Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีความผิดปกติของรกน้ําคร่ํา และความผิดปกติของทารก…
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีความผิดปกติของรกน้ําคร่ํา และความผิดปกติของทารกในครรภ์
ภาวะน้ําคร่ําผิดปกติ(Polydramnios/ Oligohydramnios)
ภาวะน้ำคร่ำมากผิดปกติ หรือการตั้งครรภ์แฝดน้ำ (Hydramnios/ polyhydramnios)
สาเหตุ
1.ด้านมารดา ได้แก่ มารดาเป็นโรคเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์แฝด
2.ด้านทารก ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการกลืนของทารก ความผิดปกติของระบบประสาท การอุดกั้นของระบบทางเดินอาหาร ความพิการของทารกในครรภ์ เช่น ภาวะอุดตันของระบบทางเดินอาหาร (GI tract obstruct)ทารกหัวบาตร (anencephalous)ครรภ์แฝดที่เป็น Twin-twin transfusion syndrome (TTTS)
3.น้ําหนักตัวเพิ่มขึ้น
การจําแนกชนิด
1.ภาวะน้ําคร่ํามากอย่างเฉียบพลัน (Acute hydramnios) พบได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 20-24 สัปดาห์ จะมีมีปริมาณน้ําคร่ําเพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 วัน ปวดหลังและหน้าขา แน่นอึดอัดในช่องท้อง หายใจลําบากหรือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
2.ภาวะน้ําคร่ํามากเรื้อรัง (chronic hydramnios) พบว่าปริมาณน้ําคร่ําจะค่อยๆเพิ่มขึ้นอาการและอาการแสดงจะคล้ายๆกันกับภาวะน้ําคร่ํามากอย่างเฉียบพลัน แต่จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ
ผลต่อการตั้งครรภ์
ผลต่อมารดา
1.ระยะตั้งครรภ์ เกิดความไม่สุขสบายจากการกดทับของมดลูกที่มีขนาดใหญ่ เช่น อึดอัด หายใจลําบาก ท้องอืด เนื่องจากมีการขยายตัวของมดลูกมากเกินไป
2.อาจเกิดการคลอดก่อนกําหนด
3.ช็อคจากความดันในช่องท้องลดลงอย่างรวดเร็ว
4.ตกเลือดหลังคลอด ติดเชื้อหลังคลอด
ผลต่อทารก
1.เสี่ยงต่อการเกิดภาวะพิการ และการคลอดก่อนกําหนด
2.เกิดภาวะ fetal distress จากการเกิดสายสะดือย้อย (prolapsed umbilical cord)
3.ทารกอยู่ท่าผิดปกติและไม่คงที่ เนื่องจากมีปริมาณน้ําคร่ํามาก ทารกจึงหมุนเปลี่ยนท่าไปมาได้ง่าย
อาการและอาการแสดง
1.แน่นอึดอัด หายใจลําบาก เจ็บชายโครง
2.มีอาการบวมบริเวณเท้า ขา และปากช่องคลอด
3.น้ําหนักตัวเพิ่มขึ้น
การพยาบาล
ระยะคลอด
2.ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก
3.ฟัง FHSในระยะ latent ทุก 30 นาที และระยะ active ทุก 15 นาที
1.ให้นอนพักบนเตียง เพื่อป้องกันภาวะน้ําคร่ําแตกก่อนกําหนด
4.ให้ได้รับสารน้ําและอาหารตามแผนการรักษา
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลเหมือนกับสตรีตั้งครรภ์แฝด โดยเฉพาะดูแลการหดรัดตัวของมดลูกเพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
ระยะตั้งครรภ์
2.ดูแลเพื่อบรรเทาอาการอึดอัดแน่นท้อง จากการขยายตัวของมดลูก
2.1จัดท่ามารดานอนตะแคง ยกศีรษะสูงเล็กน้อยประมาณ 30 องศา
2.2สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะ congestive heart failure
2.3แนะนําให้มารดารับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
2.4แนะนําให้มารดาสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบาย
2.5 ดูแลให้ได้รับการเจาะดูดน้ําคร่ําออก ตามแผนการรักษาของแพทย์ โดยการประเมินสัญญาณชีพ, FHS, การหดรัดตัวของมดลูก ก่อนและหลังการรักษา
2.6 เฝ้าระวังและตรวจติดตามสุขภาพของทารกในครรภ์
1.ประเมินการเกิดภาวะตั้งครรภ์แฝดน้ําจากการซักประวัติอาการและอาการแสดง การตรวจร่างกาย
ภาวะน้ำคร่ำน้อย(oligohydramnios)
สาเหตุ
3.รกเสื่อมสภาพ
4.การตั้งครรภ์เกินกําหนด
2.ทารกในครรภ์มีภาวะผิดปกติ โดยเฉพาะระบบของไตและระบบทางเดินปัสสาวะ
5.ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
1.ถุงน้ําคร่ําแตกก่อนกําหนด ทําให้เกิดภาวะนี้ได้ 26-35 %
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
ผลต่อมารดา
มีโอกาสผ่าตัดคลอดทารกทางหน้าท้องมากกว่าการตั้งครรภ์ปกติ เนื่องจากทารกในครรภ์เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ fetal distress
ผลต่อทารก
1.มีโอกาสคลอดก่อนกําหนด ถ้าเกิดในอายุครรภ์น้อย ทารกมักมีความพิการรุนแรง
2.ภาวะปอดแฟบ (pulmonary hypoplasia)
3.Amniotic band syndrome คือการเกิดเยื่อพังผืดรัดและดึงรั้งมือและแขนหลายบริเวณ เนื่องจากการมีน้ําคร่ําน้อยในโพรงมดลูก
4.ทารกอยู่ในภาวะคับขัน (fetal distress)
5.ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
การพยาบาล
2.ดูแลให้ได้รับการใส่สารน้ําเข้าไปในถุงน้ําคร้ํา (amnioinfusion) ตามแผนการรักษาของแพทย์
3.รับฟังปัญหา แสดงความเห็นอกเห็นใจ และกระตุ้นให้ระบายความรู้สึก
1.อธิบายถึงสาเหตุการเกิดภาวะดังกล่าว และแนวทางการรักษา
การตั้งครรภ์ที่ทารกมีจํานวนมากกว่า1 คน(Multiple/Twins pregnancy)
ชนิดและสาเหตุการตั้งครรภ์แฝด
แฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวหรือแฝดแท้ (monozygotic twins / identical twins) เป็นแฝดที่เกิดจากการปฏิสนธิจากไข่ 1 ใบ และตัวอสุจิ 1 ตัว ทารกแฝดชนิดนี้จะมีรูปร่าง หน้าตา เพศ และลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันสาเหตุการตั้งครรภ์แฝดชนิดนี้เชื่อว่าเป็นไปตามธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านอายุ เชื้อชาติ
แฝดที่เกิดจากไข่คนละใบ หรือแฝดเทียม (dizygotic twins/ fratemal) เป็นการตั้งครรภ์แฝดที่เกิดจากไข่ 2 ใบผสมกับอสุจิ 2 ตัว amnion 2 อัน และ chorion 2 อัน มีรก 2 อัน
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
ผลต่อมารดา
ระยะตั้งครรภ์
มีอาการคลื่นไส้อาเจียนมาก
มีภาวะโลหิตจางเนื่องจากครรภ์แฝดมีการเพิ่มขึ้น
การตกเลือดก่อนคลอดเช่น รกเกาะต่ํา รกลอกตัวก่อนกําหนดโดยเฉพาะเมื่อรกมีขนาดลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อคลอดแฝดคนแรกแล้ว
เกิดภาวะความดันโลหิตสูงเนื่องจากตั้งครรภ์พบมากกว่าครรภ์เดี่ยวและมีแนวโน้มเป็นเร็วและรุนแรง
ระยะคลอด
กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวผิดปกติเนื่องจากมีการยืดขยายมากเกินไป
รกลอกตัวก่อนกําหนด
ระยะหลังคลอด
ตกเลือดหลังคลอดพบได้มากกว่าครรภ์เดี่ยวเนื่องจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดีหรือมีภาวะรกค้าง
2.การติดเชื้อหลังคลอด
การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาอาจเกิดความยาดลําบาก
ผลต่อทารก
การแท้ง
2.ทารกตายในครรภ์
ภาวะคลอดก่อนกําหนด
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ
การตั้งครรภ์แฝด 2 คน เรียกว่าtwins
การตั้งครรภ์แฝด 3 คน เรียกว่าtriplets
การตั้งครรภ์แฝด 4 คน เรียกว่าquadruplets
การตั้งครรภ์แฝด 5 คน เรียกว่าquintuplets
หลักการพยาบาล
ระยะคลอด
1.การพิจารณาวิธีการคลอด
1.1 การคลอดทางช่องคลอด ถ้าน้ําหนักทารกมากกว่า 1,500 กรัม และไม่มีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆพิจารณาคลอดทางช่องคลอดได้
1.2 การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
ในรายที่ได้รับการประเมินจากสูติแพทย์ให้คลอดทางช่องคลอด
2.2 ตรวจความเข้มข้นของเลือด และเตรียมเลือดไว้ให้พร้อม
2.3 ให้มารดางดน้ํา งดอาหาร และให้สารน้ํา
2.1 ตลอดระยะเวลาการเจ็บครรภ์คลอด ให้ติดตั้งเครื่อง EFM ไว้ตลอดเวลาเพื่อประเมินภาวะสุขภาพของทารกในครรภ์
ระยะหลังคลอด
เฝ้าระวังการตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดีโดยให้ oxytocin drug
ป้องกันการติดเชื้อโดยดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาและประเมินการติดเชื้อ
แนะนําการดูแลบุตร การเลี้ยงทารกด้วยนมมารดา
แนะนําวิธีการคุมกําเนิด
ระยะตั้งครรภ์
ดูแลให้ได้รับอาหารอย่างเพียงพอ แนะนําให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบ 5 หมู่
เฝ้าระวังการเกิดภาวะโลหิตจางอาจให้โฟลิคเสริม
เฝ้าระวังการความดันโลหิตสูงในระหว่างตั้งครรภ์
ควรงดมีเพศสัมพันธ์เพื่อลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกําหนดในไตมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์
ติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์หากติดตามจากระดับยอดมดลูกอาจจะประเมินได้ลําบาก ควรติดตามด้วยการทํา อัลตราซาวด์
ทารกพิการ(Fetal anormaly)
ภาวะจิตสังคมของครอบครัวที่ต้องเผชิญกับภาวะมีบุตรพิการแต่กําเนิด
ระยะคลอด
ผู้คลอดที่รับรู้ว่ามาก่อนว่าทารกในครรภ์มีความพิการหรือมีความผิดปกติเกิดขึ้นมักจะมีความเครียด กลัว วิตกกังวล เนื่องจากไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าว่าผลการคลอดจะเป็นอย่างไร ซึ่งผลกระทบทางด้านอารมณ์นี้อาจส่งผลให้เกิดการคลอดล่าช้า
ระยะหลังคลอด
ครอบครัวอาจจะเข้าสู่ระยะเศร้าโศก แม้ว่าจะทราบหรือรู้ล่วงหน้าว่าทารกที่คลอดออกมาจะมีความพิการก็ตาม ส่วนใหญ่ครอบครัวจะกลับเข้าสู่ภาวะเดิมอีก คือ ช็อค ปฏิเสธ และกลัว
ระยะตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์มักจะเกิดความเครียดและวิตกกังวลสูงเมื่ออยู่ในระยะที่ต้องตัดสินใจตรวจสอบความผิดปกติของทารกในครรภ์ เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงที่จะให้กําเนิดทารกที่มีความพิการบิดามารดาบางรายอาจรู้สึกผิด แต่อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยทางพันธุกรรมจะยังไม่ได้รับการยืนยันที่แน่นอนจนกว่าทารกจะคลอดออกมาสําหรับผลการตรวจที่พบว่าทารกมีความผิดปกติคู่สามีภรรยาจะมีความวิตกกังวลสูงมาก รู้สึกเศร้าโศก สิ้นหวังความต้องการทําแท้งอาจเกิดขึ้นในกรณีที่สตรีตั้งครรภ์ไม่สามารถปรับตัวได้
ความผิดปกติของทารกสามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มดังนี้
2.Disruptionหมายถึง ความผิดปกติทางรูปร่างของอวัยวะหรือส่วนของอวัยวะ เป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกมาขัดขวางขบวนการเจริญเติบโตของอวัยวะนั้น
3.Deformationหมายถึง ความผิดปกติของรูปร่างหรือโครงสร้างของอวัยวะของร่างกายเดิมเคยปกติมาก่อน
1.Malformationหมายถึงเป็นความผิดปกติทางรูปร่างของอวัยวะหรือส่วนของอวัยวะ เช่น ความผิดปกติที่เกิดจากยีนและโครโมโซมได้แก่ ปากแหว่ง เพดานโหว่
4.Dysplasiaหมายถึง ความผิดปกติทางรูปร่างของอวัยวะหรือส่วนของอวัยวะอันเป็นผลมาจากความผิดปกติของการจัดระเบียบของเซลล์ที่จะเจริญไปเป็นเนื้อเยื่อ
สาเหตุ
2.สิ่งแวดล้อม
ทําให้เกิดความผิดปกติแก่ทารก ส่วนใหญ่ความพิการจะเกิดในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เช่น การใช้ยา การติดเชื้อ สภาพของมารดา และปัจจัยจากมดลูก
1.ปัจจัยด้านพันธุกรรม สตรีตั้งครรภ์มีอายุมากกว่า 35 ปี
1.3ความผิดปกติชนิดพหุปัจจัย เกิดจากความผิดปกติของยีนหลายตัวร่วมกับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม
1.2ความผิดปกติของยีนเดียว เป็นโรคที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนใดยีนหนึ่ง โรคที่พบบ่อยเช่น ธาลัสซีเมีย,G-6-PD
1.1ความผิดปกติของโครโมโซม เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของโครโมโซมอาจเป็นทั้งโครโมโซม หรือเป็นบางส่วนของโครโมโซ มีกลุ่มอาการดาวน์กลุ่มอาการ trisomy 18 กลุ่มอาการ turner
ชนิดความพิการ
ทารกศีรษะบวมน้ําหรือภาวะน้ําคั่งในโพรงสมอง(Hydrocephalus)
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติ
1.1ประวัติการติดเชื้อโรคบางชนิด
1.2 ประวัติการได้รับยาขณะตั้งครรภ์ได้แก่Aminophyrine หรือAmethopterin
1.3ตรวจพบปริมาณน้ําคร่ํามากผิดปกติ
2.การตรวจร่างกาย
2.1จากการตรวจหน้าท้อง ในกรณีที่ส่วนนําเป็นศีรษะ การคลําทางหน้าท้องจะรู้สึกได้ถึงส่วนของศีรษะที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ
2.2การตรวจพิเศษเช่นskull X –ray, Ultrasound
การรักษา
ขณะตั้งครรภ์ครรภ์
รายไม่รุนแรงและไม่ความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยมักแนะนําให้ติดตามการเปลี่ยนแปลง
อาจพิจารณายุติการตั้งครรภ์กรณีเป็นรุนแรงมาก
อาจเลือกยุติการตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์ยังน้อยซึ่งไม่สามารถเลี้ยงรอดได้
รักษาด้วยการใส่ shunt ในครรภ์ ต้องพิจารณาทําในรายอายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์ ซึ่งมีโครโมโซมปก
การดูแลทารก
1.ให้การพยาบาลทารกแรกเกิดโดยทั่วไป ได้แก่ ท่านอน การหายใจ การให้ความอบอุ่น
2.ให้การพยาบาลตามอาการ วัดขนาดของรอบศีรษะทารกทุกวัน
3.สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
4.อธิบายให้บิดามารดาเข้าใจสภาพของทารก และบันทึกอาการและการพยาบาล
พยาธิสภาพ
ภายในกะโหลกศีรษะประกอบด้วยเนื้อสมองและเยื่อหุ้มสมอง น้ําไขสันหลัง และโลหิต ดังนั้นความดันในกะโหลกศีรษะจึงเกิดจากผลรวมของความดันจากส่วนประกอบที่กล่าวมา เมื่อมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของส่วนประกอบใดส่วนประกอบหนึ่ง ส่วนประกอบที่เหลือก็จะมีการปรับตัวเพื่อให้ เกิดความสมดุล ให้สมองสามารถทํางานได้ตามปกติ
ทารกศีรษะเล็ก(Microcephaly)
การพยาบาล
1.ให้การพยาบาลทารกแรกเกิดโดยทั่วไป ได้แก่ การดูแลเกี่ยวกับท่านอน การหายใจและการให้ความอบอุ่น
2.ให้การพยาบาลตามอาการและอาการแสดง
3.สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงต่างๆ และอาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทของทารกเกี่ยวกับระบบ Motor และ Mental retardation
4.อธิบายให้บิดามารดาเข้าใจเกี่ยวกับสภาพของทารก
5.บันทึกอาการแลอาการแสดง
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติ
1.1มารดามีประวัติเป็น Phenylketonuria
1.2มารดาเป็น Rubella, Syphilis
1.3พบว่ามีพี่น้องเคยเป็น Microcephaly
1.4ได้รับรังสีขณะอยู่ในครรภ์
1.6มารดาไดรับเชื้อโรคไข้ซิกา
2.อาการและอาการแสดง จากลักษณะทั่วไป พบว่า ขนาดของศีรษะเล็กกว่าปกติหน้าผากเล็กใบหูใหญ่
3.ผลการตรวจทางห้องทดลอง ได้แก่ Skull X-ray, Lumbar serologic test
พยาธิสภาพ
สมองของทารกจะมีขนาดเล็ก น้ําหนักน้อยกว่าปกติ จํานวนและความลึกของคลื่นหรือรอยหยักของเนื้อสมองจะลดลง สมองส่วน Frontal lobe จะมีขนาดเล็กและไม่ได้สัดส่วนกับ Cerebellum ซึ่งมีขนาดใหญ่
ดาวน์ซินโดรม
สาเหตุ
เกิดจากการมีโครโมโซมเกินไป 1 แท่ง คือโครโมโซมคู่ที่ 21 มี 3 แท่ง แทนที่จะมี 2 แท่งตามปกติ ความผิดปกตินี้เรียกว่า trisomy 21
อาการ
1.ลักษณะภายนอกที่พบ
1.1ศีรษะและตา มีศีรษะแบนกว้าง และท้ายทอยแบน ตายาวรี เฉียงออกด้านนอกและชี้ขึ้นบน
1.2จมูกและหู มีจมูกไม่มีสัน ใบหูเล็กอยู่ต่ํากว่าปกติ
1.3ปากและคอ มีเพดานปากโค้งนูน บางรายอาจโหว่ ขากรรไกรบนเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทําให้ช่องปากแคบและลิ้นคับปาก
1.3ท้อง มีหน้าท้องยื่น กล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนยาน มีการแยกแตกของกล้ามเนื้อ rectus และมักมีไส้เลื่อนสะดือ
2.ปัญญาอ่อน จะมีพัฒนาการช้าหว่าเด็กธรรมกา มี IQ เฉลี่ย 25-50
3.มักพบความพิการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจแต่กําเนิด ความผิดปกติของทางเดินอาหาร
4.การเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์ ในผู้ชายมีองคชาติขนาดเล็กหว่าปกติ ผลิตสเปิร์มได้น้อย
การรักษา
การรักษาในปัจจุบันเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ มุ่งเน้นให้เด็กสามารถช่วยเหลือตัวเองได้
ภาวะหลอดประสาทไม่ปิด (neural tube defects: NTDs)
สาเหตุของการเกิด NTDs
Genetic factors:95% ของมารดาที่ให้กําเนิดทารก NTD ไม่มีประวัติในครอบครัวมาก่อนแต่มีหลายหลักฐานที่ระบุว่า NTD มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม
Environmental factors:ปัจจัยภายนอกที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิด NTD มีหลายปัจจัย อาทิgeography, ethnicity, nutrition, maternal illness, maternal age and parity, previous abortions, multiple gestations, obesity, parental socioeconomic status, parental occupational exposure
ปากแหว่งเพดานโหว่
การพยาบาลทารกแรกเกิด
ดูแลด้านจิตใจสําหรับบิดา มารดา ที่ทารกมีปัญหาปากแหว่าง เพดานโหว่เพื่อลดความวิตกกังวลของบิดา มารดา
ให้คําแนะนําเกี่ยวกับการดูแลทารกแรกเกิดที่พบปัญหาปากแหว่ง เพดานโหว่ เช่น เตรียมลูกสูบยางแดงไว้เพื่อดูดเสมหะในปากหรือจมูก
3.ดูแลการให้นมแม่
3.1ทารกที่มีภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่ ทารกที่มีปากแหว่งเพียงอย่างเดียว สามารถดูดนมแม่ได้เพราะในช่องปาก ลิ้น และเพดานไม่ได้มีความผิดปกติและเพื่อให้การดูดนมมีประสิทธิภาพควรสอนมารดให้นิ้วโป้งปิดบริเวณช้องปากที่แหว่งเมื่อทารกงับหัวนมและลานนมแล้ว
3.4ท่านอนขวางตักประยุกต์และท่าฟุตบอล สามารถนํามาใช้ในทารกที่มีปัญหาปากแหว่งได้
3.2ทารกที่มีภาวะเพดานโหว่จะดูดนมแม่ประสบความสําเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งด้านแม่และด้านทารก ปัจจัยด้านแม่ คือ หัวนมของมารดาต้องไม่แบน บุ๋ม หรือใหญ่เกินไป
3.3ท่านอน ให้มารดานอนตะแคง
4.กรณีที่ทารกไม่สามารถดูดนมแม่ได้แนะนํามารดา
4.1 ให้ใช้ขวดนมพิเศษที่เป็นพลาสติกอ่อน สามารถช่วยบีบให้น้ํานมไหลออกได้
4.2 ใช้ช้อนหรือแก้ว เพื่อป้อนนมไหลเข้าคอได้โดยมีการดูดนมน้อยที่สุด
4.3 ใช้ syringe ต่อกับท่อยางนิ่ม ป้อนบริเวณกระพุ่งแก้มด้านในหรือให้นมไหลผ่านบริเวณบนลิ้น
4.4 จัดท่าทารกให้อยู่ในท่านอนหัวสูงหรือท่านั่งเพื่อป้องกันการสําลักเมื่อมีการให้
5.ภายหลังการให้ทารกดูดนมหรือให้นมต้องไล่ลมเป็นระยะ ๆ ทุก 15-30 นาที และจัดท่านอนหัวสูงและนอนตะแคงขวาให้ใบหน้าตะแคงเพื่อป้องกันอาการท้องอืด อาเจียน และสําลัก
อาการและอาการแสดง
2.ทารกที่มีเพดานโหว่มักจะสําลักน้ํานมขึ้นจมูกและเข้าช่องหูชั้นกลางหรือสําลักนมเข้าปอดได้
3.การได้ยินผิดปกติ
1.ทารกที่มีปากแหว่งเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถอมหัวนมหรือจุกนมได้สนิท มีลมรั่วเข้าไปขณะดูดนม ทารกต้องออกแรงมากในการดูดนม
4.การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนต้น
สาเหตุ
2.สิ่งแวดล้อม เช่น มารดาติดเชื้อหัดเยอรมันในช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก มารดาขาดวิตามินและสารโฟเลท มารดาสูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์
1.กรรมพันธุ์ ครอบครัวที่มีพ่อแม่หรือญาติทางฝ่ายพ่อหรือแม่มีประวัติเป็น
เยื่อหุ้มไขสันหลังยื่น (Spina bifida)
ชนิดของกระดูกสันหลังโหว่
1.spin bifida occulta เป็นความผิดปกติของกระดูกสันหลังตรงตําแหน่ง vertebal archesทําให้เกิดช่องโหว่ระหว่างแนวกระดูกสันหลัง อาจพบมีกระจุกขน ถุงน้ํา ก้อนเนื้องอกที่เกิดจากการรวมกันของเส้นเลือด ไม่พบอาการผิดปกติใด ๆ
2.spina bifida cystica เป็นความผิดปกติของส่วนโค้งกระดูกสันหลัง ทําให้มีการยื่นของไขสันหลังหรือเยื่อหุ้มสมองผ่านกระดูกสันหลังออกมา
2.2 myelomeningocele หรือ meningomyelocele ก้อนหรือถุงนี้ประกอบด้วยเยื้อหุ้มสมอง น้ําไขสันหลัง และไขสันหลัง ความผิดปกตินี้อาจส่งผลให้เกิดอัมพาตหรือสูญเสียการรับรู้บางส่วน หรือทั้งหมดของกล้ามเนื้อที่ต่ํากว่าก้อนหรือถุง
2.1 meningocele ก้อนหรือถุงนี้มีเยื่อหุ้มสมอง และน้ําไขสันหลัง แต่ไม่มีเนื้อเยื่อประสาทไขสันหลังออกมาด้วย ความผิดปกตินี้ไม่มีผลต่อเส้นประสาทไม่เกิดอัมพาตหรือเสียการรับรู้
การรักษา
กระดูกสันหลังโผล่ชนิด spin bifida occultaไม่จําเป็นต้องรักษาแต่ถ้าเป็นชนิด spina bifida cysticaมีวิธีการรักษาโดยการผ่าตัดปิดซ่อมแซมรอยโรคภายใน 24-48 ชั่วโมงภายหลังคลอด เพื่อลดการติดเชื้อหรือรักษาระบบประสาทไว้ไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น
การดูแลและการพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
1.ตรวจสอบความพิการของทารกในครรภ์ เพื่อยืนยันภาวะดังกล่าว เช่น การเจาะน้ําคร่ําการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ
2.ดูแลให้การสนับสนุนทางด้านจิตใจเมื่อผลการตรวจวินิจฉัยพบภาวะผิดปกติ
ระยะคลอด
1.ให้ได้รับการสิ้นสุดการตั้งครรภ์ตามแผนการรักษาของแพทย์
2.ประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์ ฟังเสียงหัวใจทารก และประเมินการหดรัดตัวของมดลูก
ระยะหลังคลอด
1.ประเมินความต้องการสัมผัสทารก
2.ให้การประคับประคองทางด้านจิตใจ
ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า(Intra Uterine Growth Restriction: IUGR)
การพยาบาล
ระยะคลอด
1 ควรติดตาม ประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิด เพราะทารกมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ fetal distress ได้สูง
2 ติดตามประเมินความก้าวหน้าของการคลอดอย่างใกล้ชิด
3 ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกและเสียงหัวใจทารกทุก ½ -1 ชั่วโมง
4 หลีกเลี่ยงการให้ยาแก้ปวด เนื่องจากยาจะกดการหายใจของทารกได้
ระยะหลังคลอด
ให้การดูแลทารกเพื่อเฝ้าระวัง และป้องกันการเกิดภาวะhypoglycemia, hypothermia, polycythemia
ระยะตั้งครรภ์
2 แนะนําให้มารดาพักผ่อนมากๆ โดยเฉพาะการนอนตะแคงซ้าย
3 ติดตามสุขภาพของทารกในครรภ์ โดยแนะนําให้มารดานับลูกดิ้นทุกวัน
1 แนะนํามารดาเกี่ยวกับการรับประทานอาหารหลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือสารเสพติด
การจําแนกประเภทของ IUGR
1.ทารกโตช้าในครรภ์แบบได้สัดส่วน (Symmetrical IUGR) ทารกในกลุ่มนี้จะมีการเจริญเติบโตช้าทุกระบบของร่างกาย
1.1 สตรีตั้งครรภ์มีภาวะทุพโภชนาการ หรือมีน้ําหนักตัวก่อนคลอดน้อยกว่า 45 กิโลกรัมหรือน้ําหนักไม่เพิ่มขึ้นเลยขณะตั้งครรภ์
1.2 สัมพันธ์กับความผิดปกติของโครโมโซมหรือการติดเชื้อในระยะแรกของการตั้งครรภ์ เช่น หัดเยอรมัน
1.3 การได้รับยาหรือสารเสพติด
2.ทารกโตช้าในครรภ์แบบไม่ได้สัดส่วน (Asymmetrical IUGR) ทารกที่มีการเจริญเติบโตช้าแบบไม่ได้สัดส่วน พบได้ร้อยละ 80 ซึ่งทารกจะเจริญเติบโตช้าในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์
2.1 สตรีตั้งครรภ์มีประวัติเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์ โรคเบาหวาน โรคของระบบภูมิคุ้มกัน
2.2 สตีตั้งครรภ์เป็นโรคเกี่ยวกับเม็ดเลือดแดงในการจับออกซิเจน เช่น โลหิตจาง
2.3 สตรีตั้งครรภ์ที่มีประวัติโรคไต ที่มีการสูญเสียโปรตีนออกทางปัสสาวะ
2.4 ภาวะครรภ์แฝด พบว่าอัตราการเกิดทารก IUGR ในครรภ์แฝดสูง
2.5 ความผิดปกติของรกและสายสะดือ ทําให้อาหารและออกซิเจนมาเลี้ยงทารกลดลง
สาเหตุ
ด้านมารดา
ภาวะโลหิตจางรุนแรง เช่น โรคธาลัสซีเมีย
มารดามีภาวะติดเชื้อ
ภาวะขาดสารอาหาร น้ําหนักของมารดาไม่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์
โรคของมารดา เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานโรคไตเรื้อรัง
มารดามีรูปร่างเล็ก
ด้านทารก
ความพิการแต่กําเนิดความผิดปกติของโครงสร้าง และอวัยวะของร่างกาย
การติดเชื้อในระยะตั้งครรภ์ วัณโรค, การติดเชื้อมาเลเลีย
ความผิดปกติของโครโมโซม เช่น trisomy 21, trisomy 13, trisomy 18
ทารกตายในครรภ์(Fetal demise)
การรักษา
1.ไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ขนาดของมดลูกโตไม่เกิน 14 สัปดาห์ทําการ dilatation and curettageหรือ suction curettage
2.ช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ เหน็บยา prostaglandin ได้แก่ PGE2 และ misoprostolทางช่องคลอด หรือให้ oxytocin ทางหลอดเลือดดํา
3.ไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์ ให้ oxytocin ปริมาณความเข้มข้นสูง ทางหลอดเลือดดํา
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
1.ด้านร่างกาย ถ้าทารกตายในครรภ์เป็นเวลาตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป จะมีโอกาสเกิดภาวะเลือดไม่แข็งตัว (coagulopathy) เกิดภาวะลิ่มเลือดกระจายอยู่ทั่วร่างกาย (disseminated intravascular coagulation: DIC) นอกจากนั้นยังพบว่ามารดาจะมีภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ําลง การทําหน้าที่ของ T-cell ลดต่ําลง มีโอกาสติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น
2.ด้านจิตใจ ทําให้เกิดความรู้สึกสูญเสีย ตกใจ ซึมเศร้า โทษตัวเอง อาจพบว่ามีการใช้บุหรี่สุรา สารเสพติดหรือยากล่อมประสาทสูงกว่าประชากรทั่วไป
สาเหตุ
ด้านมารดา
3.ภาวะทางสูติกรรม เช่น คลอดก่อนกําหนด
4.ไม่มาฝากครรภ์ หรือมาฝากครรภ์ไม่ครบตามกําหนด
2.มารดาอายุมากกว่า 35 ปี
5.มีภาวะรกลอกตัวก่อนกําหนด รกเกาะต่ํา
1.มีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์โรคทางอายุรศาสตร์เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานSLE โรคไตชนิดรุนแรง โรคต่อมธัยรอยด์ โรคอ้วน
6.ความผิดปกติของสายสะดือ
ด้านทารก
1.มีภาวะพิการแต่กําเนิด เช่น ความผิดปกติของโครโมโซ
2.ทารกมีภาวะเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
3.มีการกดทับสายสะดือจากสายสะดือย้อย (prolapsed cord)
ด้านรก
รกลอกตัวก่อนกําหนด การติดเชื้อในโพรงมดลูก เส้นเลือดอุดกั้นในสายสะดือ สายสะดือผิดปกติ
การพยาบาล
2.แนะนําให้สามีและครอบครัวให้กําลังใจ ปลอบใจ เพื่อให้มีกําลังใจและการปรับตัวอย่างเหมาะสม
3.ประเมินความต้องการสัมผัสกับทารกแรกคลอดที่เสียชีวิต
1.ให้การประคับประคองทางด้านจิตใจ แสดงความเห็นอกเห็นใจ ใช้คําพูดที่สุภาพ และนุ่มนวล
4.ดูแลให้ได้รับการสิ้นสุดการตั้งครรภ์ ตามแผนการรักษาของแพทย์
5.ติดตามผลการตรวจเลือดเพื่อหาระยะการแข็งตัวของเลือด clottingtime ระดับของfibrinogen ในกรณีที่ทารกตายในครรภ์เกิน 2 สัปดาห์
6.ให้ได้รับยายับยั้งการหลั่งน้ํานมตามแผนการรักษาของแพทย์