Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยาทางจิตเวช, นางสาวสุภาพร บุระขันธ์…
การพยาบาลผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยาทางจิตเวช
ความหมายของการบำบัดรักษาด้วยยาทางจิตเวช จิตเภสัชบำบัด (Psychopharmacotherapy) หมายถึง การรักษาผู้ป่วยที่มีอาการทาง จิต ผู้ป่วยที่มีความแปรปรวนทางด้านจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นโรคจิต โรควิตกกังวล จิตสรีร แปรปรวน ภาวะซึมเศร้า ความแปรปรวนในการใช้สารเสพติด ด้วยสารเคมีที่ออกฤทธิ์ต่อสมองและ ระบบประสาท ซึ่งควบคุมความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของผู้ป่วยให้อยู่ในภาวะปกติ
ยารักษาโรคจิต (Antipsychotic drugs/Major tranquillizers)
ผลข้างเคียง
Parkinsonism มักพบใน 4 สัปดาห์แรก
ของการใช้ยา
Acute dystonia มักเกิด 1-5 วันแรกหลังจากการใช้ยา มีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ
Akathisia มักเกิดใน 2-3 สัปดาห์แรก
Tardive dyskinesia เกิดจากการใช้ยาในขนาดสูงเป็นระยะนานติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน
Neuroleptic malignant syndrome
(NMS)
Anticholinergic side effects
Adrenergic side effects มีความดันโลหิตต่ำ
Skin reaction เกิดภายใน 1-5 สัปดาห
Endocrine effects ยารักษาโรคจิต มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายหลายชนิด
Hematologic effects,Effect on seizure threshold,Ocular effects
Hepatic effects ทำให้เกิดดีซ่านได้
การพยาบาล
อธิบายให้ผู้ป่วยทราบว่า อาการเหล่านี้จะเกิดได้ในระยะแรกที่ได้รับยา เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น จะหายไปได้เมื่อใช้ยาแก้ แพ้ (Anticholinergic drugs/Antiparkinson drugs) และร่างกายจะค่อยๆ ปรับตัวได้ อาการ ดังกล่าวจะไม่มีอันตรายกับผู้ป่วย เพื่อลดความ วิตกกังวลของผู้ป่วย
ระวังการเกิดอุบัติเหตุ และการรบกวน ผู้อื่น คอยดูแลการรับประทานอาหาร
คอยสังเกตอาการ ถ้าพบควรให้อาหาร ที่มีแคลอรี่สูง อาหารอ่อน ให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้ เพียงพอ แนะนำผู้ป่วยให้พูดช้าๆ ให้ผู้ป่วยพูด ถึงความรู้สึกเขาออกมา
ให้อมน้ำแข็งหรือจิบน้ำบ่อยๆ ให้ความมั่นใจว่าอาการจะหายไปได้ ไม่ควร ขับรถจนกว่าอาการตาพร่าจะดีขึ้น ระวังการ พลัดตกหกล้มจากการมองเห็นไม่ชัด
แนะนำผู้ป่วยให้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ จากท่านอน เป็นท่านั่ง หรือท่านั่งเป็นท่ายืน วัดความดัน โลหิตท่านอนและท่ายืนเพื่อเปรียบเทียบกัน
สังเกตอาการดีซ่าน เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง เจ็บคอ มีไข้ รายงานให้แพทย์ทราบ
ยารักษาอาการซึมเศร้า (Antidepressant drugs)
1) อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบว่า ยาจะให้ผลในการรักษาหลังจาก รับประทานไปแล้ว 2-3 สัปดาห์ เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติเกิดความมั่นใจในการรักษา และผู้ป่วย รับประทานยาอย่างต่อเนื่อง
2) อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบอาการข้างเคียงของยา และวิธีการปฏิบัติ
ตนเมื่อเกิดอาการข้างเคียงของยา เพื่อให้ปฏิบัติได้ถูกต้องและลดความกังวล
3) อธิบายให้ผู้ป่วยทราบว่าแพทย์จะแบ่งยาให้รับประทานเป็นหลายมื้อเพื่อ
ลดอาการข้างเคียงของยา
4) ตรวจสัญญาณชีพอย่างสม่ าเสมอ เพื่อประเมินภาวะความดันโลหิตต่ำและให้เคลื่อนไหวช้าๆ ในรายที่มี orthostatic hypotension
5) ให้หลีกเลี่ยงการใช้สายตาเมื่อมีอาการตาพร่ามัว
6) ให้จิบน้ำบ่อยๆ ดื่มน้ำเคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาล เมื่อปากคอแห้ง และแนะนำให้ดูแลสุขภาพช่องปาก
7) ให้รับประทานอาหารที่มีกากใย และดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันท้องผูก
8) ให้หลีกเลี่ยงการทำงานกับเครื่องจักรกล การขับรถ และการใช้ของมีคม เมื่อมีอาการง่วงซึมหรืออ่อนล้า
9) ให้หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ ไวน์ เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้ฤทธิ์ของยามีประสิทธิภาพลดลง
10) ให้ความรู้เรื่องการควบคุมน้ าหนักและชั่งน้ าหนักผู้ป่วย เพราะยาทำให้
เจริญอาหารและน้ าหนักเพิ่ม เช่น mirtazapine
ยาลดอาการข้างเคียงของยารักษาโรคจิต (Anticholinergic drugs/Antiparkinson
drugs)
3) ให้รับประทานอาหารที่มีกากใย และเพิ่มกิจกรรมในรายที่มีอาการท้องผูก
2) ให้ดื่มน้ำ จิบน้ำบ่อยๆ อมลูกกวาด อมน้ำแข็ง เพื่อลดอาการปากแห้ง
4) ตรวจและบันทึกสัญญาณชีพและความสมดุลของน้ำ
1) ให้ผู้ป่วยรับประทานยาพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันทีเพื่อป้องกันการ
ระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร
5) ตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ าเสมอ และแนะน าให้เปลี่ยนอิริยาบถจาก
นอนเป็นนั่ง หรือนั่งเป็นยืนอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันอาการหน้ามืด
6) อธิบายให้ผู้ป่วยทราบว่าอาการต่างๆ เป็นผลข้างเคียงของยาไม่เป็นอันตราย เพื่อให้ผู้ป่วยคลายความวิตกกังวล
8) ระวังอุบัติเหตุ ให้ผู้ป่วยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสายตาในรายที่มีอาการ
ตาพร่าและง่วงซึม อ่อนเพลีย แนะน าไม่ให้ขับรถยนต์หรือใช้ของมีคม
7) ถ้าลืมรับประทานยา แนะน าให้รับประทานยาทันทีเมื่อนึกได้ แต่ให้ห่างจาก
มื้อต่อไป 2 ชั่วโมง ไม่รับประทานยาเป็น 2 เท่าในมื้อเดียว
ยาคลายกังวล (Antianxiety drugs/Minor tranquillizers)
2) สังเกตผลข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้น เช่น อาการง่วงนอนมาก ความดันโลหิต ต่ า ปวดตรงต าแหน่งที่ฉีดยา ผิวหนังเป็นผื่น และอาการ paradoxical excitement เช่น ท่าทีไม่เป็น มิตร สับสน มีการเคลื่อนไหวมากกว่าปกติ
3) ถ้าให้ยาคลายความวิตกกังวลวันละครั้ง ควรจัดให้ผู้ป่วยรับประทานก่อน นอนเพื่อส่งเสริมการนอนของผู้ป่วยให้ดีขึ้น ผลข้างเคียงจะลดลง และจัดให้ผู้ป่วยท ากิจกรรมต่างๆ ใน เวลากลางวัน
4) ถ้าให้เป็นยาฉีด ควรฉีดเข้ากล้ามเนื้อให้ลึก และค่อยๆ เดินยาอย่างช้าๆ เพราะยาอาจจะระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อและทำให้เกิดอาการปวดตรงตำแหน่งที่ฉีดยา
5) ถ้าลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ ไม่ควรรับประทานยาเป็น 2 เท่า ในแต่ละมื้อ
1) ถ้าเป็นผู้ป่วยใน สังเกตอาการข้างเคียงของยา เช่น ง่วงซึม เวียนศีรษะ สับสน มึนงง เดินเซ คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น หากพบอาการดังกล่าวต้องตรวจสอบสัญญาณชีพ ให้ ผู้ป่วยนอนพัก รายงานแพทย์เพื่อปรับขนาดยาให้เหมาะสม
6) แนะนำหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ ยาแก้แพ้หรือแก้หวัด และยาระงับประสาท ต่างๆ เพราะจะเสริมฤทธิ์ยาคลายกังวล
7) แนะนำหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมาก เพราะว่าจะท าให้ไปลดฤทธิ์ของ ยาที่ทำให้นอนหลับ
8) แนะน ารับประทานผัก ผลไม้ ดื่มน้ าให้เพียงพอ วันละ 2.5-3.0 ลิตร และ ออกกำลังกาย เพื่อป้องกันอาการท้องผูก
9) แนะนำผู้ป่วยที่ติดยาเนื่องจากใช้เป็นเวลานานและปริมาณสูง (ได้รับยา ต่อเนื่องนานเกิน 4 เดือน) ไม่ให้หยุดยาเองทันที เพื่อป้องกันอาการขาดยา ควรให้แพทย์เป็นผู้ลดยา ให้
ยาควบคุมอารมณ์ (Mood stabilizing drugs) การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยา lithium
2) ติดตามระดับ serum lithium ผู้ป่วยจะต้องตรวจสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ใน 4 สัปดาห์ แรก หรือจนกว่ายาคงที่ หลังจากนั้นตรวจทุก 1-2 เดือน ในครึ่งปีแรก และทุก 3-6 เดือน ตลอดการ ใช้ยา การเจาะเลือดวัดระดับยาควรท าเมื่อได้ยามื้อสุดท้ายก่อนเจาะเลือด 12 ชั่วโมง ระดับยาที่ เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 1.0-1.5 mEq/L
3) ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและญาติว่า การรับประทานยา lithium ต้องใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ ยาจึงออกฤทธิ์ถึงระดับการรักษา ผู้ป่วยจึงอาการสงบลง และควรมารับการตรวจเลือดทุกครั้ง
1) ซักประวัติผู้ป่วยถึงการเป็นโรคประจ าตัวต่างๆ และการตรวจร่างกายของผู้ป่วยเป็น สิ่งจ าเป็นก่อนที่จะเริ่มให้ยา lithium carbonate การตรวจร่างกายนี้รวมทั้งการวัดความดันโลหิต ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจการท างานของต่อมไทรอยด์ หัวใจ และไต เพราะต้องระวังการใช้ยา ในผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคไต และ hypothyroidism
4) ผู้ป่วยที่มีอาการง่วงซึม เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ควรจัดให้ผู้ป่วยพักผ่อน และไม่ควร น าเข้ากลุ่มกิจกรรมที่เป็นการกระตุ้นความคลุ้มคลั่ง
5) ให้ผู้ป่วยรักษาภาวะสมดุลของน้ าและเกลือแร่ (Fluid and electrolyte balance)
เพราะอาจเกิดภาวะ hypernatremia
7)ให้ผู้ป่วยรับประทานยาตามปกติ แม้จะรู้สึกว่ามีอาการดีขึ้น ไม่ควรเพิ่มหรือลดยา เอง และยา lithium ต้องใช้เวลา 3-5 สัปดาห์ จึงเห็นผลในการรักษา การรับประทานยาไม่ต่อเนื่อง อาจจะท าให้ผู้ป่วยมีอาการกลับมาอีกได้
6) สังเกตอาการ mania และอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ของผู้ป่วยว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรตลอดจนผลของยาและอาการพิษที่อาจเกิดขึ้นได
8) แนะนำอาการข้างเคียงอาการเป็นพิษของยาให้ผู้ป่วยและญาติทราบเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเอง และญาติสังเกตอาการข้างเคียงของผู้ป่วยได้
นางสาวสุภาพร บุระขันธ์ เลขที่ 3 ห้อง B รุ่นที่ 26