Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีความผิดปกติ ของรกน้ำคร่ำ และความผิดปกติของทารก…
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีความผิดปกติ
ของรกน้ำคร่ำ และความผิดปกติของทารกในครรภ์
ภาวะน้ำคร่ำผิดปกติ
น้ำคร่ำมากกว่าปกติ(polyhydramnios)หรือการตั้งครรภ์แฝดน้ำ (Hydramnios/polyhydramnios)
ความหมาย
การตั้งครรภ์ที่มีน้ำคร่ำมากผิดปกติ เกินเปอร์เซ็นไทล์ที่ 95 หรือ 97.5 ของแต่ละอายุครรภ์ โดยมีปริมาณน้ำคร่ำมากกว่ากว่า
2,000 มล.
สาเหตุ
สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบชัดเจน
ด้านมารดา ได้แก่ มารดาเป็นโรคเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์แฝด
ด้านทารก ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการกลืนของทารก ความผิดปกติของระบบประสาท การ
อุดกั้นของระบบทางเดินอาหาร ความพิการของทารกในครรภ์
ภาวะอุดตันของระบบทางเดิน
อาหาร (GI tract obstruct)
ทารกหัวบาตร (anencephalous)
ครรภ์แฝดที่เป็น Twin-twin
transfusion syndrome (TTTS)
ไม่ทราบสาเหตุ เป็นกลุ่มที่พบได้บ่อยที่สุดถึงร้อยละ 60 ซึ่งวินิจฉัยไม่พบความผิดปกติของมารดาและทารกในครรภ์ พบความรุนแรงของภาวะครรภ์แฝดน้ำได้เล็กน้อยถึงปานกลาง
การจำแนกชนิด
ภาวะน้ำคร่ำมากอย่างเฉียบพลัน (Acute hydramnios)
พบได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 20-24 สัปดาห์ มีปริมาณน้ำคร่ำเพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 วัน
สตรีตั้งครรภ์มีอาการไม่สุขสบาย ปวดหลังและหน้าขา แน่นอึดอัดในช่องท้อง หรือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ต่อมาจะพบว่ามีอาการบวมที่ผนังหน้าท้อง อวัยวะเพศและหน้าขา ไม่สามารถคลำหาส่วนต่างๆของทารกได้อย่างชัดเจน
ภาวะน้ำคร่ำมากเรื้อรัง (chronic hydramnios)
จะพบเมื่ออายุครรภ์ 30 สัปดาห์ขึ้นไป ปริมาณน้ำคร่ำจะค่อยๆเพิ่มขึ้นอาการและอาการแสดงจะคล้ายๆกันกับภาวะน้ำคร่ำมากอย่างเฉียบพลัน แต่จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ
สตรีตั้งครรภ์อาจมีอาการหายใจลำบาก อึดอัด
ผลต่อการตั้งครรภ์
ผลต่อมารดา
ระยะตั้งครรภ์ เกิดความไม่สุขสบายจากการกดทับของมดลูกที่มีขนาดใหญ่
อาจเกิดการคลอดก่อนกำหนด
ตกเลือดหลังคลอด
ผลต่อทารก
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะพิการ และการคลอดก่อนกำหนด
เกิดภาวะ fetal distress จากการเกิดสายสะดือย้อย (prolapsed umbilical cord)
อาการและอาการแสดง
แน่นอึดอัด หายใจลำบาก เจ็บชายโครง
มีอาการบวมบริเวณเท้า ขา และปากช่องคลอด
น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
การวินิจฉัย
การซักประวัติอาการ และอาการแสดงการเกิดภาวะครรภ์แฝดน้ำ
การตรวจร่างกาย
หน้าท้องขยายใหญ่ มดลูกมีรูปร่างกลมมากกว่ารูปร่างไข่ ขนาดมดลูกโตกว่าอายุครรภ์มากผิดปกติวัดเส้นรอบท้องได้มากกว่า 100 เซนติเมตร ผนังหน้าท้องตึง บาง ใส เห็นเส้นเลือดดำทางหน้าท้องชัดเจน
คลำหาส่วนต่างๆของทารกได้ลำบาก เมื่อเคาะบริเวณท้องพบมีคลื่นน้ำกระทบมือ
ฟังเสียง FHS ไม่ได้ยินหรือได้ยินไม่ชัดเจน
น้ำหนักตัวมารดาเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่า 1 กิโลกรม/สัปดาห์
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การหาค่า amniotic fluid index (AFI) เกณฑ์ในการวินิจฉัยครรภ์แฝดน้ำคือ การวัด AFIได้ค่ามากกว่า 24 เซนติเมตรขึ้นไป
การดูแลรักษา
การเจาะดูดน้ำคร่ำออก (amnioreduction)
การรักษาด้วยยา prostaglandin synthetase inhibitors โดยใช้ในรายที่อายุครรภ์น้อยกว่า
32 สัปดาห
รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง
ให้ยาขับปัสสาวะหากพบมีภาวะบวม
ให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก (tocolytic drug) ในรายที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อน
กำหนด
การเจาะถุงน้ำในระยะคลอด ให้น้ำคร่ำไหลช้าที่สุด
การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องในรายที่มีส่วนนำและท่าของทารกที่ผิดปกติ ครรภ์แฝด สายสะดือย้อย รกลอกตัวก่อนกำหนด ทารกอยู่ในภาวะขาดออกซิเจน
ในระยะหลังคลอดหากมารดามีอาการตกเลือด ให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ประเมินการเกิดภาวะตั้งครรภ์แฝดน้ำจากการซักประวัติอาการและอาการแสดง การตรวจร่างกาย
ดูแลเพื่อบรรเทาอาการอึดอัดแน่นท้อง จากการขยายตัวของมดลูก
จัดท่ามารดานอนตะแคง ยกศีรษะสูงเล็กน้อยประมาณ 30 องศา
สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะ congestive heart failure
แนะนำให้มารดารับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
แนะนำให้มารดาสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบาย
ดูแลให้ได้รับการเจาะดูดน้ำคร่ำออก
เฝ้าระวังและตรวจติดตามสุขภาพของทารกในครรภ์
ระยะคลอด
ให้นอนพักบนเตียง เพื่อป้องกันภาวะน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก
ฟัง FHS ในระยะ latent ทุก 30 นาที และระยะ active ทุก 15 นาที
ให้ได้รับสารน้ำและอาหารตามแผนการรักษา
ขณะแพทย์เจาะถุงน้ำ ต้องระมัดระวังให้น้ำคร่ำไหลออกมาอย่างช้าๆ แล้วควรจัดให้มารดานอนพักบนเตียงเพื่อป้องกันภาวะสายสะดือย้อย
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลเหมือนกับสตรีตั้งครรภ์แฝด โดยเฉพาะดูแลการหดรัดตัวของมดลูกเพื่อป้องกัน
การตกเลือดหลังคลอด
น้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ (oligohydramnios)
ความหมาย
การตั้งครรภ์ที่มีน้ำคร่ำน้อยกว่า 300 มิลลิลิตร ภาวะน้ำคร่ำน้อยอาจพบร่วมกับความผิดปกติของทารก ความผิดปกติของโครโมโซม
สาเหตุ
ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด ทำให้เกิดภาวะนี้ได้ 26-35 %
ทารกในครรภ์มีภาวะผิดปกติ โดยเฉพาะระบบของไตและระบบทางเดินปัสสาวะ
รกเสื่อมสภาพ
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
การตั้งครรภ์เกินกำหนด
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
ผลต่อมารดา
มีโอกาสผ่าตัดคลอดทารกทางหน้าท้องมากกว่าการตั้งครรภ์ปกติ
ผลต่อทารก
มีโอกาสคลอดก่อนกำหนด ถ้าเกิดในอายุครรภ์น้อย ทารกมักมีความพิการรุนแรง
ภาวะปอดแฟบ (pulmonary hypoplasia)
ทารกอยู่ในภาวะคับขัน (fetal distress)
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
Amniotic band syndrome คือ การเกิดเยื่อพังผืดรัดและดึงรั้งมือและแขนหลายบริเวณ
การวินิจฉัย
การวัดโพรงน้ำคร่ำที่ลึกที่สุดในแนวดิ่ง (maximum ventrical pocket, MVP) หากพบว่า MVP มีค่าน้อยกว่า 1 หรือ 2 เซนติเมตร ให้ถือว่ามีภาวะน้ำคร่ำน้อย
การวัดดัชนีน้ำคร่ำ amniotic fluid index (AFI) มีค่าน้อยกว่า 5 เซนติเมตร
ในกรณีที่อายุครรภ์น้อยกว่า 10 สัปดาห์ขนาดของถุงน้ำคร่ำ (mean gestational sac) กับขนาดของทารก โดยวัดจาก crown-rump length (CRL) ต่างกันน้อยกว่า 5 ผิดไปจากค่าสัดส่วนตามเกณฑ์ในแต่ละอายุครรภ์ ให้ถือว่ามีภาวะน้ำคร่ำน้อย
การรักษา
พิจารณาตามอายุครรภ์ หากเกิดภาวะน้ำคร่ำน้อยในช่วงไตรมาสแรก มีโอกาสแท้งสูงมากถึงร้อยละ 90หาก การเกิดภาวะน้ำคร่ำน้อย ในช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ ควรให้การดูแลรักษา
การเติมน้ำคร่ำ (amnioinfusion) ด้วย normal saline/ ringers lactate 5% glucose
การดื่มน้ำมากๆ
การประเมินภาวะความผิดปกติแต่กำเนิด และการรักษาภาวะทารกเจริญเติบโตช้าใน
ครรภ์ (IUGR)
การพยาบาล
อธิบายถึงสาเหตุการเกิดภาวะดังกล่าว และแนวทางการรักษา
ดูแลให้ได้รับการใส่สารน้ำเข้าไปในถุงน้ำคร้ำ (amnioinfusion)ตามแผนการรักษาของ
แพทย์
รับฟังปัญหา แสดงความเห็นอกเห็นใจ และกระตุ้นให้ระบายความรู้สึก
พยาธิสรีรวิทยา
ความสมดุลของปริมาณน้ำคร่ำในครรภ์มารดา สัมพันธ์กับปริมาณของเหลวที่เข้าและออกจากถุงน้ำคร่ำ
แตกต่างกันตามอายุครรภ์ ในช่วงหลังของการตั้งครรภ์มักจะสัมพันธ์กับปริมาณปัสสาวะของทารก การสร้างของเหลวจากปอด การกลืน และการดูดซึมผ่านทางเนื้อเยื่อของทารก
ความผิดปกติของปริมาณน้ำคร่ำจะสัมพันธ์กับ
ความสมดุลของปริมาณของเหลวที่เข้าและออกจากถุงน้ำคร่ำ มากหรือน้อยขึ้นกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น
อุบัติการณ์
การเกิดครรภ์แฝดน้ำ พบประมาณร้อยละ 1 ของการตั้งครรภ์
ภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์(Intra Uterine Growth Restriction [IUGR])
ทารกที่มีขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์
ทารกที่มีขนาดเล็กตามธรรมชาติ (constitutionally small)
ทารกที่มีขนาดเล็กเนื่องมาจากมารดาตัวเล็ก หรือปัจจัยทางพันธุกรรม โดยไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับการเจริญเติบโตผิดปกติ
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (Intra Uterine Growth Restriction: IUGR/ Fetal
growth restriction: FGR)
ทารกที่มีการเจริญเติบโตช้าผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งไม่ได้คำนึงถึงขนาดของทารกเพียงอย่างเดียว
สาเหตุ
ด้านมารดา
มารดามีรูปร่างเล็ก
ภาวะขาดสารอาหาร น้ำหนักของมารดาไม่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์
ภาวะโลหิตจางรุนแรง
มารดามีภาวะติดเชื้อ
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมสุขภาพของมารดา
ด้านทารก
ความพิการแต่กำเนิด ความผิดปกติของโครงสร้าง และอวัยวะของร่างกาย
ทารกไม่มีกะโหลกศีรษะ (anencephalus)
ผนังหน้าท้องไม่ปิด (gastroschisis)
การติดเชื้อในระยะตั้งครรภ์
cytomegalovirus
rubella
ความผิดปกติของโครโมโซม
trisomy 21, trisomy 13, trisomy 18
การจำแนกประเภทของ IUGR
ทารกโตช้าในครรภ์แบบได้สัดส่วน (Symmetrical IUGR)ทารกประเภทนี้มักเกิดจากความผิดปกติของตัวทารกเอง โดยอาจพบความผิดปกติตั้งแต่ระยะเริ่มแรกของการตั้งครรภ์
ทารกโตช้าในครรภ์แบบไม่ได้สัดส่วน (Asymmetrical IUGR) อัตราการเจริญเติบโตของส่วนท้อง (AC) จะช้ากว่าส่วนศีรษะ (HC)
การวินิจฉัย
การซักประวัติ เพื่อค้นหาสาเหตุและปัจจัยส่งเสริมของการเกิดภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
การตรวจร่างกาย
การตรวจครรภ์ พบว่าขนาดของมดลูกเล็กกว่าอายุครรภ์ 3 เซนติเมตรขึ้นไป
น้ำหนักเพิ่มขึ้นน้อยหรือไม่มีการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก
การตรวจด้วยคลื่นความถี่สูง (ultrasound)
วัดเส้นรอบท้อง (Abdominal Circumference = AC)
วัดขนาดของศีรษะทารก (Biparietal diameter = BPD)
วัดเส้นรอบศีรษะ (Head circumference = HC)
วัดความยาวของกระดูกต้นขา (femur length = FL)
ปริมาณน้ำคร่ำ (amniotic fluid volume)
เกรดของรก (placenta grading)
การรักษา
ค้นหาและลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอันตราย และภาวะแทรกซ้อนกับทารกในครรภ์
การซักประวัติของมารดา
การตรวจด้วย U/S เพื่อค้นหาความพิการของทารกโดยละเอียด
ตรวจเฝ้าระวังสุขภาพของทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิด โดยการตรวจ U/S ทุก 2-3 สัปดาห์
กำหนดเวลาการคลอดที่เหมาะสม
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
แนะนำมารดาเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือสารเสพติด
แนะนำให้มารดาพักผ่อนมาก ๆ โดยเฉพาะการนอนตะแคงซ้าย
ติดตามสุขภาพของทารกในครรภ์ โดยแนะนำให้มารดานับลูกดิ้นทุกวัน
ระยะคลอด
ควรติดตาม ประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิด เพราะทารก มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ fetal distress ได้สูง
ติดตามประเมินความก้าวหน้าของการคลอดอย่างใกล้ชิด
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกและเสียงหัวใจทารกทุก ½ - 1 ชั่วโมง
หลีกเลี่ยงการให้ยาแก้ปวด เนื่องจากยาจะกดการหายใจของทารกได้
กุมารแพทย์ และเตรียมอุปกรณ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพทารกแรกเกิดไว้ให้พร้อม
ในระยะหลังคลอด
ดูแลทารกเพื่อเฝ้าระวัง และป้องกันการเกิดภาวะ hypoglycemia, hypothermia, polycythemia
การตั้งครรภ์ที่มีจำนวนทารกมากกว่า 1 คน (multiple pregnancy)
ชนิดและสาเหตุการตั้งครรภ์แฝด
แฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวหรือแฝดแท้ (monozygotic twins / identical twins)
เป็นแฝดที่เกิดจากการปฏิสนธิจากไข่ 1 ใบ และตัวอสุจิ 1 ตัว แล้วมีการแบ่งตัวในระยะเวลาต่าง ๆทารกแฝดชนิดนี้จะมีรูปร่าง หน้าตา เพศ และลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกัน สาเหตุการตั้งครรภ์แฝดชนิดนี้เชื่อว่าเป็นไปตามธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านอายุ เชื้อชาติ หรือพันธุกรร
Diamnionic, dichorionic, monozygotic twins pregnancy
Diamnionic, monochorionic, monozygotic twins pregnancy
Monoamnionic, monochorionic, monozygotic twins pregnancy
Conjoined twins pregnancy
แฝดที่เกิดจากไข่คนละใบ หรือแฝดเทียม (dizygotic twins/ fratemal)
การตั้งครรภ์แฝดที่เกิดจากไข่ 2 ใบผสมกับอสุจิ 2 ตัว amnion 2 อัน และ chorion 2 อัน มีรก 2 อัน
เชื้อชาติ (race) พบมากในคนผิวดำ
พันธุกรรม (heredity)
อายุมารดา (maternal age) มารดามีอายุมากกว่า 35 ปี
ปัจจัยด้านภาวะโภชนาการ พบในมารดาที่มีรูปร่างใหญ่ มีภาวะโภชนาการดี
มารดามีประวัติใช้ยากระตุ้นเร่งการตกไข่ เพื่อรักษาภาวะมีบุตรยาก
จำนวนครั้งของการตั้งครรภ์ พบมากขึ้นในการตั้งครรภ์หลังๆ
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
ผลต่อมารดา
ระยะตั้งครรภ์
มีอาการคลื่นไส้อาเจียนมาก
มีภาวะโลหิตจางเนื่องจากครรภ์แฝดมีการเพิ่มขึ้นของ blood volume มากกว่าครรภ์เดี่ยวปกติ มีความต้องการธาตุเหล็กและโฟลิคมากกว่าครรภ์เดี่ยว
การตกเลือดก่อนคลอด
เกิดภาวะความดันโลหิตสูงเนื่องจากตั้งครรภ์พบมากกว่าครรภ์เดี่ยวและมีแนวโน้มเป็นเร็วและรุนแรง
ไม่สุขสบายจากอาการปวดหลัง หายใจลำบาก เส้นเลือดขอด
ระยะคลอด
กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวผิดปกติเนื่องจากมีการยืดขยายมากเกินไป หรือเป็นผลจากทารกอยู่ในท่าผิดปกติทำให้การคลอดยืดเยื้อ หรือการคลอดยาก
รกลอกตัวก่อนกำหนด
ระยะหลังคลอด
ตกเลือดหลังคลอด พบได้มากกว่าครรภ์เดี่ยวเนื่องจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดีหรือมีภาวะรกค้าง
การติดเชื้อหลังคลอด
การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาอาจเกิดความยากลำบาก
ผลต่อทารก
การแท้ง
ทารกตายในครรภ์
ภาวะคลอดก่อนกำหนด
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ
ทารกขาดออกซิเจน (asphyxia)
Twin-twin transfusion syndrome (TTTS)
การประเมินหรือการวินิจฉัย
การซักประวัติโดยซักประวัติที่สนับสนุน
การตรวจร่างกาย ตรวจหน้าท้อง ตรวจภายใน
ขนาดของมดลูกโตมากกว่าอายุครรภ์ (size > date)
คลำพบมี ballottement ของศีรษะหรือคลำได้ทารกมากกส่าหนึ่งในบริเวณที่ต่างกันของ
มดลูก
คลำได้ small part มากกว่าปกติ
ฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์ได้ 2 แห่งซึ่งฟังได้ชัดในตำแหน่งที่ต่างกันและอัตราการเต้นที่แตกต่างกัน
ยังคลำทารกได้ที่มดลูก หรือคลำพบส่วนนำของทารกจากการตรวจภายในหลังจากทารกคนหนึ่งคลอดแล้วร่วมกับมดลูกยังมีขนาดใหญ่อยู่ แม้ว่าทารกจะคลอดออกมาแล้ว
การตรวจพิเศษ
ตรวจด้วยอัลตราซาวด์ สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรก
ระดับฮอร์โมน estriol, HCG, HPL สูงกว่าปกติ
การถ่ายภาพรังสีทางหน้าท้อง
แนวทางการดูแลรักษา
ต้องวินิจฉัยให้ได้เร็วที่สุด (early diagnosis) เพื่อสามารถวางแผนการอย่างเหมาะสม
ป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
ดูแลการเจริญเติบโตของทารกอย่างใกล้ชิด ตรวจหาและวินิจฉัยภาวะ IUGR
ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอันตรายต่อทารกในระยะคลอด
หลักการพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ดูแลให้ได้รับอาหารอย่างเพียงพอ แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบ 5หมู่
เฝ้าระวังการเกิดภาวะโลหิตจางอาจให้โฟลิคเสริม
เฝ้าระวังการความดันโลหิตสูงในระหว่างตั้งครรภ์
ควรงดมีเพศสัมพันธ์เพื่อลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดในไตมาสที่ 3 ของการ
ตั้งครรภ์
ติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
ป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
ระยะคลอด
การพิจารณาวิธีการคลอด
การคลอดทางช่องคลอด ทารกแฝดมีส่วนนำกลุ่มท่าหัว-ท่าหัว หรือท่าหัว-ไม่ใช่ท่าหัว (ก้น-ขวาง)
การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง กลุ่มที่ไม่ใช่หัว-หัวหรือไม่ใช่หัว- ไม่ใช่หัว ให้การผ่าตัด
คลอดทางหน้าท้องทุกราย
ในรายที่ได้รับการประเมินจากสูติแพทย์ให้คลอดทางช่องคลอด
ตลอดระยะเวลาการเจ็บครรภ์คลอด ให้ติดตั้งเครื่อง EFM ไว้ตลอดเวลา
ตรวจความเข้มข้นของเลือด และเตรียมเลือดไว้ให้พร้อม
ให้มารดางดน้ำ งดอาหาร และให้สารน้ำ
การให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกควรให้ด้วยความระมัดระวัง
การช่วยเหลือการคลอดแฝดครรภ์แรก ให้ทำคลอดเหมือนการตั้งครรภ์เดี่ยวปกติ หลังจากคลอดแล้วให้รีบ clamp สายสะดือทันทีเพื่อป้องกันการเสียเลือดของแฝดคนที่สอง
การช่วยเหลือการคลอดของแฝดคนที่สอง ให้ตรวจดูท่าและส่วนนำของทารกก่อน
ถ้าเป็นท่าหัว ให้ผู้ช่วยคลอดกดมดลูกหรือรอจนศีรษะเข้าสู่ช่องเชิงกรานหรือเกิด head engage แล้วจึงเจาะถุงน้ำ หลังจากนั้นให้คลอดเองทางช่องคลอด
ถ้าเป็นท่าก้น ให้ทำ external cephalic version หรือ total breech assisting
ถ้าเป็นท่าขวางให้ทำ external cephalic version
ระยะเวลาที่เหมาะสมระหว่างรอให้แฝดคนที่สองคลอด สามารถรอได้ถึง 30 นาทีแต่
ต้องตรวจการเต้นของหัวใจทารกตลอดเวลา
ระยะหลังคลอด
เฝ้าระวังการตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดีโดยให้ oxytocin drug
ป้องกันการติดเชื้อโดยดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาและประเมินการติดเชื้อ
แนะนำการดูแลบุตร การเลี้ยงทารกด้วยนมมารดา
แนะนำวิธีการคุมกำเนิด
ทารกพิการแต่กำเนิด (congenital anormality)
สาเหตุ
ปัจจัยด้านพันธุกรรม
ความผิดปกติของโครโมโซม เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของโครโมโซมอาจเป็นทั้งโครโมโซม หรือเป็นบางส่วนของโครโมโซม
กลุ่มอาการ trisomy 18
กลุ่มอาการดาวน์
ความผิดปกติของยีนเดียว เป็นโรคที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนใดยีนหนึ่ง โรคที่พบบ่อย
ธาลัสซีเมีย
G-6-PD
ความผิดปกติชนิดพหุปัจจัย เกิดจากความผิดปกติของยีนหลายตัวร่วมกับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม
โรคปากแหว่ง เพดานโหว่
สิ่งแวดล้อม
เกิดความผิดปกติแก่ทารก ส่วนใหญ่ความพิการจะเกิดในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
การใช้ยา
การติดเชื้อ
สภาพของมารดา
ความผิดปกติของทารก
Malformation
ความผิดปกติทางรูปร่างของอวัยวะหรือส่วนของอวัยวะ เป็นผลมาจากขบวนการของการพัฒนาหรือขบวนการเจริญเติบโตของอวัยวะ
ความผิดปกติที่
เกิดจากยีนและโครโมโซม
ปากแหว่ง เพดานโหว่
Disruption
ความผิดปกติทางรูปร่างของอวัยวะหรือส่วนของอวัยวะ เป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกมาขัดขวางขบวนการเจริญเติบโตของอวัยวะนั้น
เชื้อโรค
สารเคมี
Deformation
ความผิดปกติของรูปร่างหรือโครงสร้างของอวัยวะของร่างกายเดิมเคยปกติมาก่อน มีผลมาจากแรงภายนอกทำให้โครงสร้างที่กำลังพัฒนาผิดรูปไป
ความผิดปกติของรูปร่างของมดลูก
การตั้งครรภ์แฝด
Dysplasia
ความผิดปกติทางรูปร่างของอวัยวะหรือส่วนของอวัยวะอันเป็นผลมาจากความผิดปกติของการจัดระเบียบของเซลล์ที่จะเจริญไปเป็นเนื้อเยื่อ
การป้องกัน
การให้คำแนะนำปรึกษาทางพันธุศาสตร์ (Genetic counseling) ในรายที่มีภาวะเสี่ยง
ก่อนการตั้งครรภ์ในรายที่มีภาวะเสี่ยง จะต้องได้รับการให้คำแนะนำปรึกษาทางพันธุศาสตร์ตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อวิเคราะห์โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม รวมถึงการทำพงศาวลี (pedigree)
เมื่อตั้งครรภ์ จะทำการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด เพื่อค้นหาความพิการแต่กำเนิดตั้งแต่อยู่ในครรภ์
การเจาะน้ำคร่ำ
การตัดชิ้นเนื้อรกไปตรวจ
การให้คำปรึกษาภายหลังการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด หากพบว่าทารกพิการเพื่อให้ครอบครัวสามารถเผชิญปัญหาและตัดสินใจ
หลีกเลี่ยงการสัมผัส teratogen ที่อาจมีผลทำให้ทารกมีความพิการแต่กำเนิดได
เชื้อหัดเยอรมัน
บุหรี่
ภาวะจิตสังคมของครอบครัวที่ต้องเผชิญกับภาวะมีบุตรพิการแต่กำเนิด
ระยะตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์มักจะเกิดความเครียดและวิตกกังวลสูงเมื่ออยู่ในระยะที่ต้องตัดสินใจตรวจสอบความผิดปกติของทารกในครรภ์ เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงที่จะให้กำเนิดทารกที่มีความพิการบิดามารดาบางรายอาจรู้สึกผิด รู้สึกสองฝักสองฝ่าย ผลการตรวจที่พบว่าทารกมีความผิดปกติคู่สามีภรรยาจะมีความวิตกกังวลสูงมากรู้สึกเศร้าโศก สิ้นหวัง ความต้องการทำแท้งอาจเกิดขึ้นในกรณีที่สตรีตั้งครรภ์ไม่สามารถปรับตัวได้
ระยะคลอด
ผู้คลอดที่รับรู้ว่ามาก่อนว่าทารกในครรภ์มีความพิการหรือมีความผิดปกติเกิดขึ้น มักจะมีความเครียด กลัว วิตกกังวล เนื่องจากไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าว่าผลการคลอดจะเป็นอย่างไร
ระยะหลังคลอด
ครอบครัวอาจจะเข้าสู่ระยะเศร้าโศก แม้ว่าจะทราบหรือรู้ล่วงหน้าว่าทารกที่คลอดออกมาจะมีความพิการก็ตาม ส่วนใหญ่ครอบครัวจะกลับเข้าสู่ภาวะเดิมอีก คือ ช็อค ปฏิเสธ และกลัว
ปากแหว่งเพดานโหว่
ความหมาย
ความพิการแต่กำเนิดของเพดานซึ่ง หมายถึง ริมฝีปาก เหงือกส่วนหน้า เพดานแข็ง และเพดานอ่อน
โรคปากแหว่ง
โรคที่มีความผิดปกติแต่กำเนิดบริเวณริมฝีปากเพดานส่วนหน้าแยกจากกัน เพดานส่วนหลังจะเจริญสมบูรณ์เมื่อทารกอยู่ในครรภ์มารดาช่วง 4-7 สัปดาห์
โรคเพดานโหว่
โรคที่มีความผิดปกติแต่กำเนิด บริเวณเพดานส่วนหลังแยกจากกัน ซึ่งเกิดขึ้นได้ระยะทารกอยู่ในครรภ์มารดาช่วง 12 สัปดาห์
สาเหตุ
กรรมพันธุ์ ครอบครัวที่มีพ่อแม่หรือญาติทางฝ่ายพ่อหรือแม่มีประวัติเป็น
สิ่งแวดล้อม
มารดาติดเชื้อหัดเยอรมันในช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก
มารดาขาดวิตามินและสารโฟเลท
พยาธิสภาพ
เกิดระหว่างทารกอยู่ในครรภ์ จะมีการสร้างเนื้อเยื่อริมฝีปากเมื่อ
อยู่ในครรภ์มารดาตั้งแต่อายุครรภ์ 3-12 สัปดาห์ต่อมาเพดานอ่อนและเพดานแข็งจะเชื่อมกันสมบูรณ์เมื่อมีอายุครรภ์ประมาณ 11-17 สัปดาห์ เมื่อทารกมีความพิการปากแหว่ง เพดานโหว่ การดูดกลืนของทารกจะผิดปกติเนื่องจากการอมหัวนมไม่แนบสนิท มีรูรั่วให้ลมเข้าแลละสำลักง่ายขณะดูดนม ทารกต้องใช้แรงดูดมากขึ้น ลมที่เข้าไปทำให้ท้องอืด
อาการและอาการแสดง
ทารกที่มีปากแหว่งเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถอมหัวนมหรือจุกนมได้สนิท มีลมรั่วเข้าไปขณะดูดนมทารกต้องออกแรงมากในการดูดนม จะพบอาการท้องอืดหลังจากดูดนม
ทารกที่มีเพดานโหว่มักจะสำลักน้ำนมขึ้นจมูกและเข้าช่องหูชั้นกลางหรือสำลักนมเข้า
ปอดได้
การได้ยินผิดปกติ
การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนต้น
การวินิจฉัย
โรคปากแหว่ง พบตั้งแต่ทารกแรกเกิด การอัลตร้า
ซาวน์ สามารถตรวจพบได้เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 13-14 สัปดาห์ สามารถยืนยันผลได้ 100%
การตรวจร่างกาย
ทารกมีความพิการริมฝีปากบนแหว่งตั้งแต่แรกเกิด ส่วนทารกที่มีเพดานโหว่จะตรวจโดยสอดนิ้วตรวจเพดานภายในปากหรือตรวจในขณะทารกร้องไห้ อ้าปาก จะพบเพดานโหว่ได้
การพยาบาลทารกแรกเกิด
ดูแลด้านจิตใจสำหรับบิดา มารดา ที่ทารกมีปัญหาปากแหว่าง เพดานโหว่
ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลทารกแรกเกิดที่พบปัญหาปากแหว่ง เพดานโหว่
ดูแลการให้นมแม่
ทารกที่มีภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่สามารถดูดนมแม่ได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ทารกที่มีปากแหว่งเพียงอย่างเดียว สามารถดูดนมแม่ได้เพื่อให้การดูดนมมีประสิทธิภาพควรสอนมารดให้นิ้วโป้งปิดบริเวณช้องปากที่แหว่งเมื่อทารกงับหัวนมและลานนมแล้วหรืออาจจุดันเต้านมของมารดาเพื่อปิดช่องโหว่ของริมฝีปากทารก
ทารกที่มีภาวะเพดานโหว่จะดูดนมแม่ประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งด้านแม่และด้านทารก ปัจจัยด้านแม่ คือ หัวนมของมารดาต้องไม่แบน บุ๋ม หรือใหญ่เกินไป ส่วนปัจจัยด้านทารกขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเพดานโหว่ ถ้าทารกมีความผิดปกติของเพดานมาก ทำให้การดูดนมและกลืนน้ำนมแม่อาจต้องให้นมแม่ด้วยการป้อนช้อน หรือหยดด้วย syringeส่วนทารกที่มีความผิดปกติของเพดานเพียงเล็กน้อยท่าที่ใช้ในการให้นมแม่ เช่น ท่า upright positionหรือ ท่า straddle position
ท่านอน ให้มารดานอนตะแคง ส่วนทารกนอหงาย แล้วมารดาประคองเต้านมเพื่อให้ทารกงับหัวนมและลานนม ทำให้ทารกมีแรงดูดมากขึ้น
ท่านอนขวางตักประยุกต์และท่าฟุตบอล สามารถนำมาใช้ในทารกที่มีปัญหาปากแหว่งได้
แนะนำมารดาให้ใช้เพดานเทียมปิดเพดานเพื่อปิดไม่ให้ลมรั่ว
กรณีที่ทารกไม่สามารถดูดนมแม่ได้
ให้ใช้ขวดนมพิเศษที่เป็นพลาสติกอ่อน สามารถช่วยบีบให้น้ำนมไหลออกได้
ใช้ช้อนหรือแก้ว เพื่อป้อนนมไหลเข้าคอได้โดยมีการดูดนมน้อยที่สุด
ใช้ syringe ต่อกับท่อยางนิ่ม ป้อนบริเวณกระพุ่งแก้มด้านในหรือให้นมไหลผ่านบริเวณบนลิ้น
จัดท่าทารกให้อยู่ในท่านอนหัวสูงหรือท่านั่งเพื่อป้องกันการสำลัก
ภายหลังการให้ทารกดูดนมหรือให้นมต้องไล่ลมเป็นระยะ ๆ ทุก 15-30 นาที และจัดท่านอนหัวสูงและนอนตะแคงขวาให้ใบหน้าตะแคงเพื่อป้องกันอาการท้องอืด อาเจียน และสำลัก
ดาวน์ซินโดรม
ความหมาย
โรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมที่มีภาวะปัญญาอ่อนที่พบบ่อยที่สุด จะมีศีรษะค่อนข้างเล็ก เบน ตาเฉียงขึ้น ดั้งจมูกแบน ปากเล็ก ลิ้นมักยื่นออกมา เรียกว่า “mongoloids face”
สาเหตุ
เกิดจากการมีโครโมโซมเกินไป 1 แท่ง คือโครโมโซมคู่ที่ 21 มี 3 แท่ง ความผิดปกตินี้เรียกว่า trisomy 21
อาการ
ลักษณะภายนอกที่พบ
ศีรษะและตา มีศีรษะแบนกว้าง และท้ายทอยแบน ตายาวรี เฉียงออกด้านนอกและชี้ขึ้นบน
จมูกและหู มีจมูกไม่มีสัน ใบหูเล็กอยู่ต่ำกว่าปกติ
ปากและคอ มีเพดานปากโค้งนูน
ทรวงอกและหัวใจ มีกระดูกซี่โครงสั้นกว่าปกติ
ท้อง มีหน้าท้องยื่น กล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนยาน มีการแยกแตกของกล้ามเนื้อ rectus และมักมีไส้เลื่อนสะดือ
มือและเท้า มีมือกว้างและสั้น มักมีเส้นลายนิ้วมือตัดขวางหรือตัดกลางเพื่อโยงเส้นเดียวบนฝ่ามือ นิ้วมือป้อมสั้น นิ้วก้อยโค้งงอเข้า
กล้ามเนื้อและกระดูก ตัวเตี้ย เหยียดออกมากผิดปกติ กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก ผิวหนัง
แห้ง แตก
ปัญญาอ่อน จะมีพัฒนาการช้าหว่าเด็กธรรมกา มี IQ เฉลี่ย 25-50
มักพบความพิการอย่างอื่นร่วมด้วย
โรคหัวใจแต่กำเนิด
ความผิดปกติของทางเดิน
อาหาร
การเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์ ในผู้ชายมีองคชาติขนาดเล็กหว่าปกติ แต่ในผู้หญิสามารถมีบัตรได้แม้รอบเดือนจะมาไม่สม่ำเสมอ
การวินิจฉัย
ตรวจโครโมโซมโดยวิธี chorionic villus เมื่ออายุครรภ์ 9-12 สัปดาห์ หรือการทำ amniocentesis เมื่ออายุครรภ์ 16-18 สัปดาห์
ซักประวัติครอบครัว หรือ มารดาที่มีอายุมากกว่า 35 ปี
การรักษา
รักษาแบบประคับประคองตามอาการ มุ่งเน้นให้เด็กสามารถช่วยเหลือตัวเองได้
ทารกศีรษะบวมน้ำหรือภาวะน้ำคั่งในโพรงสมอง (Hydrocephalus)
ความหมาย
ภาวะที่มีการคั่งของน้ำไขสันหลังในกะโหลกศีรษะบริเวณเวนตริเคิล ของสมอง และ subarachnoid space มากกว่าปกติน้ำไขสันหลังที่คั่งปริมาณจะทำให้เกิดความดันภายในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น
พยาธิสภาพ
ความดันในกะโหลกศีรษะจึงเกิดจากผลรวมของความดันจากเนื้อสมองและเยื่อหุ้มสมอง น้ำไขสันหลัง และโลหิตเมื่อมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของส่วนประกอบใดส่วนประกอบหนึ่ง ส่วนประกอบที่เหลือก็จะมีการปรับตัวเพื่อให้เกิดความสมดุล จะส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของความดันในกะโหลกศีรษะ ความดันกะโหลกศีรษะสูงที่เกิดจากปริมาณน้ำไขสันหลังที่เพิ่มขึ้น ทารกที่ซึ่งกะโหลกศีรษะยังปิดไม่สนิท สามารถเพิ่มปริมาตรของกะโหลกศีรษะทำให้ทารกมีขนาดของศีรษะที่ใหญ่กว่าปกติ
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
ประวัติการติดเชื้อโรคบางชนิด
ประวัติการได้รับยาขณะตั้งครรภ์
Aminophyrine
Amethopterin
ตรวจพบปริมาณน้ำคร่ำมากผิดปกติ
การตรวจร่างกาย
จากการตรวจหน้าท้อง ในกรณีที่ส่วนนำเป็นศีรษะ การคลำทางหน้าท้องจะรู้สึกได้ถึงส่วนของศีรษะที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติและมักจะลอยสูงลงสู่ช่อเชิงกราน ตรวจภายในพบว่าศีรษะทารกอยู่สูงรอยต่อต่าง ๆ บนศีรษะขยายกว้าง กระหม่อมกว้างตึง
การตรวจพิเศษ
skull X – ray
Ultrasound
การรักษา
ขณะตั้งครรภ์ครรภ์
รายไม่รุนแรงและไม่ความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยมักแนะนำให้ติดตามการเปลี่ยนแปลง
อาจพิจารณายุติการตั้งครรภ์กรณีเป็นรุนแรงมาก
อาจเลือกยุติการตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์ยังน้อยซึ่งไม่สามารถเลี้ยงรอดได้
รักษาด้วยการใส่ shunt ในครรภ์ ต้องพิจารณาทำในรายอายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์ แต่ผลการรักษาในปัจจุบันยังไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจ
การดูแลทารก
ให้การพยาบาลทารกแรกเกิดโดยทั่วไป
ให้การพยาบาลตามอาการ วัดขนาดของรอบศีรษะทารกทุกวัน
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
อธิบายให้บิดามารดาเข้าใจสภาพของทารก
บันทึกอาการและการพยาบาล
ทารกศีรษะเล็ก (Microcephaly)
ความหมาย
ภาวะศีรษะเล็กหรือสมองเล็กเป็นความพิการของสมอง ซึ่งอาจเกิดจากสมองเจริญเติบโตช้ากว่าปกติเนื่องจากการเจริญเติบโตของกระดูกกะโหลกศีรษะส่วนใหญ่ขึ้นกับการเจริญเติบโตของสมอง จึงเป็นสาเหตุให้ศีรษะมีขนาดเล็ก
พยาธิสภาพ
สมองของทารกจะมีขนาดเล็ก น้ำหนักน้อยกว่าปกติ จำนวนและความลึกของคลื่นหรือรอยหยักของเนื้อสมองจะลดลง สมองส่วน Frontal lobe จะมีขนาดเล็กและไม่ได้สัดส่วนกับ Cerebellum ซึ่งมีขนาดใหญ่
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
มารดามีประวัติเป็น Phenylketonuria
มารดาเป็น Rubella, Syphilis
พบว่ามีพี่น้องเคยเป็น Microcephaly
ได้รับรังสีขณะอยู่ในครรภ์
มารดาไดรับเชื้อโรคไข้ซิกา
อาการและอาการแสดง จากลักษณะทั่วไป พบว่า ขนาดของศีรษะเล็กกว่าปกติหน้าผากเล็กใบหูใหญ่
ผลการตรวจทางห้องทดลอง ได้แก่ Skull X-ray, Lumbar serologic test
การรักษา
การรักษามุ่งเน้นให้เด็กสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานมากขึ้น และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิตเด็กได้เท่านั้น
การพยาบาล
ให้การพยาบาลทารกแรกเกิดโดยทั่วไป
ให้การพยาบาลตามอาการและอาการแสดง
สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ และอาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทของทารก เกี่ยวกับระบบ Motor และ Mental retardation
อธิบายให้บิดามารดาเข้าใจเกี่ยวกับสภาพของทารก
บันทึกอาการแลอาการแสดง
ภาวะหลอดประสาทไม่ปิด (neural tube defects: NTDs)
ความหมาย
Open type NTDs
มีการเปิดของ neural tissue กับสิ่งแวดล้อมภายนอกซึ่งมักสัมพันธ์กับความผิดปกติในช่วง primary neurulation หรือ neural tube closure
Closed type NTDs หรือ spina bifida occulta
NTD ที่มีผิวหนังภายนอกคลุมไว้ละไม่มี expose ของ neural tissue ออกมาภายนอกซึ่งมักสัมพันธ์กับความผิดปกติที่เกิดในช่วง secondary neurulation
สาเหตุของการเกิด NTDs
Genetic factors
95% ของมารดาที่ให้กำเนิดทารก NTD ไม่มีประวัติในครอบครัวมาก่อน แต่มีหลายหลักฐานที่ระบุว่า NTD มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม
Environmental factors
NTD มีหลายปัจจัย อาทิgeography, ethnicity, nutrition, maternal illness, maternal age and parityหากเคยมีบุตรคนแรกเป็น NTD แล้วอาจเพิ่มขนาดเป็น 4 mg ต่อวัน การให้ folate supplement อาจอยู่ในรูปยาเดี่ยวหรือวิตามินรวม หรืออาจเสริมเข้าไปในอาหารประเภทแป้งได้ แนะนำให้บริโภคอาหารที่มีfolate สูง ได้แก่ ผักใบเขียว หรือ รับประทานกรดโฟลิกขนาด 400 ไมโครกรัมต่อวันนานอย่างน้อย 1 เดือน ก่อนการตั้งครรภ์และรับประทานต่อไปจนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์
เยื่อหุ้มไขสันหลังยื่น (Spina bifida)
ความหมาย
ความผิดปกติของท่อประสาทตั้งแต่แรกเกิดจากพัฒนาการที่ผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง อาจเกิดความผิดปกติได้ตลอดตามความยาวของไขสันหลังตั้งแต่บริเวณศีรษะถึงกระดูกก้นกบ
พยาธิสภาพ
ความบกพร่องของกระดูกไขสันหลัง มีถุงยื่นผ่านจากกระดูกไขสันหลังออกมาตามตำแหน่งที่บกพร่องนั้น พบบ่อยที่สุดที่บริเวณ lumbosacrum มี hydrocephalus ร่วมด้วยอาจเป็นองค์ประกอบหนึ่งของ Arnold-Chiari type II กว่าร้อยละ 90 เป็น myelomeningocele คือ ส่วนที่ยื่นออกมามีทั้ง CSF และเนื้อไขสันหลัง
ชนิดของกระดูกสันหลังโหว่
spin bifida occulta
ความผิดปกติของกระดูกสันหลังตรงตำแหน่ง vertebal arches ทำให้เกิดช่องโหว่ระหว่างแนวกระดูกสันหลัง โดยปกติจะไม่เห็นจากภายนอกร่างกายว่ามีความผิดปกติ อาจพบมีกระจุกขน ถุงน้ำ ก้อนเนื้องอกที่เกิดจากการรวมกันของเส้นเลือด
spina bifida cystica
meningocele
คล้ายกับชนิดที่ หนึ่ง แต่มีก้อนยื่นผ่านกระดูกสันหลังที่ผิดปกติออกมา ก้อนหรือถุง ซึ่งก้อนหรือถุงนี้มีเยื่อหุ้มสมอง และน้ำไขสันหลัง แต่ไม่มีเนื้อเยื่อประสาทความผิดปกตินี้ไม่มีผลต่อเส้นประสาทไม่เกิดอัมพาตหรือเสียการรับร
myelomeningocele หรือ meningomyelocele
ความผิดปกติของกระดูกสันหลัง ที่มีก้อนยื่นผ่านกระดูกสันหลังที่ผิดปกติออกมา ก้อนหรือถุงนี้ประกอบด้วยเยื้อหุ้มสมอง น้ำไขสันหลัง และไขสันหลัง ความผิดปกตินี้อาจส่งผลให้เกิดอัมพาตหรือสูญเสียการรับรู้บางส่วน หรือทั้งหมด
การวินิจฉัย
อาการแสดงโดยตรง พบมีกระดูกสันหลังแยก และพบอาจพบ myelomeningocele sac ยื่นออกจากด้านหลังของกระดูกไขสันหลัง
การซักประวัติ
ได้รับยาบางชนิดขณะตั้งครรภ์
Valproic acid
มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ตรวจพบปริมาณน้ำคร่ำมากผิดปกติ (Polyhydramios)
อาการและอาการแสดง ที่พบว่าทารกมีก้อนสีแดง นุ่มตรงบริเวณช่องต่อระหว่างกระดูกของกระดูกสันหลังหรือบริเวณสะโพก (Sacrum) และบริเวณบั้นเอว (Lumbar)
การรักษา
กระดูกสันหลังโผล่ชนิด spin bifida occulta ไม่จำเป็นต้องรักษาแต่ถ้าเป็นชนิด spina bifida cystica มีวิธีการรักษาโดยการผ่าตัดปิดซ่อมแซมรอยโรคภายใน 24-48 ชั่วโมงภายหลังคลอด ถ้าหากไม่รีบรักษาเด็กก็ยังมีชีวิตอยู่แต่การรักษาจะยากขึ้น
การพยาบาล
ให้การพยาบาลทารกแรกเกิดโดยทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะท่านอนให้นอนในท่าตะแคง หรือนอนคว่ำ
ให้การพยาบาลตามอาการ และการพยาบาลก่อนผ่าตัดในรายที่เป็นน้อย
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
อธิบายให้มารดาเข้าใจเกี่ยวกับสภาพทารก
บันทึกอาการและการพยาบาล
การให้folic acid ในสตรีตั้งครรภ์จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคกระดูกสันหลังโหว่ได้
การดูแลและการพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ตรวจสอบความพิการของทารกในครรภ์ เพื่อยืนยันภาวะดังกล่าว
ดูแลให้การสนับสนุนทางด้านจิตใจเมื่อผลการตรวจวินิจฉัยพบภาวะผิดปกติ
ระยะคลอด
ให้ได้รับการสิ้นสุดการตั้งครรภ์ตามแผนการรักษาของแพทย์
ประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์
ระยะหลังคลอด
ประเมินความต้องการสัมผัสทารก
ให้การประคับประคองทางด้านจิตใจ
ทารกตายในครรภ์(Dead Fetus in Utero [DFU])
ชนิดของทารกตายในครรภ์
การตายของทารกในระยะแรก (early fetal death)
การตายก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์
การตายของทารกในระยะกลาง (intermediate fetal death)
การตายระหว่างอายุครรภ์
20-28 สัปดาห์
การตายของทารกในระยะสุดท้าย (late fetal death)
การตายตั้งแต่อายุครรภ์ 28 สัปดาห์
ขึ้นไป บางครั้งหมายถึงทารกตายคลอด
สาเหตุ
ด้านมารดา
มารดาอายุมากกว่า 35 ปี
มีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์โรคทางอายุรศาสตร์
ไม่มาฝากครรภ์ หรือมาฝากครรภ์ไม่ครบตามกำหนด
มีภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด รกเกาะต่ำ
ด้านทารก
มีภาวะพิการแต่กำเนิด
ความผิดปกติของโครโมโซม
ทารกมีภาวะเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
มีการกดทับสายสะดือจากสายสะดือย้อย (prolapsed cord)
ด้านรก
รกลอกตัวก่อนกำหนด
เส้นเลือดอุดกั้นในสายสะดือ
การวินิจฉัย
จากการซักประวัติมารดาพบทารกไม่ดิ้นหรือดิ้นน้อยลง หรือสังเกตได้ว่าอาการของการ
ตั้งครรภ์หายไป
การตรวจร่างกาย
น้ำหนักตัวของมารดาคงที่หรือลดลง เต้านมมีขนาดเล็กลง
คลำยอดมดลูกพบว่าไม่สัมพันธ์กับอายุครรภ์
ฟังเสียงหัวใจทารกไม่ได้
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยการ ultrasound
ทารกไม่มีการเต้นของหัวใจ หรือการเคลื่อนไหวของทารก
การเกยกันของกะโหลกศีรษะ (overlapping) เรียกว่า spalding sign จะพบได้ ภายหลังที่ทารกเสียชีวิตแล้ว 5 วัน
มีการหักงอของกระดูกสันหลัง เนื่องจากการเปื่อยยุ่ยของเอ็นที่ยึดกระดูกสันหลัง
ตรวจพบแก๊สในหัวใจ เส้นเลือดใหญ่ หรือช่องท้องทารก เรียกว่า Robert sign
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ด้านร่างกาย ถ้าทารกตายในครรภ์เป็นเวลาตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป จะมีโอกาสเกิดภาวะเลือด ไม่แข็งตัว(coagulopathy) หรืออาจเรียกว่าภาวะ “fetal death syndrome” นอกจากนั้นยังพบว่ามารดาจะมีภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง การทำหน้าที่ของ T-cell ลดต่ำลง มี
โอกาสติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น
ด้านจิตใจ ทำให้เกิดความรู้สึกสูญเสีย ตกใจ ซึมเศร้า โทษตัวเอง อาจพบว่ามีการใช้บุหรี่ สุรา สารเสพติดหรือยากล่อมประสาทสูงกว่าประชากรทั่วไป ภายหลังการสูญเสียทารกในครรภ์อาจทำให้คู่สามี ภรรยามีความพยายามที่จะตั้งครรภ์ทันที แต่ขณะเดียวกันก็มีความกลัวที่จะสูญเสียบุตรอีก
การรักษา
ไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ขนาดของมดลูกโตไม่เกิน 14 สัปดาห์ทำการ dilatation and
curettage หรือ suction curettage
ช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ เหน็บยา prostaglandin ได้แก่ PGE2 และ misoprostol
ทางช่องคลอด หรือให้ oxytocin ทางหลอดเลือดดำ
ไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์ ให้ oxytocin ปริมาณความเข้มข้นสูง ทางหลอดเลือดดำ
การพยาบาล
ให้การประคับประคองทางด้านจิตใจ แสดงความเห็นอกเห็นใจ
แนะนำให้สามีและครอบครัวให้กำลังใจ ปลอบใจ
ประเมินความต้องการสัมผัสกับทารกแรกคลอดที่เสียชีวิต
ดูแลให้ได้รับการสิ้นสุดการตั้งครรภ์ ตามแผนการรักษาของแพทย์
ติดตามผลการตรวจเลือดเพื่อหาระยะการแข็งตัวของเลือด clotting time ระดับของ fibrinogen ในกรณีที่ทารกตายในครรภ์เกิน 2 สัปดาห์
ให้ได้รับยายับยั้งการหลั่งน้ำนมตามแผนการรักษาของแพทย์