Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Chest pain, image, image, image, image, image, image, image, 201235249…
Chest pain
อาการและอาการแสดง
- เจ็บ แน่นหน้าอก เหมือนมีอะไรมากดทับ บีบรัดบริเวณกลางเยื้องมาทางด้านซ้าย ปวดร้าวไปบริเวณแขนซ้ายขึ้นหัวไหล่ เหงื่อแตก หน้าซีด คล้ายจะเป็นลม คลื่นไส้ อาเจียน
- EKG เปลี่ยนแปลง ST change
- การตรวจ EKG พบคลื่นไฟฟ้า ST ยกขึ้น อย่างน้อย 2 leads ที่ต่อเนื่องกัน หรือเกิด Left Bundle Branch Block (LBBB) ใหม่
- การตรวจ EKG ไม่พบ ST segment elevation แต่มักพบ ST segment depression และ/หรือ T wave inversion ร่วมด้วย
- ผลตรวจ cardiac biomarker สูงขึ้นผิดปกติ
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจจะบีบตัวผิดปกติ การเต้นหัวใจสั่นพริ้ว นำไปสู่การเกิด cardiogenic shock
และ sudden cardiac arrest ได้
-
-
ความหมายของ Chest pain
อาการเจ็บบริเวณทรวงอกมีทั้งอาการเจ็บหน้าอกแบบบีบรัดหน้าอกหรือปวดร้อนในทรวงอกหรือมีปวดร้าวไปที่ไหล่ แขนข้างซ้าย กราม คอ ร้าวจุกเสียดแน่นท้อง ซึ่งอาจจะมาจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล ประกอบด้วย เพศ อายุอาชีพ และรายได้ปัจจัยภาวะสุขภาพที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะคุกคามของโรค ทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะเจ็บหน้าอกรุนแรงได้
-
-
ความหมายโรคหัวใจขาดเลือด
โรคที่เกิดจากการสะสมของไขมันและคอเลสเตอรอลในผนังหลอดเลือดแดง ทำให้ให้หลอดเลือดตีบ แข็ง ตัน และเปราะบางได้ง่าย ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่สะดวก กล้ามเนื้อหัวใจจึงได้รับเลือดน้อยกว่าปกติและเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายตามมา
-
การพยาบาล
การพยาบาลขณะแรกรับ
- จัดให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ในหอผู้ป่วยหนัก
- บันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 12 Lead พร้อมทั้งติดตาม
การทำงานของหัวใจอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
- ตรวจเลือดเพื่อหาระดับเอนไซม์ของกล้ามเนื้อหัวใจ
-
- แจ้งให้ผู้ป่วยทราบเกี่ยวกับวิธีการรักษาพยาบาล กฎระเบียบที่จำเป็น
การเข้าเยี่ยมของญาติ และที่สำคัญคือ ถ้าผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอก
หรือแน่นอึดอัดจะให้ยากลุ่มไนเตรท
- ถ้าผู้ป่วยได้รับยาละลายลิ่มเลือดต้องติดตามอาการและอาการแสดงและระดับความรู้สึกตัว และติดตาม ผลฮีโมโกลบิน ฮีมาโตคริต ระยะเวลาของการแข็งตัวของเลือด การตรวจวัดสัญญาณชีพ
-
-
สาเหตุ
เกิดจากการสะสมของ ไขมันและคอเลสเตอรอล ทำให้หลอดเลือดตีบแข็งอย่างต่อเนื่อง เปราะบางและปริแตกง่าย ทำให้เกิดการเกาะกลุ่มของเกล็ด เลือดมากขึ้น ทำให้การไหลเวียนไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้หัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก
ปัจจัยเสี่ยงในวิถีชีวิตที่ส่งผลทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการเจ็บหน้าอก ได้แก่ พฤติกรรมการับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม ไม่ออกกำลังกาย สูบบุหรี่ และดื่มสุรา
การตรวจร่างกาย
การดู ได้แก่ การตรวจดูหลอดเลือดดำที่คอ การดูตำแหน่งที่มีการเต้นของหัวใจแรง ดูลักษณะของทรวงอก ตรวจดูสีผิวและความผิดปกติของร่างกาย
การคลำ ได้แก่ คลำชีพจร คลำตำแหล่งที่หัวใจเต้นแรงที่สุด คลำหาตำแหน่ง Apex beat โดยไม่ปล่อยมือให้ผู้ป่วยตะแคงซ้าย หายใจเข้าออกและกลั้นหายใจ 2-5 วินาที
การฟัง ได้แก่ ฟังเสียงลิ้นหัวใจว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ฟังเสียงหัวใจอาจได้ยินเสียงฟู่ (Murmur) เสียง ผิดปกติของปอดจากภาวะน้าท่วมปอด (Crepitation)
การตรวจคลื่นหัวใจไฟฟ้า (EKG: Electrocardiogram) จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใหม่ ของST - segment – T wave (ST – T) หรือ left bundle branch block (LBBB)
-
-
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจเลือดหา Enzyme ที่แสดงถึงการที่มีกล้ามเนื้อหัวใจตาย ได้แก่
Troponin-T, Troponin-I, CK-MB
CBC พบ WBC สูงระหว่าง 12,000-15,000 ลบ.มม จะสูงในระยะแรกและคงอยู่ 3-7 วันหลังเกิดอาการ Hct 41% platelet 223,000
SR (erythrocyte sedimentation rate) อัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดงสูงขึ้นช้าแต่อยู่นานเกินกว่าสัปดาห์
การเดินสายพาน (Exercise stress test) เป็นการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ ในรายที่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หรือหอบเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) อาศัยรังสีเอกซเรย์ในการสร้างภาพ ทำให้เห็นโครงสร้างของหัวใจ ทั้งหมดและยังสามารถประเมินแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจ (CAC)
การรักษา
-
กลุ่มภาวะเจ็บเค้นอกคงที่
ควรให้ยาต้านเกล็ดเลือดร่วมกับการปรับให้เกิดความสมดุลระหว่าง oxygen demand และ supply ของกล้ามเนื้อหัวใจ
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-