างตั้งครรภ์ หาก CD4 < 200 cells/mm3ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส PCP โดยให้ยา TMP-SMX (80/400 mg)ให้กินครั้งละ 2 เม็ด ทุก 24 ชั่วโมง หรือ double strength TMP-SMX (160/800 mg) 1 เม็ด ทุก 24 ชั่วโมง
หลีกเลี่ยงการใส่สายยางสวนอาหารในกระเพาะทารกโดยไม่จําเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดบาดแผล
การให้ยาต้านไวรัสแก่สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV เพื่อลดปริมาณของเชื้อ HIV ในเลือดให้ต่ําที่สุด คือน้อยกว่า 50 copies/ml และเพิ่มปริมาณCD4 ให้สูงที่สุด โดยการรักษาจะให้ยาต้านไวรัสหลายชนิดร่วมกัน โดยสูตรยาประกอบด้วยยาอย่างน้อย 3 ตัว(highly active anti retro therapy: HAART regimen) ก่อนให้ยาควรมีการตรวจวัดปริมาณไวรัส โดยควรตรวจวัดตั้งแต่มาฝากครรภ์ครั้งแรกและ 2-4 สัปดาห์หลังได้รับหรือเปลี่ยนยา ตรวจติดตามทุก 1 เดือน จนกระทั่งปริมาณไวรัสอยู่ในระดับที่ไม่สามารถตรวจวัดได้ จากนั้นติดตามทุก 3 เดือน และตรวจซ้ําเมื่ออายุครรภ์ 34-36 สัปดาห์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกวิธีคลอดและแนวทางการดูแลรักษาทารกแรกเกิดที่เหมาะสม โดยแนวทางการให้ยาต้านไวรัส
กรณีที่สตรีตั้งครรภ์เคยได้รับยาต้านไวรัสมาก่อ
กรณีที่ไม่ได้มาฝากครรภ์ และไม่ได้รับยาต้านไวรัส หรือมีความเสี่ยงสูง
กรณีที่สตรีตั้งครรภ์ไม่เคยได้รับยาต้านไวรัสมาก่อน ให้ยาต้านไวรัสทันทีเมื่อมาฝากครรภ์โดยไม่คํานึงถึงค่า CD4 ให้ยาต้านไวรัส 3 ตัว (HAART regimen) และรับประทานไปจนการคลอดสิ้นสุด
การหยุดยาหลังคลอด กรณีที่จําเป็นต้องหยุดยาหลังคลอดให้ปฏิบัติดังนี้ หากได้ยา LVP/r-based HAART ก่อนคลอดสามารถหยุดยาทุกชนิดพร้อมกันได้เลย แต่หากได้รับยา TDF/FTC + EFV หรือ TDF + 3TC + EFV ก่อนคลอด ให้หยุด EFV ก่อน โดยให้ TDF/FTC หรือ 3TC ต่ออีก 14 วัน
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังการติดเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกาย เชื้อ HIV จะใช้ส่วน GP120 ที่ผิวของเชื้อ HIV จับกับ CD4 receptor ของเซลล์เม็ดเลือดขาว จากนั้นเชื้อ HIV จะเข้าไปในเซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านั้น แล้วใช้ enzyme reverse transcriptaseสร้างviral DNA แทรกเข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์เม็ดเลือดขาวแล้วเพิ่มจํานวนเม็ดเลือดขาวที่มีเชื้อไวรัส HIV ทําให้ร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อ HIV จํานวนมาก ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อ HIV จะแตกสลายง่าย ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว ทําให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง เกิดภาวะ seroconversion คือ มีไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยร่างกายต่อมน้ําเหลืองอาจโต เมื่อเม็ดเลือดขาวต่ํามากเท่าใดแสดงถึงภาวะที่ร่างกายมีความเสี่ยงในการติดเชื้อฉวยโอกาสมากขึ้น โดยการติดเชื้อที่พบบ่อย ได้แก่ Pneumocystic Carinii Pneumonia (PCP) หรือวัณโรค ซึ่งเป็นสาเหตุการตายที่สําคัญ
การพยาบาล
ระยะคลอด
ทําคลอดด้วยวิธีที่ทําให้เกิดการบาดเจ็บต่อผู้คลอดกและทารกน้อยที่สุด และหลีกเลี่ยงการใช้สูติศาสตร์หัตถการที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ หากหลีกเลี่ยงการทําสูติศาสตร์หัตถการไม่ได้ ควรทําด้วยความระมัดระวังเพื่อลดการบาดเจ็บต่อผู้คลอดและทารก
ดูแลให้ผู้คลอดและทารกได้รับยาต้านไวรัสตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากมารดาไปสู่ทารก
หากปริมาณ viral load ≤ 50 copies/mL แพทย์อาจพิจารณาเจาะถุงน้ําคร่ําเพื่อชักนําการคลอด ก่อนเจาะ ขณะเจาะ และหลังเจาะถุงน้ําคร่ํา ให้การพยาบาลเช่นเดียวกับผู้คลอดที่ไม่มีการติดเชื้อ หรือกรณีที่ถุงน้ําคร่ําแตกเองขณะรอคลอด ฟังอัตราการเต้นของหัวใจทารก และรายงานแพทย์ทันที
เตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการช่วยเหลือทารกแรกเกิด และรายงานกุมารแพทย์เพื่อเตรียมช่วยเหลือทารกที่มีภาวะแทรกซ้อน เมื่อศีรษะทารกคลอดออกมาควรดูดสิ่งคัดหลั่งออกจากปากและจมูกของทารกให้มากที่สุด และทําความสะอาดร่างกายทารกแรกเกิดให้ปนเปื้อนสิ่งคัดหลั่งและเลือดของผ็คลอดน้อยที่สุด ประเมินสภาพของทารกว่าได้รับอันตรายจากการคลอดหรือไม่ พร้อมทั้งเก็บเลือดจากสายสะดือ เพื่อส่งตรวจดูการติดเชื้อ HIV
ให้การดูแลเช่นเดียวกับผู้คลอดทั่วไป ได้แก่ ประเมินสัญญาณชีพ และเสียงหัวใจทารกอย่างใกล้ชิด ติดตามความก้าวหน้าของการคลอด สังเกตความผิดปกติต่าง ๆ เตรียมตรวจ และติดตามการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้แก่ ภาวะตกเลือดหลังคลอด ภาวะติดเชื้อ ภาวะซีด ความผิดปกติทางโลหิตวิทยา และเม็ดเลือดขาว
ดูแลผู้คลอดโดยยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ พร้อมทั้งอธิบายให้ผู้คลอดที่ติดเชื้อ HIV ทราบถึงวิธีการแพร่กระจายเชื้อ และการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ระยะหลังคลอด
ดูแลมารดาหลังคลอดโดยยึดหลัก universal precaution
ให้คําแนะนําแก่มารดาหลังคลอดเพื่อป้งอกันการแพร่กระจายเชื้อ
อธิบายให้มารดาหลังคลอดเข้าใจและตระหนักถึงความสําคัญในการดูแลตนเองและการมาตรวจตามนัด
แนะนําการวางแผนครอบครัว โดยสามารถใช้วิธีคุมกําเนิดได้ทุกวิธีโดยต้องใช้ร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัยเสมอ (dual protection) โดยมีข้อแนะนําเพิ่มเติม คือ
ในมารดาหลังคลอดที่ได้รับยาต้านไวรัส EFV และ LPV/r อาจจะทําให้ประสิทธิภาพของการคุมกําเนิดของยาเม็ดคุมกําเนิดลดลง จึงควรใช้ยาเม็ดคุมกําเนิดที่มีระดับ ethinyl estradiol (EE) ≥ 30 ไมโครกรัม และใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยทุกครั้ง
ไม่แนะนําให้ใช้ยาฆ่าอสุจิ (spermicides) เพราะจะทําให้เยื่อบุปากมดลูก และช่องคลอดเกิดการระคายเคือง ทําให้เพิ่มปริมาณไวรัสในช่องคลอด เพิ่มโอกาสการถ่ายทอดเชื้อ
การใช้ห่วงอนามัยไม่เหมาะสําหรับรายที่ CD4 ต่ํา และ viral load ในเลือดสูง เพราะเสี่ยงต่อการอักเสบในอุ้งเชิงกราน
หากมีบุตรเพียงพอแล้ว แนะนําให้ทําหมันชายหรือหญิง
แนะนําวิธีป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่บุคคลอื่น การกําจัดสารคัดหลั่งอย่างถูกวิธี
อธิบายให้มารดาหลังคลอดเข้าใจและตระหนักถึงความสําคัญของการนําทารกมาตรวจเลือด เพื่อประเมินการติดเชื้อ HIV และมารับภูมิคุ้มกันโรคตามปกติ โดยทารกทุกรายที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อHIV จะต้องได้รับการตรวจ anti-HIV อีกครั้งเมื่ออายุ 18 เดือน เพื่อยืนยันประวัติการวินิจฉัย
แนะนําให้ใส่เสื้อชั้นในที่คับเพื่อยับยั้งการสร้างและหลั่งน้ํานม
จัดให้บริการปรึกษาแก่มารดาหลังคลอดที่ติดเชื้อ HIV อย่างต่อเนื่อง ภายหลังจําหน่ายออกจากโรงพยาบาลแล้ว
หลีกเลี่ยงเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา เพราะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ทารก ซึ่งในปัจจุบันกรมอนามัยให้การสนับสนุนนมผสมสําหรับทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อ HIV โดยไม่มีค่าใช้จ่ายนาน 18 เดือน
ระยะตั้งครรภ์
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ประเมินภาวะแทรกซ้อนจากการได้รัยยาต้านไวรัส ซึ่งภาวะแทรกซ้อนต่อมารดาที่พบได้แก่กดไขกระดูก ซีด มีความผิดปกติทางโลหิตวิทยา ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหารเหนื่อยง่าย ส่วนภาวะแทรกซ้อนต่อทารก ได้แก่ กดการทํางานของไขกระดูก และทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
ให้ความรู้แก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับหลักมาตรฐานในการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
แนะนําการปฏิบัติตัวของสตรีตั้งครรภ์
หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับบุคคลที่ติดเชื้อ เนื่องจากหากสตรีตั้งครรภ์ติดเชื้อจะทําให้ภูมิต้านทานลดลง
หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทําให้ร่างกายอ่อนแอ
รักษาความสะอาดของร่างกายและอวัยวะสืบพันธุ์
แนะนําเกี่ยวกับความสําคัญของการมาตรวจตามนัด การสังเกตอาการผิดปกติ รวมถึงอาการผิดปกติที่ต้องมาตรวจก่อนวันนัด
รับประทานยาตามแผนการรักษา
แนะนําให้มาฝากครรภ์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อประเมินสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ รวมทั้งประเมินอาการของโรคเอดส์
ประเมินระดับความวิตกกังวล ความกลัวของสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV และเปิดโอกาสให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวได้ระบายความรู้สึก หรือความไม่สบายใจ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกวิธีการรักษา
ให้ข้อมูลแก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับการดําเนินของโรค ความแตกต่างระหว่างการติดเชื้อ HIV กับการเป็นเอดส์ โอกาสในการแพร่กระจายเชื้อจากมารดาสู่ทารก การให้ยาต้านไวรัสเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อจากมารดาสู่ทารก และการป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาสเพื่อให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเข้าใจเกี่ยวกับโรค ลดความวิตกกังวลและให้ความร่วมมือในการรักษา
ให้การพยาบาลด้วยท่าทีที่ปราศจากความรังเกียจ ให้กําลังใจ และช่วยเหลือให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวสามารถเผชิญปัญหาและสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม ในกรณีที่มีความวิตกกังวลมาก แนะนําให้ขอรับคําปรึกษาจากแพทย์ พยาบาลผดุงครรภ์ นักจิตวิทยาเพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป
คัดกรองสตรีตั้งครรภ์และสามีที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยให้คําปรึกษาก่อนและหลังการตรวจเลือด โดยสตรีตั้งครรภ์ทุกรายควรได้รับการตรวจหาการติดเชื้อ HIV จํานวน 2 ครั้ง เมื่อผลตรวจเป็นลบ คือ เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรก และตรวจซ้ําเมื่ออายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์
การแพร่เชื้อจากมารดาสู่ทารก
การติดเชื้อ HIV ระหว่างคลอด การติดเชื้อในทารกเกิดขึ้นขณะคลอดหรือใกล้คลอดถึงร้อยละ 65 เนื่องจากระหว่างคลอดทารกจะสัมผัสกับเลือดของมารดา น้ําคร่ํา และสารคัดหลั่งในช่องคลอดของมารดา ทําให้ทารกมีโอกาสที่จะติดเชื้อ HIV จากมารดาได้สูงในระยะคลอด
การติดเชื้อ HIV ระยะหลังคลอด ภายหลังคลอดทารกจะติดเชื้อได้จากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของมารดา แต่ส่วนใหญ่มักจะติดเชื้อจากน้ํานมมารดา โดยพบอัตราการติดเชื้อในทารกที่ได้รับนมมารดาประมาณร้อยละ 7-12ดังนั้นในประเทศที่พัฒนาแล้วจึงแนะนําให้เลี้ยงทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อด้วยนมผสมแทนนมมารดา แต่ในประเทศที่ยากจนที่มารดาไม่สามารถซื้อนมผสมมาเลี้ยงทารกได้ การให้นมมารดาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แม้ว่ามารดาจะมีการติดเชื้อก็ตาม
การติดเชื้อ HIV ระหว่างตั้งครรภ์ เชื้อไวรัสสามารถผ่านทางรก โดยผ่านเซลล์ trophoblast และ macrophages เข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดของทารกในครรภ์ ทําให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อ HIV โดยพบอัตราการติดเชื้อในระยะตั้งครรภ์ประมาณร้อยละ 35