Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคเลือดในสตรีตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
โรคเลือดในสตรีตั้งครรภ์
[1]ภาวะการไม่เข้ากันของหมู่เลือดระบบ ABO
(ABO Incompatibility)
1.1)สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
1.หมู่เลือดระบบ ABO ไม่เข้ากับมารดา
2.มีอาการรุนแรงในคนผิวดํา
1.2)อาการและอาการแสดง
1.อาการเหลืองภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
2.อาจพบตับโต
3.ถ้าไม่ได้รับการรักษาเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ kernicterus
1.3)แนวทางการประเมินและวินิจฉัย
2.การตรวจร่างกายทารกที่มีจุดเลือดออกตามตัว ตับ ม้าม
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
{3.1}ตรวจวัดระดับบิลิรูบินใน serum นิยมตรวจค่า Total bilirubin ที่สันเท้าของทารก
{3.2}ตรวจนับเม็ดเลือด นับจํานวน reticulocytes และ ตรวจลักษณะรูปร่างเม็ดเลือดแด
{3.3}การตรวจหมู่เลือดของมารดาและทารกแรกเกิด
{3.4}Direct Coomb’s test เพื่อตรวจหา maternal antibodies Rh and ABO typing
1.การซักประวัติการตรวจกลุ่มเลือด และประวัติการตั้งครรภ์และการคลอดที่ผ่านมา
1.4)การพยาบาล
1.ประเมินความเสี่ยงของมารดาและทารก จากการซักประวัติการตั้งครรภ์และการคลอดที่ผ่านมา
2.อธิบายถึงสาเหตุและปัจจัยส่งเสริม ผลกระทบต่อทารกในครรภ์ การตั้งครรภ์ครั้งต่อไป การรักษาและพยาบาล
3.ตรวจร่างกายเพื่อติดตามภาวะ jaundice
และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
4.ประเมินภาวะตัวเหลืองของทารกแรกเกิด
5.กรณีที่ทารกแรกเกิดที่ได้รับการส่องไฟให้ระวังการ Burn
พลิกตัวทุก 3-4 ชั่วโมง และปิดตาทารกด้วย eye patches
[2]ภาวะการไม่เข้ากันของหมู่เลือดระบบ Rh
(Rh Incompatibility)
2.1)สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
การไม่เข้ากันของกลุ่มเลือด Rh ของมารดาและทารกในครรภ์
2.2)อาการและอาการแสดง
1.หากทารกมี hemolysis ทีรุนแรงขณะอยู่ในครรภ์ทารกจะซีดมาก
2.อาจเกิดหัวใจวายตัวบวมนํ้า (hydrops fetalis)
3.อาจเสียชีวิตในครรภ์
4.ตัวเหลืองมากจนเสียชีวิต หรือ เกิด bilirubin toxicity
2.3)ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ไม่ค่อยพบผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
2.4)ผลกระทบต่อทารก
1.พบมากในการตั้งครรภ์ที่ 2
2.ภาวะ neonatal anemia
3.Hydrops fetalis
4.พบตับและม้ามโต
5.Hyperbilirubinemia
6.Kernicterus
7.Dead fetus in uterus
8.Still birth
2.5)การประเมินและวินิจฉัย
1.การซักประวัติการตรวจกลุ่มเลือด ทั้งของสตรีตั้งครรภ์และคู่สมรส
2.การตรวจร่างกายในทารกที่มีภาวะโลหิตจาง และเป็นการตั้งครรภ์ หรือ คลอดครั้งที่ 2 ขึ้นไป
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1.ตรวจวัดระดับของ bilirubin ในทารกแรกคลอด
2.การตรวจ Coombs’ test ได้ผลบวกอย่างรุนแรง (strongly positive)
3.การตรวจความเข้มข้นของเลือด พบ hematocrit ต่ำมาก
และ reticulocyte count สูง
4.การตรวจ peripheralbloodsmear พบลักษณะของ severehemolysis
2.6)แนวทางการรักษาพยาบาล
1.เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรกควรเจาะเลือด เพื่อตรวจหาหมู่เลือด Rh typing ทุกราย
2.การตรวจหา Indirect Coomb’s test อีกครั้ง เมื่ออายุครรภ์ 28 สัปดาห์
หากไม่พบว่ามี antibodies ควรให้ RhoGAM
3.ให้คําแนะนําแก่สตรีตั้งครรภ์เข้าใจถึงแผนการรักษา
เพื่อช่วยให้ลดความกลัวและ ความวิตกกังวล
4.ระยะคลอด ควรเก็บเลือดจากสายสะดือ เพื่อส่งตรวจหาหมู่เลือด
และ Rh type ของทารก
5.การทำ Direct Coomb’s test
[3]โรคโลหิตจางจากโรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
3.1)สาเหตุ
1.ความผิดปกติทางโครงสร้างจากการเปลี่ยนแปลงการเรียงตัวของ amino acid บน polypeptide chain ทําให้เกิด Hb ที่ผิดปกติ
2.ความผิดปกติทางปริมาณจากการสร้าง globin สายใดสายหนึ่งลดลง หรือไม่สร้างเลย โดยที่โครงสร้างของ polypeptide chain ปกติ
3.2)ชนิดของโรคธาลัสซีเมีย
1.α-thalassemia เป็นความผิดปกติที่ทําให้มีการสร้าง α-globin น้อยลงหรือไม่สร้างเลย
β-thalassemia เป็นความผิดปกติที่ทําให้มีการสร้าง β-globin น้อยลงหรือไม่สร้างเลย
3.3)อาการและอาการแสดง
1.อาการรุนแรงมาก (thalassemia major) ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์หรือเสียชีวิต ไม่กี่ชั่วโมงหลังคลอด
2.อาการรุนแรงปานกลาง (thalassemia intermediate) จะมีอาการซีดปานกลาง ตับและม้ามโต ตัวเหลืองตาเหลือง
มีการเจริญเติบโตเกือบเหมือนคนปกติ
3.กลุ่มที่ไม่มีอาการ (thalassemia minor) ได้แก่ กลุ่มที่เป็นพาหะ และกลุ่ม homozygous Hb E, homozygous Hb CS
3.4)ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
1.ติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากภูมิความต้านทานต่ำ
2.เสี่ยงต่อการแท้ง
3.คลอดก่อนกำหนด
4.ภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์
3.5)ผลกระทบต่อทารก
1.ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
2.น้ําหนักแรกคลอดน้อย กว่าเกณฑ์
3.อาจพบภาวะขาดออกซิเจนในระยะคลอด
3.6)การประเมินโรคโลหิตจางจากธาลัสซีเมีย
1.การซักประวัติ เกี่ยวกับโรคโลหิตจางในครอบครัว ประวัติโรคเลือด หรือโรคทางพันธุกรรม
2.การตรวจร่างกาย พบภาวะซีด ตับและม้ามโต ตัวเหลือง
ตาเหลือง มีโครงสร้างใบหน้าแบบ Thalassemia facies
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1.การตรวจวัดขนาดเม็ดเลือดแดง (mean corpuscular volume, MCV) โดย
เครื่องตรวจวิเคราะห์เม็ดเลือดแดงอัตโนมัติ
2.การตรวจวัดปริมาณฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง (mean corpuscular hemoglobin, MCH) โดยเครื่องตรวจวิเคราะห์เม็ดเลือดแดงอัตโนมัติ
3.การทดสอบความเปราะของเม็ดเลือดแดง (Osmotic Fragility Test, OFT) เป็นการตรวจดูการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงในสารละลาย hypotonic solution
3.7) การตรวจคัดกรองเบื้องต้นสําหรับพาหะชนิด Hb E
1.การทดสอบ Hb ไม่เสถียรโดยการตกตะกอนสี โดยสี DCIP
2.การทำ KKU-DCIP clear kit จากชุดน้ํายาสําเร็จรูป โดยการดูความขุ่น-ใส
3.การตรวจ Hb E screen โดยการเลือดที่ละลายอยู่ใน buffer ผ่านเข้าไปในที่บรรจุ DEAL Sephadex แล้วล้างออกด้วย buffer ที่มี pH 8.2
3.8)วิธีการตรวจเพื่อวินิจฉัย (diagnosis test)
1.การตรวจวิเคราะห์ชนิดของฮีโมโกลบิน (Hemoglobin analysis)
สามารถวินิจฉัยพาหะของ β-thalassemia
2.การตรวจวิเคราะห์ยีนโดยอาศัยเทคนิค polymerase chain reaction (PCR) สามารถวินิจฉัยผู้ที่เป็นพาหะของ α-thalassemia
3.การตรวจหาชนิดของฮีโมโกลบิน (hemoblobin electrophoresis)
สามารถบอก genotype ของผู้ที่เป็นโรคได้
4.การตรวจระดับของ serum ferritin เพื่อวินิจฉัยแยกโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็กออกจากโลหิตจางจากธาลัสซีเมีย
3.9)การพยาบาล
1.อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์ที่เป็นพาหะของธาลัสซีเมีย และสามี ให้เข้าใจถึงความจําเป็นในการคัดกรองหาพาหะธาลัสซีเมีย แนะนําให้ตรวจคัดกรองพร้อมกัน
2.อธิบายสตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย
เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างเป็นโรคและเป็นพาหะ
4.ในกรณีที่ทั้งสตรีตั้งครรภ์และสามีเป็นคู่เสี่ยงของโรคธาลัสซีเมียที่อาการรุนแรง ควรแนะนําเกี่ยวกับการตรวจวินิจฉัยทารกในครรภ์ก่อนคลอด
5.ในกรณีที่ตัดสินใจที่จะยุติการตั้งครรภ์ให้การสนับสนุนทางด้านจิตสังคม
และส่งต่อเพื่อปรึกษานักจิตวิทยาต่อไป
3.แนะนำการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อนอย่างเพียงพอ
รับประทานยาตามแผนการรักษา การมาตรวจตามนัดทุกครั้ง
และหากมีอาการผิดปกติควรมาพบแพทย์ทันที