Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีความปิดปกติ ของรกน้ำคร่ำ และความผิดปกติของทารก…
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีความปิดปกติ
ของรกน้ำคร่ำ และความผิดปกติของทารกในครรภ์
ภาวะน้ำคร่ำผิดปกติ
(Polydramnios/Oligohydramnios)
ภาวะน้ำคร่ำมากผิดปกติ หรือการตั้งครรภ์แฝดน้ำ
(Hydramnios/ polyhydramnios)
ความหมาย
การตั้งครรภ์ที่มีน้ําคร่ำมาก ผิดปกติ เกินเปอร์เซ็นไทล์ที่ 95 หรือ 97.5 ของแต่ละอายุครรภ์ มีปริมาณน้ําคร่ำมากกว่ากว่า 2,000 มล.
อุบัติการณ์
การเกิดครรภ์แฝดน้ําพบประมาณร้อยละ1ของการตั้งครรภ์
พยาธิสรีรวิทยา
ความสมดุลของปริมาณน้ําคร่ำในครรภ์มารดา สัมพันธ์กับปริมาณของเหลวที่เข้าและออกจากถุง น้ําคร่ำ ซึ่งจะแตกต่างกันตามอายุครรภ์ ช่วงหลังของการตั้งครรภ์มักจะสัมพันธ์กับปริมาณ ปัสสาวะของทารก ช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ น้ําคร่ำจะมาจากปัสสาวะร้อยละ 30 ของน้ําหนักตัว จาการกลืน ร้อยละ 20-25 และสร้างจากปอด ร้อยละ 10 ดังนั้นความผิดปกติของปริมาณน้ําคร่ำจะสัมพันธ์กับ ความสมดุลของปริมาณของเหลวที่เข้าและออกจากถุงน้ําคร่ำ มากหรือน้อยขึ้นกับความรุนแรงที่ เกิดขึ้น
สาเหตุ
ด้านมารดา
เป็นโรคเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์แฝด
ด้านทารก
ความผิดปกติของระบบประสาท
การอุดกั้นของระบบทางเดินอาหาร
ความพิการของทารกในครรภ์
การกลืนของทารก
ไม่ทราบสาเหตุ
พบได้บ่อยที่สุดถึงร้อยละ 60 ไม่พบความผิดปกติของ มารดาและทารกในครรภ์
การจำแนก
chronic hydramnios
ส่วนใหญ่จะพบเมื่ออายุครรภ์ 30 สัปดาห์ขึ้นไป
สตรีตั้งครรภ์อาจมีอาการหายใจลําบาก อึดอัด
Acute hydramnios
พบได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 20-24 สัปดาห์
มีอาการไม่ สุขสบาย ปวดหลังและหน้าขา แน่นอึดอัดในช่องท้อง หายใจลําบากหรือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
มีอาการบวมที่ผนังหน้าท้อง อวัยวะเพศและหน้าขา ไม่สามารถคลําหาส่วน ต่างๆของทารกได้อย่างชัดเจน
ผลต่อการตั้งครรภ์
ผลต่อมารดา
2.อาจเกิดการคลอดก่อนกําหนด
3.ช็อคจากความดันในช่องท้องลดลงอย่างรวดเร็ว
1.ระยะตั้งครรภ์ เกิดความไม่สุขสบายจากการกดทับของมดลูกที่มีขนาดใหญ่
4.ตกเลือดหลังคลอด
5.ติดเชื้อหลังคลอด
ผลต่อทารก
1.เสี่ยงต่อการเกิดภาวะพิการ และการคลอดก่อนกําหนด
2.เกิดภาวะ fetal distress จากการเกิดสายสะดือย้อย (prolapsed umbilical cord)
3.ทารกอยู่ท่าผิดปกติและไม่คงที่ เนื่องจากมีปริมาณน้ำคร่ำมาก ทารกจึงหมุนเปลี่ยนท่าไปมาได้ง่าย
อาการและอาการแสดง
2.มีอาการบวมบริเวณเท้า ขา และปากช่องคลอด
1.แน่นอึดอัด หายใจลําบาก เจ็บชายโครง
3.น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติอาการ และอาการแสดงการเกิดภาวะครรภ์แฝดน้ํา
2.การตรวจร่างกาย
2.1 หน้าท้องขยายใหญ่ มดลูกมีรูปร่างกลมมากกว่ารูปร่างไข่ ขนาดมดลูกโตกว่าอายุครรภ์มากผิดปกติผนังหน้าท้องตึง บาง ใส เห็นเส้นเลือดดําทางหน้าท้อง
2.2 คลําหาส่วนต่างๆของทารกได้ลําบาก
2.3 ฟังเสียง FHS ไม่ได้ยินหรือได้ยินไม่ชัดเจน
2.4 น้ำหนักตัวมารดาเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่า 1 กิโลกรม/สัปดาห์
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การหาค่า amniotic fluid index (AFI)
การดูแลรักษา
2.การรักษาด้วยยา prostaglandin synthetase inhibitors
3.รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง
4.ให้ยาขับปัสสาวะหากพบมีภาวะบวม
6.การเจาะถุงน้ํำในระยะคลอด ให้น้ํำคร่ํำไหลช้าที่สุด
5.ให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก (tocolyticdrug)
7.การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องในรายที่มีส่วนนําและท่าของทารกที่ผิดปกติ
8.ในระยะหลังคลอดหากมารดามีอาการตกเลือด ให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
1.การเจาะดูดน้ำคร่ำออก (amnioreduction)
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
1.ประเมินการเกิดภาวะตั้งครรภ์แฝดน้ำจากการซักประวัติอาการและอาการแสดง การตรวจร่างกาย
2.ดูแลเพื่อบรรเทาอาการอึดอัดแน่นท้อง
จากการขยายตัวของมดลูก
2.3แนะนําให้มารดารับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
2.4แนะนําให้มารดาสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบาย
2.2สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะ congestive heart failure
2.5 ดูแลให้ได้รับการเจาะดูดน้ําคร่ําออก ตามแผนการรักษาของแพทย์
2.1จัดท่ามารดานอนตะแคง ยกศีรษะสูงเล็กน้อยประมาณ 30 องศา
2.6 เฝ้าระวังและตรวจติดตามสุขภาพของทารกในครรภ์
ระยะคลอด
1.ให้นอนพักบนเตียง
2.ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก
3.ฟัง FHSในระยะ latent ทุก 30 นาที และระยะ active ทุก 15 นาที
4.ให้ได้รับสารน้ำและอาหารตามแผนการรักษา
5.ขณะแพทย์เจาะถุงน้ำ ต้องระมัดระวังให้น้ำคร่ำไหลออกมาอย่างช้าๆ จัดให้มารดานอนพักบนเตียงเพื่อป้องกันภาวะสายสะดือย้อย
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลเหมือนกับสตรีตั้งครรภ์แฝด โดยเฉพาะดูแลการหดรัดตัวของมดลูกเพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
ภาวะน้ำคร่ำน้อย
(oligohydramnios)
ความหมาย
การตั้งครรภ์ที่มีน้ำคร่ำน้อยกว่า300 มิลลิลิตร
สาเหตุ
4.รกเสื่อมสภาพ
2.ทารกในครรภ์มีภาวะผิดปกติ โดยเฉพาะระบบของไตและระบบทางเดินปัสสาวะ
6.ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
3.ความผิดปกติของโครโมโซม
1.ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกําหนด ทําให้เกิดภาวะนี้ได้ 26-35 %
5.การตั้งครรภ์เกินกําหนด
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
ผลต่อทารก
Amniotic band syndrome
1.มีโอกาสคลอดก่อนกําหนด ถ้าในอายุครรภ์น้อย ทารกมีความพิการรุนแรง
Pulmonary hypoplasia
fetal distress
5.ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
ผลต่อมารดา
มีโอกาสผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องมากกว่าครรภ์ปกติ เนื่องจากทารกในครรภ์เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ fetal distress
การวินิจฉัย
2.การวัดดัชนีน้ำคร่ำ amniotic fluid index (AFI) มีค่าน้อยกว่า 5 เซนติเมตร
1.การวัดโพรงน้ำคร่ำที่ลึกที่สุดในแนวดิ่ง (maximum ventrical pocket, MVP)
3.ในกรณีที่อายุครรภ์น้อยกว่า 10 สัปดาห์ ขนาดของถุงน้ำคร่ำกับขนาดของทารก วัดจาก crown-rump length (CRL) ต่างกันน้อยกว่า 5 หรือ สัดส่วนระหว่าง mean gestational sacต่อ crown-rump length (CRL) ผิดไปจากค่าสัดส่วนตามเกณฑ์ในแต่ละอายุครรภ์
การรักษา
ช่วงไตรมาสแรก มีโอกาสแท้งสูงมากถึงร้อยละ 90
เฝ้าระวังภาวะแท้งและติดตามด้วยเครื่องอัลตราซาวน์
ช่วงไตรมาสที่สอง
การดื่มน้ำมากๆ
การเติมน้ำคร่ำด้วย normal saline/ ringers lactate 5% glucose
การประเมินภาวะความผิดปกติแต่กําเนิด และการรักษาภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
ช่วงไตรมาสที่สาม
ติดตามสุขภาพทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิดโดยการทํา non-stress test (NST) ตรวจวัดดัชนีน้ำคร่ำ ตรวจ biophysical profile 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์จนกระทั้งคลอด
การพยาบาล
2.ดูแลให้ได้รับการใส่สารน้ำเข้าไปในถุงน้ำคร่ำ
3.รับฟังปัญหา แสดงความเห็นอกเห็นใจ และกระตุ้นให้ระบายความรู้สึก
1.อธิบายถึงสาเหตุการเกิดภาวะดังกล่าว และแนวทางการรักษา
ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า
(Intra Uterine Growth Restriction: IUGR)
ความหมาย
ทารกที่มีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ไม่เป็นไปตามปกติ ถึงแม้อายุครรภ์จะครบกําหนดแล้วก็ตาม
ทารกที่มีขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์
(small for gestational age: SGA)
ทารกที่มีขนาดเล็กตามธรรมชาติ constitutionally small
ทารกที่มีขนาดเล็กเนื่องปัจจัยทางพันธุกรรม ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับการเจริญเติบโตผิดปกติ
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
Intra Uterine Growth Restriction: IUGR/ Fetal growth restriction: FGR
ทารกที่มีการเจริญเติบโตช้าผิดปกติ อาจเกิดจากภาวะทุพโภชนาการ
สาเหตุ
ด้านมารดา
ภาวะขาดสารอาหาร น้ำหนักของมารดาไม่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์
ภาวะโลหิตจางรุนแรง
มารดามีภาวะติดเชื้อ
มารดามีรูปร่างเล็ก
โรคของมารดา
การตั้งครรภ์แฝด
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมสุขภาพของมารดา
ด้านทารก
การติดเชื้อในระยะตั้งครรภ์
ความผิดปกติของโครโมโซม
ความพิการแต่กําเนิดความผิดปกติของโครงสร้าง และอวัยวะของร่างกาย
การจําแนกประเภทของ IUGR
1.ทารกโตช้าในครรภ์แบบได้สัดส่วน (Symmetrical IUGR)
มีการเจริญเติบโตช้าทุกระบบของร่างกาย ทั้งส่วนที่กว้างของศีรษะ (BPD) เส้นรอบศีรษะ (HC) เส้นรอบท้อง (HC) ความยาวกระดูกต้นขา (FL) มีค่าต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำในอายุครรภ์
2.ทารกโตช้าในครรภ์แบบไม่ได้สัดส่วน (Asymmetrical IUGR)
ทารกจะเจริญเติบโตช้าในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งมีผลต่อขนาดของเซลล์มากกว่าจํานวนเซลล์ พบว่าอัตราการเจริญเติบโตของส่วนท้อง (AC) จะช้ากว่าส่วนศีรษะ (HC)
การวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย
2.2 การชั่งน้ำหนักของสตรีตั้งครรภ์ พบว่า น้ำหนักเพิ่มขึ้นน้อยหรือไม่มีการเพิ่มขึ้น
2.1 การตรวจครรภ์ ขนาดของมดลูกเล็กกว่าอายุครรภ์ 3 เซนติเมตร
การซักประวัติ เพื่อค้นหาสาเหตุและปัจจัยส่งเสริมของการเกิดภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์เช่น โรคประจําตัวของมารดา
3.การตรวจด้วยคลื่นความถี่สูง (ultrasound)
3.2 วัดขนาดของศีรษะทารก
3.4 วัดความยาวของกระดูกต้นขา
3.3 วัดเส้นรอบศีรษะ
3.5 ปริมาณน้ำคร่ำ
3.1 วัดเส้นรอบท้อง
3.6 เกรดของรก
การรักษา
2.ตรวจเฝ้าระวังสุขภาพของทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิด โดยการตรวจ U/S ทุก 2-3 สัปดาห์
1.ค้นหาและลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอันตราย และภาวะแทรกซ้อนกับทารกในครรภ์
3.กําหนดเวลาการคลอดที่เหมาะสม
การพยาบาล
ระยะคลอด
2 ติดตามประเมินความก้าวหน้าของการคลอดอย่างใกล้ชิด
3 ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกและเสียงหัวใจทารกทุก ½ -1 ชั่วโมง
4 หลีกเลี่ยงการให้ยาแก้ปวด เนื่องจากยาจะกดการหายใจของทารกได้
5 กุมารแพทย์ และเตรียมอุปกรณ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพทารกแรกเกิดไว้ให้พร้อม
1 ควรติดตาม ประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิด
ในระยะหลังคลอ
ให้การดูแลทารกเพื่อเฝ้าระวัง และป้องกันการเกิดภาวะhypoglycemia, hypothermia, polycythemia
ระยะตั้งครรภ์
2 แนะนําให้มารดาพักผ่อนมากๆ
3 ติดตามสุขภาพของทารกในครรภ์
1 แนะนํามารดาเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร
การตั้งครรภ์ที่ทารกมีจํานวนมากกว่า1 คน
(Multiple/Twins pregnancy)
ความหมาย
การตั้งครรภ์แฝด คือ การตั้งครรภ์ที่มีทารกในโพรงมดลูกมากกว่า 1 คนขึ้นไป
การตั้งครรภ์แฝด 2 คน เรียกว่า twins
การตั้งครรภ์แฝด 3 คน เรียกว่า triplets
การตั้งครรภ์แฝด 4 คน เรียกว่า quadruplets
การตั้งครรภ์แฝด 5 คน เรียกว่า quintuplets
ชนิดและสาเหตุการตั้งครรภ์แฝด
แฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวหรือแฝดแท้ (monozygotic twins / identical twins)
1.2 Diamnionic, monochorionic, monozygotic twins pregnancy
1.3 Monoamnionic, monochorionic, monozygotic twins pregnancy
1.1 Diamnionic, dichorionic, monozygotic twins pregnancy
1.4 Conjoined twins pregnancy
แฝดที่เกิดจากไข่คนละใบ หรือแฝดเทียม (dizygotic twins/ fratemal)
2.5 มารดามีประวัติใช้ยากระตุ้นเร่งการตกไข่ เพื่อรักษาภาวะมีบุตรยาก
2.6 จํานวนครั้งของการตั้งครรภ์ พบมากขึ้นในการตั้งครรภ์หลังๆ
2.4 ปัจจัยด้านภาวะโภชนาการพบในมารดาที่มีรูปร่างใหญ่ มีภาวะโภชนาการดี
2.3 อายุมารดา(maternal age) มารดามีอายุมากกว่า 35 ปี
2.2 พันธุกรรม (heredity)
2.1 เชื้อชาติ (race) พบมากในคนผิวดํา
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
ผลต่อมารดา
ระยะตั้งครรภ์
การตกเลือดก่อนคลอด
เกิดภาวะความดันโลหิตสูง
ไม่สุขสบายจากอาการปวดหลังหายใจลําบากเส้นเลือดขอด
มีอาการคลื่นไส้อาเจียนมาก
เสี่ยงต่อการแท้งสูงหรือคลอดก่อนกําหนดซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อย
มีภาวะโลหิตจาง
เกิดถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกําหนด
ตั้งครรภ์แฝดน้ำ
เบาหวานในระหว่างตั้งครรภ์ (gestational diabetes)
ระยะคลอด
กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวผิดปกติเนื่องจากมีการยืดขยายมากเกินไป หรือเป็นผลจากทารกอยู่ในท่าผิดปกติทําให้การคลอดยืดเยื้อ หรือการคลอดยาก
รกลอกตัวก่อนกําหนด
ระยะหลังคลอด
2.การติดเชื้อหลังคลอด
การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาอาจเกิดความยากลําบาก
ตกเลือดหลังคลอดพบได้มากกว่าครรภ์เดี่ยว
ผลต่อทารก
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ
ภาวะคลอดก่อนกําหนด
ทารกขาดออกซิเจน (asphyxia)
2.ทารกตายในครรภ์
Twin-twin transfusion syndrome (TTTS)
การแท้ง
การประเมินหรือการวินิจฉัย
2.การตรวจร่างกาย ตรวจหน้าท้อง
2.3คลําได้ small part มากกว่าปกติ
2.4ฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์ได้ 2 แห่ง
2.2คลําพบมี ballottement ของศีรษะ
2.5ยังคลําทารกได้ที่มดลูก
2.1ขนาดของมดลูกโตมากกว่าอายุครรภ์
การซักประวัติโดยซักประวัติที่สนับสนุน
การตรวจพิเศษ
3.2 ระดับฮอร์โมน estriol, HCG, HPL สูงกว่าปกติ
3.1 ตรวจด้วยอัลตราซาวด์เป็นวิธีวินิจฉัยภาวะครรภ์แฝดได้มากที่สุดในปัจจุบันและสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรก
3.3การถ่ายภาพรังสีทางหน้าท้อง
แนวทางการดูแลรักษา
3.ดูแลการเจริญเติบโตของทารกอย่างใกล้ชิด ตรวจหาและวินิจฉัยภาวะ IUGR
1.ต้องวินิจฉัยให้ได้เร็วที่สุด (early diagnosis)
4.ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอันตรายต่อทารกในระยะคลอด และทารกแรกคลอดได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ
2.ป้องกันการคลอดก่อนกําหนด
หลักการพยาบาล
ระยะคลอด
1.การพิจารณาวิธีการคลอด
1.1 การคลอดทางช่องคลอด
1.2 การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
ในรายที่ได้รับการประเมินจากสูติแพทย์ให้คลอดทางช่องคลอด
2.2 ตรวจความเข้มข้นของเลือด และเตรียมเลือดไว้ให้พร้อม
2.3 ให้มารดางดน้ำงดอาหาร และให้สารน้ำ
2.1 ตลอดระยะเวลาการเจ็บครรภ์คลอด ให้ติดตั้งเครื่อง EFM
2.4 การให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกควรให้ด้วยความระมัดระวัง
2.5 การช่วยเหลือการคลอดแฝดครรภ์แรก ให้ทําคลอดเหมือนการตั้งครรภ์เดี่ยวปกติ
2.6 การช่วยเหลือการคลอดของแฝดคนที่สอง ให้ตรวจดูท่าและส่วนนําของทารกก่อน
2.7 ถ้าเป็นท่าหัว ให้ผู้ช่วยคลอดกดมดลูกหรือรอจนศีรษะเข้าสู่ช่องเชิงกรานหรือเกิดhead engage แล้วจึงเจาะถุงน้ำจากนั้นคลอดเองทางช่องคลอด
2.8 ถ้าเป็นท่าก้น ให้ทํา external cephalic versionหรือ total breech assisting
2.9 ถ้าเป็นท่าขวางให้ทํา external cephalic version
2.10 ระยะเวลาที่เหมาะสมระหว่างรอให้แฝดคนที่สองคลอด สามารถรอได้ถึง 30 นาทีแต่ต้องตรวจการเต้นของหัวใจทารกตลอดเวลา
ระยะหลังคลอด
เฝ้าระวังการตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดีโดยให้ oxytocin drug
แนะนําวิธีการคุมกําเนิด
แนะนําการดูแลบุตร การเลี้ยงทารกด้วยนมมารดา
ป้องกันการติดเชื้อโดยดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาและประเมินการติดเชื้อ
ระยะตั้งครรภ์
เฝ้าระวังการความดันโลหิตสูงในระหว่างตั้งครรภ์
ควรงดมีเพศสัมพันธ์เพื่อลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกําหนดในไตมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์
เฝ้าระวังการเกิดภาวะโลหิตจางอาจให้โฟลิคเสริม
ติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
ดูแลให้ได้รับอาหารอย่างเพียงพอ
ป้องกันการคลอดก่อนกําหนด
ทารกพิการ
(Fetal anormaly)
ความหมาย
คือความผิดปกติของร่างกายทารกแรกเกิดที่พบได้ โดยมีความพิการที่สามารถสังเกตได้จากลักษณะภายนอกหรือความพิการที่อยู่ในอวัยวะภายใน
สาเหตุ
1.ปัจจัยด้านพันธุกรรม
1.2ความผิดปกติของยีนเดียว
1.3ความผิดปกติชนิดพหุปัจจัย
1.1ความผิดปกติของโครโมโซม
2.สิ่งแวดล้อม
ทําให้เกิดความผิดปกติแก่ทารก ส่วนใหญ่ความพิการจะเกิดในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
ความผิดปกติของทารกสามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม
Deformation
ความผิดปกติของรูปร่างหรือโครงสร้างของอวัยวะของร่างกายเดิมเคยปกติมาก่อน
Disruption
ความผิดปกติทางรูปร่างของอวัยวะหรือส่วนของอวัยวะ
Dysplasia
ความผิดปกติทางรูปร่างของอวัยวะหรือส่วนของอวัยวะ
Malformation
ความผิดปกติทางรูปร่างของอวัยวะหรือส่วนของอวัยวะ
การป้องกัน
การให้คําแนะนําปรึกษาทางพันธุศาสตร์ (Genetic counseling)
2เมื่อตั้งครรภ์ จะทําการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด
3การให้คําปรึกษาภายหลังการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด
1ก่อนการตั้งครรภ์ในรายที่มีภาวะเสี่ยง จะต้องได้รับการให้คําแนะนําปรึกษาทางพันธุศาสตร์ตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์
4หลีกเลี่ยงการสัมผัส teratogen
ภาวะจิตสังคมของครอบครัวที่ต้องเผชิญกับภาวะมีบุตรพิการแต่กําเนิด
ระยะตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์มักจะเกิดความเครียดและวิตกกังวลสูงเมื่ออยู่ในระยะที่ต้องตัดสินใจตรวจสอบความผิดปกติของทารกในครรภ์
ระยะคลอด
ผู้คลอดที่รับรู้ว่ามาก่อนว่าทารกในครรภ์มีความพิการหรือมีความผิดปกติเกิดขึ้นมักจะมีความเครียด กลัว วิตกกังวล
ระยะหลังคลอด
ครอบครัวอาจจะเข้าสู่ระยะเศร้าโศก แม้ว่าจะทราบหรือรู้ล่วงหน้าว่าทารกที่คลอดออกมาจะมีความพิการก็ตาม ส่วนใหญ่ครอบครัวจะกลับเข้าสู่ภาวะเดิม
ปากแหว่งเพดานโหว่
ความหมาย
ริมฝีปาก เหงือกส่วนหน้า เพดานแข็ง และเพดานอ่อน
โรคปากแหว่ง
ถึงโรคที่มีความผิดปกติแต่กําเนิดบริเวณริมฝีปากเพดานส่วนหน้าแยกจากกัน
โรคเพดานโหว่
โรคที่มีความผิดปกติแต่กําเนิด บริเวณเพดานส่วนหลังแยกจากกัน
สาเหตุ
1.กรรมพันธุ์ ครอบครัวที่มีพ่อแม่หรือญาติทางฝ่ายพ่อหรือแม่มีประวัติเป็น
2.สิ่งแวดล้อม เช่น มารดาติดเชื้อหัดเยอรมันในช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก
พยาธิสภาพ
เกิดระหว่างทารกอยู่ในครรภ์ จะมีการสร้างเนื้อเยื่อริมฝีปากเมื่ออยู่ในครรภ์มารดาตั้งแต่อายุครรภ์ 3-12 สัปดาห์ ต่อมาเพดานอ่อนและเพดานแข็งจะเชื่อมกันสมบูรณ์เมื่อมีอายุครรภ์ประมาณ 11-17 สัปดาห์ เมื่อเด็กโตขึ้นจะมีปัญหาเรื่องการขึ้นของฟัน และอาจพบปัญหาการติดเชื้อในหูชั้นกลางทําให้เกิดปัญหาการได้ยินได้
อาการและอาการแสดง
2.ทารกที่มีเพดานโหว่มักจะสําลักน้ํานมขึ้นจมูกและเข้าช่องหูชั้นกลางหรือสําลักนมเข้าปอดได้
3.การได้ยินผิดปกติ
1.ทารกที่มีปากแหว่งเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถอมหัวนมหรือจุกนมได้สนิท มีลมรั่วเข้าไปขณะดูดนม
4.การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนต้น
การวินิจฉัย
พบตั้งแต่ทารกแรกเกิด การตรวจร่างกายในครรภ์ด้วย อัลตร้าซาวน์ สามารถตรวจพบได้เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 13-14 สัปดาห์
การพยาบาลทารกแรกเกิด
ให้คําแนะนําเกี่ยวกับการดูแลทารกแรกเกิดที่พบปัญหาปากแหว่ง เพดานโหว่
3.ดูแลการให้นมแม่
3.1ทารกที่มีภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่สามารถดูดนมแม่ได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ
3.2ทารกที่มีภาวะเพดานโหว่จะดูดนมแม่ประสบความสําเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งด้านแม่และด้านทารก
3.3ท่านอน ให้มารดานอนตะแคง ส่วนทารกนอหงาย แล้วมารดาประคองเต้านม
3.4ท่านอนขวางตักประยุกต์และท่าฟุตบอล
3.5. แนะนํามารดาให้ใช้เพดานเทียมปิดเพดาน
ดูแลด้านจิตใจสําหรับบิดา มารดา ที่ทารกมีปัญหาปากแหว่าง เพดานโหว่
4.กรณีที่ทารกไม่สามารถดูดนมแม่ได้แนะนํามารดา
4.2 ใช้ช้อนหรือแก้ว
4.3 ใช้ syringe ต่อกับท่อยางนิ่ม ป้อนบริเวณกระพุ่งแก้มด้านในหรือให้นมไหลผ่านบริเวณบนลิ้น
4.1 ให้ใช้ขวดนมพิเศษที่เป็นพลาสติกอ่อน
4.4 จัดท่าทารกให้อยู่ในท่านอนหัวสูงหรือท่านั่ง
5.ภายหลังการให้ทารกดูดนมหรือให้นมต้องไล่ลมเป็นระยะ ๆ ทุก 15-30 นาที และจัดท่า
ดาวน์ซินโดรม
สาเหตุ
เกิดจากการมีโครโมโซมเกินไป 1 แท่ง คือโครโมโซมคู่ที่ 21 มี 3 แท่ง แทนที่จะมี 2 แท่งตามปกติ ความผิดปกตินี้เรียกว่า trisomy 21
ป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมที่มีภาวะปัญญาอ่อนที่พบบ่อยที่สุด
อาการ
1.ลักษณะภายนอกที่พบ
.1ศีรษะและตา มีศีรษะแบนกว้าง และท้ายทอยแบน ตายาวรี เฉียงออกด้านนอกและชี้ขึ้นบน
1.2จมูกและหู มีจมูกไม่มีสัน ใบหูเล็กอยู่ต่ำกว่าปกติ
1.3ปากและคอ มีเพดานปากโค้งนูน บางรายอาจโหว่ ขากรรไกรบนเจริญเติบโตไม่เต็มที่
1.4ทรวงอกและหัวใจ มีกระดูกซี่โครงสั้นกว่าปกติ
1.5ท้อง มีหน้าท้องยื่น กล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนยาน มีการแยกแตกของกล้ามเนื้อ rectus และมักมีไส้เลื่อนสะดือ
1.6มือและเท้า มีมือกว้างและสั้น มักมีเส้นลายนิ้วมือตัดขวางหรือตัดกลาง
1.7กล้ามเนื้อและกระดูก ตัวเตี้ย เหยียดออกมากผิดปกติ กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก ผิวหนังแห้ง แตก
2.ปัญญาอ่อน จะมีพัฒนาการช้าหว่าเด็กธรรมกา มี IQ เฉลี่ย 25-50
3.มักพบความพิการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจแต่กําเนิด ความผิดปกติของทางเดินอาหาร
4.การเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์ ในผู้ชายมีองคชาติขนาดเล็กหว่าปกติ
การวินิจฉัย
1.การตรวจโครโมโซมโดยวิธี chorionic villus เมื่ออายุครรภ์ 9-12 สัปดาห์ หรือการทํา amniocentesis เมื่ออายุครรภ์ 16-18 สัปดาห์
2.การซักประวัติครอบครัว หรือ มารดาที่มีอายุมากกว่า 35 ปี
การรักษา
การรักษาในปัจจุบันเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ มุ่งเน้นให้เด็กสามารถช่วยเหลือตัวเองได้
ทารกศีรษะบวมน้ำหรือภาวะน้ำคั่งในโพรงสมอง(Hydrocephalus)
ความหมาย
ภาวะที่มีการคั่งของน้ําไขสันหลังในกะโหลกศีรษะบริเวณเวนตริเคิล (ventricle) ของสมอง และ subarachnoid space มากกว่าปกติ
พยาธิสภาพ
เมื่อมีการ เพิ่มขึ้นหรือลดลงของส่วนประกอบใดส่วนประกอบหนึ่ง ส่วนประกอบที่เหลือก็จะมีการปรับตัวเพื่อให้ เกิดความสมดุล ให้สมองสามารถทํางานได้ตามปกติ แต่ถ้ามีการปรับเปลี่ยนที่ไม่สมดุล จะส่งผลให้เกิด การเพิ่มขึ้นของความดันในกะโหลกศีรษะ
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
2 ประวัติการได้รับยาขณะตั้งครรภ์
3 ตรวจพบปริมาณน้ําคร่ำมากผิดปกติ
1 ประวัติการติดเชื้อโรคบางชนิด
การตรวจร่างกาย
1 จากการตรวจหน้าท้อง ในกรณีที่ส่วนนําเป็นศีรษะ การคลําทางหน้าท้อง
2 การตรวจพิเศษ เช่น skull X – ray, Ultrasound
การรักษา
ขณะตั้งครรภ์
รายไม่รุนแรงและไม่ความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยมักแนะนําให้ติดตามการเปลี่ยนแปลง
อาจพิจารณายุติการตั้งครรภ์กรณีเป็นรุนแรงมาก หรือมีความผิดปกติรุนแรง
อาจเลือกยุติการตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์ยังน้อยซึ่งไม่สามารถเลี้ยงรอดได
รักษาด้วยการใส่ shunt ในครรภ์ ต้องพิจารณาทําในรายอายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์
การดูแลทารก
ให้การพยาบาลตามอาการ วัดขนาดของรอบศีรษะทารกทุกวัน
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
ให้การพยาบาลทารกแรกเกิดโดยทั่วไป
อธิบายให้บิดามารดาเข้าใจสภาพของทารก
บันทึกอาการและการพยาบาล
ทารกศีรษะเล็ก (Microcephaly)
ความหมาย
ภาวะศีรษะเล็กหรือสมองเล็กเป็นความพิการของสมอง ซึ่งอาจเกิดจากสมองเจริญเติบโตช้า กว่าปกติ หรือหยุดการเจริญเติบโต
พยาธิสภาพ
สมองของทารกจะมีขนาดเล็ก น้ําหนักน้อยกว่าปกติ จํานวนและความลึกของคลื่นหรือรอย หยักของเนื้อสมองจะลดลง
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
1.1 มารดามีประวัติเป็น Phenylketonuria
1.3 พบว่ามีพี่น้องเคยเป็น Microcephaly
1.4 ได้รับรังสีขณะอยู่ในครรภ์
1.2 มารดาเป็น Rubella, Syphilis
1.5 เกิดภาวะ Anoxia ขณะอยู่ในครรภ์
1.6 มารดาไดรับเชื้อโรคไข้ซิกา
อาการและอาการแสดง พบว่า ขนาดของศีรษะเล็กกว่าปกติ หน้าผากเล็ก
ใบหูใหญ่
ผลการตรวจทางห้องทดลอง ได้แก่ Skull X-ray, Lumbar serologic test
การรักษา
ไม่สามารถรักษาให้ศีรษะมีขนาดศีรษะเท่ากับปกติ แต่การรักษามุ่งเน้นให้เด็กสามารถมีชีวิต อยู่ได้นานมากขึ้น และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนท่ีเป็นอันตรายต่อชีวิตเด็กได้เท่าน้ัน จึงเป็นการ รักษาตามอาการ
การพยาบาล
ให้การพยาบาลทารกแรกเกิดโดยท่ัวไป
ให้การพยาบาลตามอาการและอาการแสดง
สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ และอาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทของทารก เกี่ยวกับระบบ Motor และ Mental retardation
อธิบายให้บิดามารดาเข้าใจเก่ียวกับสภาพของทารก
บันทึกอาการแลอาการแสดง
ภาวะหลอดประสาทไม่ปิด (neural tube defects: NTDs)
ความหมาย
เป็นความผิดปกติแต่กําเนิดของระบบประสาทสามารถเกิดได้ทุกขั้นตอนของการพัฒนาแต่ใน ช่วงแรกของการพัฒนาหรือช่วงการสร้างและผิดของ neural tube เป็นช่วงที่มีโอกาสพบความ ผิดปกติได้บ่อยที่สุด จําแนกออกเป็น 2 กลุ่มหลัก
Open type NTDs
Closed type NTDs
สาเหตุของการเกิด NTDs
Genetic factors: 95% ของมารดาที่ให้กําเนิดทารก NTD ไม่มีประวัติในครอบครัวมาก่อน แต่มีหลายหลักฐานที่ระบุว่า NTD มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม
Environmental factors: ปัจจัยภายนอกที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิด NTD มีหลายปัจจัย
เยื่อหุ้มไขสันหลังยื่น (Spina bifida)
ความหมาย
ความผิดปกติของท่อประสาทตั้งแต่แรกเกิดจากพัฒนาการที่ ผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง อาจเกิดความผิดปกติได้ตลอดตามความยาวของไขสันหลังตั้งแต่ บริเวณศีรษะถึงกระดูกก้นกบ
พยาธิสภาพ
Spina Bifida เป็นความบกพร่องของกระดูกไขสันหลัง มีถุงยื่นผ่านจากกระดูกไขสันหลังออกมา
ตามตําแหน่งที่บกพร่องนั้น พบบ่อยที่สุดที่บริเวณ lumbosacrum
Spina bifida แบ่งออกเป็นสองชนิดคือ ชนิดเปิด (open) ถุงที่ยื่นออกมาคลุมด้วยเยื่อหุ้มใส พบได้ร้อยละ 80 และชนิดปิด (closed) พยาธิสภาพปกคลุมด้วยผิวหนังหรือเยื่อหุ้มหนา
ชนิดของกระดูกสันหลังโหว่
spin bifida occulta เป็นความผิดปกติของกระดูกสันหลังตรงตําแหน่ง vertebal arches
spina bifida cystica เป็นความผิดปกติของส่วนโค้งกระดูกสันหลัง ทําให้มีการยื่นของไข สันหลังหรือเยื่อหุ้มสมองผ่านกระดูกสันหลังออกมา มี 2 ชนิดคือ
2.1 meningocele
2.2 myelomeningocele หรือ meningomyelocele
การวินิจฉัย
1.อาการแสดงโดยตรงพบมกีระดูกสันหลังแยกและพบอาจพบmyelomeningocelesac ยื่นออกจากด้านหลังของกระดูกไขสันหลัง
การซักประวัติ
อาการและอาการแสดง ที่พบว่าทารกมีก้อนสีแดง นุ่มตรงบริเวณช่องต่อระหว่างกระดูก ของกระดูกสันหลังหรือบริเวณ Sacrum และบริเวณLumbar
การรักษา
กระดูกสันหลังโผล่ชนิด spin bifida occulta ไม่จําเป็นต้องรักษาแต่ถ้าเป็นชนิด spina bifida cystica มีวิธีการรักษาโดยการผ่าตัดปิดซ่อมแซมรอยโรคภายใน 24-48 ชั่วโมงภายหลังคลอด
การดูแลและการพยาบาล
ระยะคลอด
ให้ได้รับการสิ้นสุดการตั้งครรภ์ตามแผนการรักษาของแพทย์
ประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์ ฟังเสียงหัวใจทารก และประเมินการหดรัดตัวของ มดลูก
ระยะหลังคลอด
ประเมินความต้องการสัมผัสทารก
ให้การประคับประคองทางด้านจิตใจ
ระยะตั้งครรภ์
ตรวจสอบความพิการของทารกในครรภ์
ดูแลให้การสนับสนุนทางด้านจิตใจเมื่อผลการตรวจวินิจฉัยพบภาวะผิดปกติ
การพยาบาล
ให้การพยาบาลทารกแรกเกิดโดยทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะท่านอน
ให้การพยาบาลตามอาการ และการพยาบาลก่อนผ่าตัดในรายที่เป็นน้อย
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
อธิบายให้มารดาเข้าใจเกี่ยวกับสภาพทารก
บันทึกอาการและการพยาบาล
การให้ folic acid ในสตรีตั้งครรภ์จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคกระดูกสันหลังโหว่ได้
ทารกตายในครรภ์
(Fetal demise)
ชนิดของทารกตายในครรภ์
การตายของทารกในระยะแรก (early fetal death)
การตายก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์
การตายของทารกในระยะกลาง (intermediate fetal death)
การตายระหว่างอายุครรภ์ 20-28 สัปดาห์
การตายของทารกในระยะสุดท้าย
(late fetal death)
การตายตั้งแต่อายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไปบางครั้งหมายถึงทารกตายคลอด
สาเหตุ
ด้านทารก
3.มีการกดทับสายสะดือจากสายสะดือย้อย (prolapsed cord)
2.ทารกมีภาวะเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
1.มีภาวะพิการแต่กําเนิด
ด้านมารดา
5.มีภาวะรกลอกตัวก่อนกําหนด รกเกาะต่ํา
6.ความผิดปกติของสายสะดือ
4.ไม่มาฝากครรภ์ หรือมาฝากครรภ์ไม่ครบตามกําหนด
3.ภาวะทางสูติกรรม
2.มารดาอายุมากกว่า 35 ปี
7.ได้รับอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บขณะตั้งครรภ์
1.มีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์โรคทางอายุรศาสตร์
ยาหรือสารเสพติดอื่นๆ
ด้านรก
รกลอกตัวก่อนกําหนด การติดเชื้อในโพรงมดลูก เส้นเลือดอุดกั้นในสายสะดือ สายสะดือผิดปกติ
การวินิจฉัย
2.การตรวจร่างกาย
2.2 คลํายอดมดลูกพบว่าไม่สัมพันธ์กับอายุครรภ์ไม่พบว่าทารกมีการเคลื่อนไหว
2.3 ฟังเสียงหัวใจทารกไม่ได้
2.1 น้ำหนักตัวของมารดาคงที่หรือลดลงเต้านมมีขนาดเล็กลง
2.4 พบสิ่งคัดหลั่งสีน้ําตาลไหลออกทางช่องคลอด
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.2 การเกยกันของกะโหลกศีรษะ (overlapping)
3.4 ตรวจพบแก๊สในหัวใจ เส้นเลือดใหญ่ หรือช่องท้องทารก
3.5 ฮอร์โมน Estriol: E3 ในปัสสาวะลดลง
3.6 เอ็นไซม์ Amniotic fluid creatinekinase เพิ่มขึ้น 2 วันหลังจากที่ทารกเสียชีวิต
3.1 ทารกไม่มีการเต้นของหัวใจ หรือการเคลื่อนไหวของทารก
3.3 มีการหักงอของกระดูกสันหลัง
1.จากการซักประวัติมารดาพบทารกไม่ดิ้นหรือดิ้นน้อยลง หรือสังเกตได้ว่าอาการของการตั้งครรภ์หายไป
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ด้านร่างกาย
ทารกตายในครรภ์เป็นเวลาตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป จะมีโอกาสเกิดภาวะเลือดไม่แข็งตัว
เกิดภาวะลิ่มเลือดกระจายอยู่ทั่วร่างกาย
ว่ามารดาจะมีภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง
ด้านจิตใจ
มีความกลัวที่จะสูญเสียบุตรอีก
ทําให้เกิดความรู้สึกสูญเสีย ตกใจ ซึมเศร้า โทษตัวเอง
การรักษา
2.ช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ เหน็บยา prostaglandin ได้แก่ PGE2 และ misoprostolทางช่องคลอด หรือให้ oxytocin ทางหลอดเลือดดํา
3.ไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์ ให้ oxytocin ปริมาณความเข้มข้นสูง ทางหลอดเลือดดํา
1.ไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ขนาดของมดลูกโตไม่เกิน 14 สัปดาห์ทําการ dilatation and curettageหรือ suction curettage
การพยาบาล
2.แนะนําให้สามีและครอบครัวให้กําลังใจ ปลอบใจ เพื่อให้มีกําลังใจและการปรับตัวอย่างเหมาะสม
3.ประเมินความต้องการสัมผัสกับทารกแรกคลอดที่เสียชีวิต
1.ให้การประคับประคองทางด้านจิตใจ แสดงความเห็นอกเห็นใจ ใช้คําพูดที่สุภาพ และนุ่มนวล
4.ดูแลให้ได้รับการสิ้นสุดการตั้งครรภ์ ตามแผนการรักษาของแพทย์
5.ติดตามผลการตรวจเลือดเพื่อหาระยะการแข็งตัวของเลือด clottingtime ระดับของfibrinogen ในกรณีที่ทารกตายในครรภ์เกิน 2 สัปดาห์
6.ให้ได้รับยายับยั้งการหลั่งน้ํานมตามแผนการรักษาของแพทย์