Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พัฒนาการวรรณกรรมสำหรับเด็กในประเทศไทย - Coggle Diagram
พัฒนาการวรรณกรรมสำหรับเด็กในประเทศไทย
ยุคเริ่มต้น
หนังสือที่ปรากฏกหลักฐานว่าแต่งขึ้นสำหรับเด็กของไทยเล่มแรกคือ จินดามณี ผู้แต่งคือ พระโหราธิบดี แต่งขึ้นในสมัยอยุธยา (ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) วัตถุประสงค์ในการแต่ง เพื่อใช้เป็นแบบเรียนสำหรับเด็ก
ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ในสมัยรัชกาลที่ 3
มีกิจการการพิมพ์ มีหนังสือที่ใช้เป็นแบบเรียนหลายเล่ม
ประถม ก กา
สุบินทกุมาร
ประถมมาลา
จินดามณี (เล่ม 1 และ 2)
สวัสดิรักษาคำกลอน
นักเขียนคนสำคัญ คือ สุนทรภู่ เขียนหนังสือสำหรับเด็กไว้หลายเล่ม
ถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์
เพลงยาวถวายโอวาท
กาพย์พระไชยสุริยา
และสุภาษิตสอนหญิง
สวัสดิรักษา
ในสมัยรัชกาลที่ 5
ทรงยกเลิกหนังสือแบบเรียนที่ใช้มา
เริ่มต้นใช้แบบเรียนหลวง ของพระยาศรีสุนทรโวหา (น้อย อาจารยางกูร)
วาหนิติ์นิกร
อักษรประโยค
สังโยคพิธาน
ไวพจน์พิจารณ์
และพิศาลการันต์
มูลบทบรรพกิจ
ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2430 - 2431 วิวัฒนาการของหนังสือ สำหรับเด็ก
ในประเทศไทย เป็นไปอย่างเร็ว
ในปีพุทธศักราช 2430
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งกรมศึกษาธิการขึ้น
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมัยดำรงพระยศเป็นเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นผู้บัญชาการ
และได้ทรงนิพนธ์หนังสือแบบเรียนเร็วเพื่อใช้แทนแบบเรียนหลวง
ปีพุทธศักราช 2440 กระทรวงศึกษาธิการได้จัดพิมพ์แบบหัดอ่านมาหลายชุด
ในระหว่างปีพุทธศักราช 2456 – 2462 กรมราชบัณฑิตกระทรวงศึกษาธิการจัดทำหนังสือสำหรับเด็ก ที่ไม่ใช่หนังสือแบบเรียนหลายเล่ม
ปีพุทธศักราช 2433- 2463
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพโปรดให้กระทรวงศึกษาธิการ
รวบรวมบทกลอนกล่อมเด็กที่ใช้ขับกล่อมอยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ แล้วรวมเป็นเล่ม
บทกลอนกล่อมเด็ก
หนังสือสุภาษิตสอนเด็ก
ปีพุทธศักราช 2435
โรงเรียนต่าง ๆ ก็มีบทบาทในการจัดทำหนังสือสำหรับเด็ก เริ่มด้วยคณะครูมิชชันนารีชาวอเมริกันของโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยได้จัดทำนิตยาสารสำหรับเด็กเล่มแรก
ชื่อว่า “จดหมายเหตุแสงอรุณวัฒนาวิทยาลัย”
เป็นแนวทางให้มีนิตยสารสำหรับเด็ก
ยุคหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองจนถึงปัจจุบัน
ปีพุทธศักราช 2475 และสงครามมหาเอเชียบูรพา
ปีพุทธศักราช 2482 - 2486 ก็เป็นสาเหตุที่สำคัญทำให้การผลิตหนังสือสำหรับเด็กลดน้อยลง
ปีพุทธศักราช 2475 สวัสดิ์ จุฑารพ เริ่มนำเอานิทานไทยประเภท
จักร ๆ วงศ์ ๆ มาเขียนเป็นการ์ตูนลงพิมพ์
วันที่ 28 มีนาคม และ ปีพุทธศักราช 2475 มีการประกาศใช้แผนการศึกษาใหม่ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้จัดทำแบบเรียนหลวงขึ้นใหม่
ชื่อว่า แบบเรียนใหม่ และแบบสอนอ่านใหม่
ของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
ปีพุทธศักราช 2491 – 2501 นับเป็นยุคที่หนังสือสำหรับเด็กของไทยเริ่มเฟื่องฟู
ปีพุทธศักราช 2493 กระทรวงศึกษาธิการได้ออกระเบียบว่าด้วยการจัดทำตำราเรียน กำหนดว่าหนังสือแบบเรียนที่ใช้สำหรับเด็กจำเป็นต้องเป็นหนังสือ
ที่ชนะการประกวดหรือเป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการมอบหมายให้เป็น
ผู้เรียบเรียง โดยมีคณะกรรมการพิจารณาแบบเรียน
ปีพุทธศักราช 2495 มีการก่อตั้งกรมวิชาการขึ้น เกิดการส่งเสริมให้จัดทำหนังสือสำหรับเด็กด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การจัดการประกวดและส่งเสริมให้เอกชนแต่งหนังสือสำหรับเด็ก หนังสือที่ชนะการประกวดแบบเรียน
ได้ทีขี่แพะไล่ โดย เจือ สตะเวทิน
เป็ดหาย โดย บุญสม เอราวารพ
อยากมีปีก โดย เจือ สตะเวทิน
ความรักของแม่ โดย บุญสม เอราวารพ
ปีพุทธศักราช 2507 พูนศรี ถมังรักษ์สัตย์ ผู้คลุกคลีอยู่กับครู
และเด็ก ๆ มาเป็นเวลานาน ได้จัดทำนิตยาสารทั่วไปสำหรับเด็กชื่อ “หนูน้อยกลอยใจ”
ปีพุทธศักราช 2509 คณะกรรมการฝ่ายวัฒนธรรมของคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ได้พยายามพัฒนาหนังสืออ่านทั่วไปของเด็กให้
แพร่หลายในประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของยูเนสโก (UNESCO)
ปีพุทธศักราช 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงตระหนักถึงอุปสรรค จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์เป็น
ส่วนพระองค์ให้จัดพิมพ์หนังสือสำหรับเด็ก
ศรีธนญไชย
สโมสรวานรลพบุรี
ณ ชายหาดสะอาดทราย
ปีพุทธศักราช 2516 สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนเล่มแรกพิมพ์
ปีพุทธศักราช 2515 ยูเนสโกได้กำหนดให้เป็นปีหนังสือสากล
ปีพุทธศักราช 2522 องค์การยูเนสโกประกาศให้เป็นปีเด็กสากล สำนักพิมพ์และผู้ผลิตหนังสือสำหรับเด็กในประเทศต่าง ๆ เริ่มหันมา
ให้ความสนใจและจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านสำหรับเด็กมาก
ปีพุทธศักราช 2548 ประเทศไทยได้ประกาศให้วันที่ 2 เมษายน
ของทุกปี “เป็นวันหนังสือเด็กแห่งชาติ”
ในปัจจุบันนี้หนังสือสำหรับเด็กได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจากในอดีต
ที่ผ่านมาทั้งเนื้อหาและรูปเล่ม เพราะทุกส่วนภาคทั้งภาครัฐและเอกชนต่างก็มีบทบาทหน้าที่
ในการพัฒนาสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการผลิตและเผยแพร่มาอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเป็นผลดีต่อเด็กและเยาวชนชนเป็นอย่างมากในแง่ของการนำเอาความรู้จากหนังสือสำหรับเด็กมาปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน