Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำและการไหลเวียนเลือด - Coggle Diagram
การเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำและการไหลเวียนเลือด
ภาวะบวมน้ำ
การสะสมของน้ำหรือของเหลวในช่องระหว่างเซลล์หรือภายในช่องของร่างกาย
น้ำหรือการสะสมของเหลวนี้บ่งบอกถึงความผิดปกติของการควบคุมปริมาณน้ำหรือของเหลว
ภาวะการบวมนั้นสามารถจำแนกน้ำหรือของเหลว
Transudate
Exudete
สาเหตุ Hydrostatic ในหลอดเลือดเพิ่มขึ้น
-สตรีมีครรค์ ขาบวมจากมดลูกที่มีขนาดใหญ่กดทับ
-ผู้ป่วย Congestive hear failure
Oncotic pressure ในหลอดเลือดลดลง
-ผู้ป่วยโรคไตเสียโปรตีนกับปัสสาวะ
-ผู้ป่วยโรคตับ สร้างโปรตีนลดลง
Lymphatic obstruction
-พยาธิFilaria จะมี Fริพนหรห ที่หลอดน้ำเหลืองทำให้สะดวก
เหลือดคั่ง(HyperemiaและCongesion)
ภาวะที่มีเหลือดปริมาณมากกว่าปกตคั่งค้างในเลือดหรือในช่องไซนูรอยด์ของเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่างๆ
เลือดคั่ง(Hyperemia)
-Active hyperremia บางครั้งเรียกว่าhyperremiaเป็นการที่ทีเลือดมาคั่งในหลอดเลือดแดง(artery circulation)มากกว่าปกติ
-มีการคั้่งของเม็ดเหลือดแดงปริมาณมาก ส่วนมากเป็นเลือดที่มีออกซิเจนมาก
-มักเกิดในรายที่มีการอักเสบ จะทำให้บริเวณดังกล่าวมีปริมาณเลือดเพิ่มมากขึ้น
-อาจเกิดเนื่องจากระบบประสาทซิมพาเธติกหรือการหลั่งสารที่มีผลต่อหลอดเลือด
เลือดคั่ง(Congestion)
Passive hyperemia นิยมเรียกว่า congestion
เป็นการที่มีเลือดำคั่งในหลอดเลือด
-เลือดที่คั่งเป็นเลือดที่มีปริมาณออซิเจนน้อย ทำให้บริเวณที่เกิดเลือดคั่งแบบนี้ มองเห็นเป็นสีเขีวคล้ำหรือออกม่วง เรียกว่าcyanosis
-ลักษณะทางจุลพยาธิวิทยาที่พบเช่นเดียวกับ active hyperemia และมักเกิดร่วมกับการบวมน้ำ
เลือดออก(Hemorrhage)
ภาวะที่มีเลือดออกมาจากหลอดเลือดเนื่องจากหลอดเลือดได้รับอันตรายฉีกขาดโดยตรงหรือการเสื่อมสภาพของผนังหลอดเลือด
อาการเลือดออกแบ่งเป็น2ประเภท
-External hemorrhage เป็นอาการเลือดออกที่เห็นเลือดไหลออกมาภายนอกร่างกาย เช่น บาดแผลที่ผิวหนัง เลือดกำเดา เลือดออกจากการถอนฟันเลือดออกจากริดสีดวงทวารหนักและช่องคลอด
-Internal hemorrhage เป็นอาการเลือดออกที่ไม่เห็นเลือดไหลออกมาภายนอกร่างกายเช่น เลือดออกในสมอง (เส้นเลือดในสมองแตก) เลือดออกในช่องท้อง เช่น (ท้องนอกมดลูกแตก)
สาเหตุการเกิดเลือดออกหรือจุดเลือดออก หรือตกเลือด
1.ผนังหลอดเลือดได้รับอันตรายฉีกขาดโดยตรงจากของมีคม
2.ผนังหลอดเลือดได้รับอันตรายโดยตรง จากเชื้อโรคที่ทำลายผนังหลอดเลือด
3.หลอดเลือดได้รับอันตรายจากผลการอักเสบหรือเนื้องอก หรือหนอนพยาธิที่ทำลายผนังหลอดเลือด
4.ความผิดปกติของขบวมการ การแข็งตัวของเลือด เช่น การขาดเกล็ดเลือด หรือขาดปัจจัย
Petechial hemorrhage
-เป็นจุดเลือดออกขนาดเล็กในชั้นผิวหนังเยื่อบุ สาเหตุ เนื่องจากมีความผิดปกติของผนังหลอดเลือดหรือความผิดปกติของระบบแข็งตัวของเลือด
Purpura hemorrhage
-จ้ำเลือดขนาดโตในเนื้อเยื่อ ซึ่งจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน1เซนติเมตร
Ecchymotic hemorrhage
-ปื้นเลือด หรือแต้มเลือดขนาดดตในเนื้อเยื่อ ซึ่งจะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2เซนติเมตร
SHOCK
-ภาวะที่มีความผิดปกติทางสรีรวิทยา ทำให้เกิดความไม่สมดุลของปริมาณเลือดที่ไลเวียนในหลอดเลือด
-ทำให้เกิดการไหงลเวียนของหลอดเลือดล้มเหลว เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ
SHOCKแบ่งออกเป็น3ประเภท
Hypovolemic shock
-ภาวะ shock จากปริมาณไหลเวียนลดลง เป็นภาวะ shock ที่พบบ่อยที่สุด
Cardiogenic shock
-ภาวะที่หัวใจไม่สามารถบีบตัวเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยวส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ
-พบบ่อยที่สุดคือ เกิดจากหัวใจห้องล่างซ้ายล้มเหลวจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
Vasogen shock
-ภาวะ จากหลอดเลือดเป็นภาวะที่มีการขยายตัวของหลอดเลือดอย่างมาก
-ส่งผลให้ปริมาณเลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจลดลง
-ต่างจากภาวะ อื่นคือมี แรงต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลาย ต่ำและมีปริมาณเลือดสูบฉีดออกจากหัวใจใน 1นาทีสูงในระยะแรก
Neurogenc shock
-เกิดจากการสูญเสียหน้าที่ของประสาทอัติโนมัติ
-เกิดการขยายตัวของหลอดเลือดทั่วร่างกายเป็นผลให้ปริมาณเลือดกลับเข้าสู่หัวใจลดลง
สาเหตุ
1.พยาธิสภาพที่สมอง ทำให้กระทบกระเทือนศูนย์ควบคุมที่medullaเช่นได้รับบาดเจ็บที่สมอง
2.พยาธิสภาพที่ไขสันหลัง ทำให้ศูนย์ควบคุมหลอดเลือดไม่สามารถควบคุม ได้ เช่น ได้รับบาดเจ็บที่ไขสันหลังมีการตัดขาดของไขสันหลัง
Septic shock
-ภาวะ shock จากการติดเชื้อ เป็นภาวะที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดซึ่งเกิดจากผิษของแบคทีเรีย
-ส่วนมากเกิดจากแบคทีเรียgram-ve ซึ่งจะหลั่งสารพิษชนิด Endotoxin ในกระแสเลือด
-มีผลต่อีะบบไหลเวียน พบมากในผู้ป่วยอายุน้อยหรืออายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยมะเร็ง
Anaphylactic shock
-เกิดจากการแพ้สารหรือยาต่างๆ โดยเมื่อร่างกายได้รับสารดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นสารกระตุ้นสร้างภูมิคุ้มกันต่อสารนั้นขึ้นมา
-ส่วนใหญ่เป็นพวกigEเมื่อได้รับการกระตุ้นอีกครั้ง ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาแพ้สารได้