Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
เครื่องมือในการบําบัดทางการพยาบาลจิตเวช - Coggle Diagram
เครื่องมือในการบําบัดทางการพยาบาลจิตเวช
1 การตระหนักรู้ในตนเอง และการใช้ตนเองเพื่อการบําบัด
การตระหนักรู้ในตนเอง
มโนมติสําคัญ 8 ประการ
4. ภาพลักษณ์ทางกายแห่งตน (Body Image)
เป็นการรับรู้เกี่ยวกับร่างกายของตน
5. มโนธรรมแห่งตน (Moral Image)
เป็นความคิด การตัดสินใจแสดงพฤติกรรมต่าง ๆของตน ว่ามีความถูกต้อง
3. อุดมคติแห่งตน (Self Idea/Image)
ภาพในอนาคตที่ตนเองอยากเป็น
6. ศักดิ์ศรีแห่งตน (Self esteem)
เป็นการยอมรับนับถือตนเอง ประเมินตนเองในด้านบวกและลบ
2.อัตมโนทัศน์ (Self concept)
เป็นการรับรู้และตัดสินใจเกี่ยวกับตนเอง
7. เอกลักษณ์เฉพาะตน (Self of identity)
เป็นส่วนประกอบที่สําคัญของความเป็นตัวของตนของบุคคล
1. อัตตา (Self)
หรือตัวตนของตนเอง
8. การตระหนักรู้และเข้าใจตนเอง (Self awareness and Self understanding)
ประกอบด้วยการรับรู้
และการเข้าใจตนเองในด้านต่าง ๆ
แนวทางการพัฒนาการตระหนักรู้และเข้าใจตนเอง
1. การเปิดใจให้กว้าง
รับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาตนเอง
2. การประเมินตนเองตามความเป็นจริง
ไม่อคติ มองหรือคิดเข้าข้างตนเอง
3. การพัฒนาจิตใจโดยการศึกษาธรรมะ
ประพฤติ ปฏิบัติตามหลักศาสนาและคุณธรรมที่ได้กําหนดไว้
ประโยชน์ในการตระหนักรู้และเข้าใจตนเอง
บุคคลสามารถเข้าใจตนเองในทุกๆด้าน
บุคคลสามารถนาข้อมูลที่ได้จากการรับฟัง จากการที่ผู้อื่นประเมินมาเป็นแนวทางในการปรับปรุงพัฒนาตนเอง
บุคคลสามารถใช้ประสบการณ์ที่เรียนรู้และเข้าใจตนเองเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้และทำความเข้าใจ
บุคคลอื่น
การมีสติระลึกรู้เท่าทันความคิด อารมณ์ ความรู้สึกของตนจะช่วยให้เราสามารถควบคุมตนเองและแสดงพฤติกรรมออกมาอย่างเหมาะสม
การใช้ตนเองเพื่อการบําบัด
พยาบาลต้องพยายามตระหนักในตนเองที่จะเรียนรู้จักและเข้าใจตนเองให้มากที่สุด เพื่อที่จะเรียนรู้และ
ทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้รับบริการและครอบครัว
ประยุกต์องค์ความรู้ทางการพยาบาลและองค์ความรู้อื่นที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการพยาบาลแก่บุคคล
ที่มีปัญหาสุขภาพจิตหรือผู้รับบริการอย่างมีประสิทธิภาพ
สามารถผสมผสานการใช้สัมพันธภาพเพื่อการบําบัดกับการใช้ตนเองเพื่อการบําบัดในการพยาบาล
บุคคลมีปัญหาสุขภาพจิต
ปัจจัยสนับสนุนให้การใช้ตนเองเพื่อการบําบัดและการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัดประสบผลสําเร็จ
พยาบาลต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและทักษะในการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพจิต
การรักษาความลับ : จรรยาบรรณของวิชาชีพ ต้องรักษาความลับของผู้รับบริการอย่างเคร่งครัด
มีเจตคติที่ดีในการปฏิบัติการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพจิตและการใช้ตนเองเพื่อการบําบัด
2 การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
เป้าหมายในการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัดมีดังนี้
เพื่อให้โอกาสผู้รับบริการได้ระบายความรู้สึกไม่สบายใจ
เพื่อให้ผู้รับบริการรู้จักตนเองอย่างถูกต้อง ยอมรับตนเอง และเพิ่มความเคารพนับถือตนเอง
เพื่อให้ผู้รับบริการสามารถสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้ รู้จักพึ่งตนเอง ในขณะเดียวกันสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้
เพื่อให้ผู้รับบริการเข้าใจปัญหาของตนเองได้ตรงตามความเป็นจริง
เพื่อให้ผู้รับบริการเกิดการเรียนรู้และพัฒนาการปฏิบัติตนที่เหมาะสม
ระยะของสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
ขั้นเตรียมการสร้างปฏิสัมพันธ์ (Pre Initiating phase)
เป็นการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด จึงควรวางแผนและเตรียมตัว ซึ่งในระยะนี้พยาบาลยังไม่ได้พบผู้รับบริการโดยควรเตรียมเป้าหมายในการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัดให้ชัดเจน ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของผู้รับบริการ
ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้
คือ ความรู้สึกกลัวและวิตกกังวลต่อการสร้างสัมพันธภาพกับผู้รับบริการ
แนวทางแก้ไข
พยาบาลต้องสํารวจตนเองว่ากลัวอะไร ความกลัวหรือวิตกกังวลนี้มาจากไหน ขอคําชี้แนะจากผู้นิเทศงาน โดยอภิปรายถึงทัศนคติที่มีต่อผู้รับบริการและการสร้างสัมพันธภาพกับผู้รับบริการ การพูดคุยหรือปรึกษาพี่พยาบาลที่มีประสบการณ์มาก่อน จะช่วยลดความกลัวและวิตกกังวลของพยาบาล
ขั้นการสร้างปฏิสัมพันธ์ (Initiating phase)
ระยะเวลาไม่นาน หรือสามารถขยายระยะเวลายาวนานขึ้นได้ ในช่วงแรกอาจยืดเยื้อในผู้รับบริการที่มีอาการรุนแรง และผู้รับบริการที่มีการเจ็บป่วยทางด้านสุขภาพจิตเป็นระยะเวลานาน
พยาบาลจําเป็นจะต้องมีการตระหนักรู้ในตนเอง การพัฒนาความสัมพันธ์แบบต่อเนื่องเป็นการค้นหาปฏิกิริยาอารมณ์ทางด้านบวกและลบของผู้รับบริการ
การที่ผู้รับบริการมีความรู้สึกเกี่ยวกับพยาบาลเรียกว่า การถ่ายโอนความรู้สึก(Transference)
การแสดงของความรู้สึกจากพยาบาลไปยังผู้รับบริการ เรียกว่า ถ่ายโยงความรู้สึก (Counter Transference)
การสร้างความไว้วางใจ(Establishing Trust) เป็นสิ่งสําคัญในระหว่างการเผชิญหน้าในครั้งแรกกับผู้รับบริการ
ปัญหาที่พบบ่อย
คือ ความวิตกกังวล อาจพบได้ทั้งฝ่ายพยาบาลและฝ่ายผู้รับบริการ
ฝ่ายพยาบาล
มักวิตกกังวล เนื่องมาจากขาดประสบการณ์สัมพันธภาพเพื่อการบําบัด ยังเรียบเรียงไม่ได้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร กลัวผู้รับบริการไม่ยินดีที่จะพูดคุยด้วย กลัวถูกผู้รับบริการทําร้าย
แนวทางแก้ไข
พยาบาลต้องมีการเตรียมความรู้ ศึกษาเทคนิคสนทนาเพื่อการบําบัด ตรวจสอบความรู้สึกตนเอง วางแผนในการเตรียมสนทนาและเริ่มต้นการสนทนา นําข้อมูลที่ได้มาพิจารณาหรืออภิปรายร่วมกับทีมผู้ร่วมงาน การพูดคุยกันระหว่างผู้ร่วมงาน จะช่วยให้พยาบาลเกิดความมั่นใจมากขึ้น
ฝ่ายผู้รับบริการ
ผู้รับบริการทางด้านจิตเวช ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องการ
ไว้วางใจผู้อื่นและการสร้างสัมพันธภาพ โดยเฉพาะการพบกันครั้งแรก
แนวทางแก้ไข
พยาบาลต้องมีท่าทางเป็นมิตร แสดงความใส่ใจผู้รับบริการอย่างแท้จริง สร้างความไว้วางใจ
แก่ผู้รับบริการ
ระยะแก้ไขปัญหา (Working Phase)
ปัญหาที่พบบ่อยและแนวทางแก้ไข
ความวิตกกังวลของพยาบาล อาจเกิดได้จากการได้รับเรื่องราวของผู้รับบริการมากขึ้น เกิดความรู้สึกร่วมกับผู้รับบริการมากเกินไป
แนวทางแก้ไข
ตระหนักและรู้จักตนเองขณะสนทนา ใช้ความรู้สึกร่วม (Empathy) ให้เกิดประโยชน์ และแยกความแตกต่างระหว่างความรู้สึกร่วม และความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ (Sympathy)
การวินิจฉัยปัญหาที่แท้จริงไม่ได้
แนวทางแก้ไข
พยาบาลควรหมั่นหาความรู้เพิ่มเติม รวมทั้งการประชุมปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ผู้รับบริการชื่นชอบหรือรักใคร่ในตัวพยาบาล
แนวทางป้องกันและแก้ไข
พยาบาลจําเป็นที่จะต้องระมัดระวังในเรื่องกิริยามารยาท ตลอดจนการแต่งกาย
ที่ไม่ก่อให้เกิดการยั่วยุในอารมณ์ทางเพศแก่ผู้รับบริการหรือรับของขวัญจากผู้รับบริการ พยาบาลควรได้ทบทวนจุดมุ่งหมายในการสร้างสัมพันธภาพให้ผู้รับบริการเข้าใจ
ความรู้สึกพึ่งพา
แนวทางป้องกันการเกิดปัญหา
คือ พยาบาลสนับสนุนให้ผู้รับบริการพึ่งพาตนเอง เลือกทางออกในการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง โดยพยาบาลมีหน้าที่กระตุ้นและสนับสนุน
พยาบาลและผู้รับบริการ มาพบกันเพื่อการสนทนาอย่างสม่ำเสมอ ตามข้อตกลงที่บอกไว้กับผู้รับบริการ พยาบาลสามารถแสดงให้ผู้รับบริการเห็นว่าพยาบาลยอมรับ เข้าใจ และรับฟังปัญหาของผู้รับบริการอย่างไม่มีอคติ สัมพันธภาพโดยรวมจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น
ระยะยุติสัมพันธภาพ (Terminating Phase)
เป็นขั้นตอนสําคัญของสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด สัมพันธภาพมีการเริ่มต้นและสิ้นสุด เมื่อถึงกําหนดระยะเวลาตามที่ตกลงกันมาถึง โดยกิจกรรมในระยะนี้ พยาบาลควรเปิดโอกาสให้ผู้รับบริการสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการสร้างสัมพันธภาพ ควรสรุปในส่วนที่ได้ร่วมกันแก้ปัญหากับผู้รับบริการ โดยมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในตัวผู้รับบริการ
ปฏิกิริยาที่อาจพบในระยะยุติสัมพันธภาพของผู้รับบริการ
แสดงพฤติกรรมถดถอย
แสดงพฤติกรรมโกรธ
แสดงพฤติกรรมการยอมรับ
3 เทคนิคการสื่อสารเพื่อการบําบัด
เทคนิคที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้รับบริการหรือผู้มาขอความช่วยเหลือรู้สึกว่าตนเองมีค่า
Giving Recognition
การให้ความสําคัญ
Giving Information
การให้ข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริงแก่ผู้รับบริการ
Offering - Self
การเสนอตนเองเพื่ออยู่เป็นเพื่อนผู้รับบริการยามทุกข์
เทคนิคในการกระตุ้นให้ผู้รับบริการเป็นฝ่ายนําการสนทนา หรือทําให้การสนทนาดําเนินไป
Using Broad Opening
ใช้คํากล่าวกว้างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้รับบริการเลือกหัวข้อสนทนา
Using General Lead
การใช้คํากล่าวนําโดยทั่วไป เป็นคํากล่าวนําที่ช่วยกระตุ้นและจูงใจให้ผู้รับบริการพูดต่อ
Reflection
การสะท้อนความรู้สึก
Restating
การทวนความ
Accepting
การยอมรับผู้รับบริการ
เทคนิคที่ช่วยกระตุ้นผู้รับบริการให้ผู้รับบริการพูดระบายความรู้สึก
Sharing Observation
คือ การบอกกล่าวสิ่งที่พยาบาลสังเกตเห็นได้ในตัวผู้รับบริการ
Acknowledge the Patient’s Feeling
รับรู้ความรู้สึกของผู้รับบริการ
Questioning
การถาม เป็นคําถามโดยตรงที่พูดกับผู้รับบริการ
Actively Listening
การฟังอย่างตั้งใจ
Using Silence
การเงียบ
เทคนิคที่ช่วยให้พยาบาลมีความเข้าใจตรงกันกับผู้รับบริการ
Clarifying
การให้ความกระจ่าง
Validating
คือ การตรวจสอบว่าความเข้าใจของพยาบาลถูกต้องตรงกับความต้องการความรู้สึกของผู้รับบริการหรือไม่
เทคนิคที่กระตุ้นให้ผู้รับบริการคิดไตร่ตรองเรื่องราวของเขาใหม่
Exploring
การสอบถามเพื่อให้ได้ข้อมูลกระจ่างขึ้น
Focusing
เป็นการมุ่งประเด็นไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
Encouraging Evaluation
การกระตุ้นให้ผู้รับบริการได้ประเมินตัวเอง
Giving Feedback
การให้ข้อมูลย้อนกลับ
Voicing Doubt
การตั้งข้อสงสัย
Giving Suggestion
การให้คําแนะนํา
Presenting Reality
การบอกสภาพความเป็นจริงเพื่อให้ผู้รับบริการพิจารณาให้ชัดเจน
Summarizing
การสรุปข้อความเมื่อผู้รับบริการพูดจบแล้ว