Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พระราชบัญญัติ คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ image - Coggle Diagram
พระราชบัญญัติ
คุ้มครองผู้บริโภค
พ.ศ. ๒๕๒๒
image
หมวดที่ 1 คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
"กล่าวถึงการดำรงตำแหน่งเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและ อำนาจหน้าที่ 20 มาตรา"
มาตรา ๙ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค”
มาตรา ๑๙[๒๒] ให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคขึ้นในสำนักนายกรัฐมนตรี
มาตรา ๒๐ ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจและหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) รับเรื่องราวร้องทุกข์จากผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย
(๒) ติดตามและสอดส่องพฤติการณ์ของผู้ประกอบธุรกิจ
๓) สนับสนุนหรือทำการศึกษาและวิจัยปัญหาเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
(๔) ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการศึกษาแก่ผู้บริโภคในทุกระดับการศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยและอันตรายที่อาจได้รับจากสินค้าหรือบริการ
(๕) ดำเนินการเผยแพร่วิชาการ และให้ความรู้และการศึกษาแก่ผู้บริโภค
(๖) ประสานงานกับส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุม ส่งเสริม หรือกำหนดมาตรฐานของสินค้าหรือบริการ
(๗) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่คณะกรรมการหรือคณะกรรมการเฉพาะเรื่องมอบหมาย
มาตราเกี่ยวกับคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง
มาตรา ๑๔ ๑๕ ๑๗ ๑๘
มาตรา ๑๔ ให้มีคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง
การคุ้มครองผู้บริโภคด้านการโฆษณา
การคุ้มครองผู้บริโภคในด้านฉลาก
การคุ้มครองผู้บริโภคในด้านสัญญา
มาตรา ๑๕ คณะกรรมการและคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการหรือคณะกรรมการเฉพาะเรื่องมอบหมายก็ได้
มาตรา ๑๗ คณะกรรมการและคณะกรรมการเฉพาะเรื่องมีอำนาจสั่งให้บุคคลส่งเอกสารหรือข้อมูลที่เกี่ยวกับเรื่องที่มีผู้ร้องทุกข์ที่เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคมาพิจารณาได้
มาตรา ๑๘ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องให้โอกาสแก่ผู้ถูกกล่ําวหาหรือสงสัยว่ากระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและแสดงความคิดเห็นตามสมควร
มาตราเกี่ยวกับณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๒
มาตรา ๑๐ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
พิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์จากผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย เนื่องมาจากการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจ
ดำเนินการเกี่ยวกับสินค้าที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค และข่าวสารเกี่ยวกับการบริโภคที่ผู้บริโภคควรทราบ
มาตรา ๑๑ ให้กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง อยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี
กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
มาตรา ๑๒ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๑ พ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๔) เป็นบุคคลล้มละลาย
(๓) คณะรัฐมนตรีให้ออก
(๕) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๖) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
มาตราเกี่ยวกับการประชุม
มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๖
มาตรา ๑๓ ในการประชุมคณะกรรมการ
ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุม ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธาน
การประชุมคณะกรรมการทุกคราวต้องมีกรรมการมาประชุมไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด
การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก
มาตรา ๑๖ การประชุมของคณะกรรมการเฉพาะเรื่องและคณะอนุกรรมการให้นำมาตรา ๑๓ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หมวดที่ 2 การคุ้มครองผู้บริโภค
ส่วนที่ 1/1
การคุ้มครองผู้บริโภคในด้านความปลอดภัย
น้ำสวยมาก
ส่วนที่ 2
การคุ้มครองผู้บริโภคด้านฉลาก
มาตรา ๓๐
(1) ให้สินค้าที่ผลิตเพื่อขายโดยโรงงานตามกฎหมาย
ว่าด้วยโรงงานและสินค้าที่สั่งหรือนำเข้า
มาในราชอาณาจักรเพื่อขาย เป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก
ไม่ใช้บังคับกับสินค้าที่คณะกรรมการว่าด้วยฉลาก
กำหนดขึ้นโดยใช้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ในกรณีที่มีสินค้าที่มีสินค้าที่ประชาชนทั่วไปใช้เป็นประจำ หรือมีสินค้าที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพ ร่างกาย หรือจิตใจ เนื่องจากการใช้สินค้าหรือโดยสภาพของสินค้านั้น การกำหนดฉลากของสินค้านั้นจะเป็น
ประโยชน์แก่ผู้บริโภคในการที่จะทราบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสินค้านั้น
แต่หากสินค้าดังกล่าวไม่เป็นสินค้าที่ควบคุมฉลากตาม (1)
คณะกรรมการว่าด้วยฉลากมีอำนาจกำหนดให้สินค้านั้น
เป็นสินค้าที่ควบคุมฉลากได้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๓๑
(1) ฉลากของสินค้าที่ควบคุมฉลาก
จะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
๑) ใช้ข้อความที่ตรงต่อความจริงและไม่มีข้อความ
ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้า
๒) ต้องระบุข้อความดังต่อไปนี้
ชื่อหรือเครื่องหมายการค้าของผู้ผลิต
หรือของผู้นำเข้าเพื่อขาย แล้วแต่กรณี
สถานที่ผลิตหรือสถานที่ประกอบธุรกิจนำเข้า
แล้วแต่กรณี
ระบุข้อความที่แสดงให้เข้าใจได้ว่าสินค้านั้นคืออะไร
ในกรณีที่เป็นสินค้านำเข้าให้ระบุชื่อประเทศที่ผลิตด้วย
๓) ต้องระบุข้อความอันจำเป็น ได้แก่ ราคา ปริมาณ วิธีใช้ ข้อแนะนำ
คำเตือน วัน เดือน ปีที่หมดอายุในกรณีเป็นสินค้าที่หมดอายุ
หรือกรณีอื่นๆ เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค
ให้ผู้ประกอบธุรกิจเพื่อขายสินค้าที่ควบคุมฉลาก เป็นผู้จัดทำฉลากก่อนขายและฉลากนั้นต้องมีข้อความดังกล่าวใน (1)
ซึ่งข้อความ ๒) และ ๓) ต้องจัดทำตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่คณะกรรมการว่าด้วยฉลากกำหนด
โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๓๒
การกำหนดข้อความของฉลากตามมาตรา ๓๐
ต้องไม่เป็นการบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจ
ต้องเปิดเผยความลับทางการผลิต
เว้นแต่ข้อความดังกล่าวจะเป็นสิ่งจำเป็นที่เกี่ยวกับ
สุขภาพอนามัยและความปลอดภัยของผู้บริโภค
มาตรา ๓๓
เมื่อคณะกรรมการว่าด้วยฉลากเห็นว่าฉลากใด
ไม่เป็นไปตามมาตรา ๓๑ คณะกรรมการมีอำนาจ
สั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเลิกใช้ฉลากดังกล่าว
หรือดำเนินการแก้ไขฉลากนั้นให้ถูกต้อง
มาตรา ๓๔
ผู้ประกอบธุรกิจผู้ใดสงสัยว่าฉลากของตนจะเป็นการ
ฝ่าฝืนหรือไม่เป็นไปตามมาตรา ๓๑ ผู้ประกอบธุรกิจอาจขอให้คณะกรรมการว่าด้วยฉลากพิจารณา
ให้ความเห็นในฉลากนั้นก่อนได้ ในกรณีนี้ให้นำมาตรา ๒๙ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๓๕
เพื่อประโยชน์ในการควบคุมและการตรวจสอบ
การประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าที่ควบคุมฉลาก
รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา
กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจในสินค้าดังกล่าวต้อง
จัดทำและเก็บรักษาบัญชีเอกสารและหลักฐาน
เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบได้
การคุ้มครองผู้บริโภคด้านสัญญา
มาตรา ๓๕ อัฏฐ
ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ส่งมอบสัญญาแบบถูกต้องตาม มาตรา ๓๕ ทวิ
หรือส่งมอบหลักฐานการรับเงินที่มีรายการและข้อความถูกต้องตามมาตรา ๓๕ เบญจ ให้แก่ผู้บริโภคภายในระยะเวลาที่ปกติสำหรับการประกอบธุรกิจประเภทนั้น ๆ หรือภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา แล้วแต่ว่าระยะเวลาใดจะถึงก่อน
มาตรา ๓๕ นว
ผู้ประกอบธุรกิจที่สงสัยว่าสัญญา หรือหลักฐานการรับเงินของตน
ฝ่าฝืนหรือไม่เป็นตามพระราชบัญญัตินี้หรือไม่
สามารถขอให้คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาให้ความเห็นก่อนได้
มาตรา ๓๕ สัตต
กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจ จะทำสัญญารับประกันให้ไว้แก่ผู้บริโภค
สัญญาดังกล่าวต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้แทน
และต้องส่งมอบสัญญานั้นแก่ผู้บริโภคพร้อมกับการส่งมอบสินค้าหรือให้บริการ
ถ้าสัญญาทำเป็นภาษาต่างประเทศต้องมีคำแปลภาษาไทยกำกับไว้ด้วย
มาตรา ๓๕ ทวิ
ในการประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการใด
ถ้าสัญญานั้นทำเป็นหนังสือ ไม่ว่าด้วยกฎหมายกำหนด
หรือทำตามประเพณี คณะกรรมการว่าด้วยสัญญา
มีอำนาจกำหนดให้การประกอบธุรกิจขายสินค้า
หรือให้บริการนั้นเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญาได้
ในการประกอบธุรกิจที่ควบคุมสัญญา สัญญาที่ผู้ประกอบธุรกิจทำกับผู้บริโภค
จะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
(๑) ใช้ข้อสัญญาที่จำเป็นซึ่งหากมิได้ใช้ข้อสัญญาเช่นนั้น
จะทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบผู้ประกอบธุรกิจเกินสมควร
(๒) ห้ามใช้ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค
การกำหนดตาม (๑) และ (๒) ให้เป็นไปตามหลัก
เกณฑ์และวิธีการที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๓๕ ตรี
เมื่อคณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนดให้สัญญาของการประกอบธุรกิจ
ที่ควบคุมสัญญาต้องใช้ หรือต้องใช้โดยมีเงื่อนไขในการใช้ข้อสัญญา
ตามมาตรา ๓๕ ทวิ แล้ว ถ้าสัญญานั้นไม่ใช้ข้อสัญญาดังกล่าวหรือใช้ข้อสัญญา
ดังกล่าวแต่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ให้ถือว่าสัญญานั้นใช้ข้อสัญญาดังกล่าว
หรือใช้ข้อสัญญาดังกล่าวตามเงื่อนไขนั้น แล้วแต่กรณี
มาตรา ๓๕ จัตวา
เมื่อคณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนดให้สัญญาของการประกอบธุรกิจที่ควบคุม
สัญญาต้องไม่ใช้ข้อสัญญาใดตามมาตรา ๓๕ ทวิ แล้ว
ถ้าสัญญานั้นใช้ข้อสัญญาดังกล่าว ให้ถือว่าสัญญานั้นไม่มีข้อสัญญาเช่นว่านั้น
มาตรา ๓๕ เบญจ
คณะกรรมการว่าด้วยสัญญามีอำนาจกำหนดให้การประกอบธุรกิจ เป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงินได้
ในการประกอบธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน
หลักฐานการรับเงินฃจะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
(๑) มีรายการและใช้ข้อความที่จำเป็น ซึ่งหากมิได้มีรายการ
หรือมิได้ใช้ข้อความเช่นนั้นจะทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบ
ผู้ประกอบธุรกิจเกินสมควร
(๒) ห้ามใช้ข้อความที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และรายละเอียด
ที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนด
การกำหนด (๑) และ (๒) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๓๕ ฉ
เมื่อคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา กำหนดให้หลักฐานการรับเงินของการประกอบธุรกิจ
ที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน ต้องใช้ หรือต้องใช้โดยมีเงื่อนไขในการใช้
หรือต้องไม่ใช้ ข้อความใดตามมาตรา ๓๕ เบญจ แล้ว ให้นำมาตรา ๓๕ ตรี และมาตรา ๓๕ จัตวา
มาใช้บังคับแก่หลักฐานการรับเงินดังกล่าวโดยอนุโลม
ส่วนที่ 1 การคุ้มครองผู้บริโภคในด้านการโฆษณา
มาตรา ๒๕ ในกรณีที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาเห็นว่าสินค้าหรือบริการใดผู้บริโภคจำเป็นต้องทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพ ฐานะ และรายละเอียดอย่างอื่นเกี่ยวกับผู้ประกอบธุรกิจ
มาตรา ๒๖ ในกรณีที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาเห็นว่าข้อความในการโฆษณาโดยทางสื่อโฆษณาใด สมควรแจ้งให้ผู้บริโภคทราบว่าข้อความนั้นเป็นข้อความที่มีความมุ่งหมายเพื่อการโฆษณา คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีอำนาจกำหนดให้การโฆษณาโดยทางสื่อโฆษณานั้นต้องมีถ้อยคำชี้แจงกำกับให้ประชาชนทราบว่าข้อความดังกล่าวเป็นการโฆษณาได้
มาตรา ๒๔ ในกรณีที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาเห็นว่าสินค้าใดอาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคและคณะกรรมการว่าด้วยฉลากได้กำหนดให้สินค้านั้นเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลากตามมาตรา ๓๐
(๒) จำกัดการใช้สื่อโฆษณาสำหรับสินค้านั้น
(๒) และ (๓) ให้นำมาใช้บังคับแก่การโฆษณาที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาเห็นว่าการใช้หรือประโยชน์ของสินค้านั้นขัดต่อนโยบายทางสังคม ศีลธรรม หรือวัฒนธรรมของชาติ
(๑) กำหนดให้การโฆษณานั้นต้องกระทำไปพร้อมกับคำแนะนำหรือคำเตือนเกี่ยวกับวิธีใช้หรืออันตราย ตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณากำหนด
(๓) ห้ามการโฆษณาสินค้านั้น
มาตรา ๒๗ ในกรณีที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาเห็นว่าการโฆษณาใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๒ มาตรา ๒๓ มาตรา ๒๔ (๑) หรือมาตรา ๒๕ ให้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีอำนาจออกคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างดังต่อไปนี้
(๒) ห้ามการใช้ข้อความบางอย่างที่ปรากฏในการโฆษณา
(๓) ห้ามการโฆษณาหรือห้ามใช้วิธีการนั้นในการโฆษณา
(๑) ให้แก้ไขข้อความหรือวิธีการในการโฆษณา
(๔) ให้โฆษณาเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดของผู้บริโภคที่อาจเกิดขึ้นแล้วตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณากำหนด
มาตรา ๒๓ การโฆษณาจะต้องไม่กระทำด้วยวิธีการอันอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ร่างกายหรือจิตใจ หรืออันอาจก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้บริโภค ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๒๘
มาตรา ๒๒ การโฆษณาจะต้องไม่ใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือใช้ข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมเป็นส่วนรวม
ข้อความดังต่อไปนี้ ถือว่าเป็นข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค
(๔) ข้อความที่จะทำให้เกิดความแตกแยกหรือเสื่อมเสียความสามัคคีในหมู่ประชาชน
(๑) ข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง
(๓) ข้อความที่เป็นการสนับสนุนโดยตรงหรือโดยอ้อมให้มีการกระทำผิดกฎหมายหรือศีลธรรม
(๕) ข้อความอย่างอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
(๒) ข้อความที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ
มาตรา ๒๙
ส่วนที่ 3
การคุ้มครองผู้บริโภคประการอื่น
มาตรา ๓๙/๑
เมื่อเเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้แจ้งไปยังสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อแจ้งให้ศาลทราบ ให้เจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจดำเนินคดีตามที่เลขาธิการมอบหมายได้ ทั้งนี้การดำเนินคดีของเลขาธิการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขที่คณะกรรมการประกาศ
นอกจากคณะกรรมการมีอำนาจดำเนินคดีตามมาตรา ๓๙ และกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคแล้วให้เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคแทนผู้บริโภคได้ด้วย
ในการดำเนินคดีในศาล เจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์สินหรือค่าเสียหายให้แก่ผู้บริโภคที่ร้องขอได้และในการนี้ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมทั้งปวง
มาตรา ๔๑
ในการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ให้สมาคมหรือมูลนิธิที่คณะกรรมการรับรองตามมาตรา ๔๐ มีสิทธิฟ้องคดีแพ่ง คดีอาญา และดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในคดี
ในการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ให้สมาคมหรือมูลนิธิที่คณะกรรมการรับรองตามมาตรา ๔๐ มีสิทธิฟ้องคดีแพ่ง คดีอาญา และดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในคดี
ในการดำเนินคดีในศาล มิให้สมาคมและมูลนิธิถอนฟ้อง เว้นแต่ศาลจะอนุญาตเมื่อศาลเห็นว่าการถอนฟ้องนั้นไม่เป็นผลเสียต่อการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นส่วนรวม
มาตรา ๔๒
สมาคมหรือมูลนิธิใดที่คณะกรรมการรับรองตามมาตรา ๔๐ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดตาม(๑) หรือมีพฤติการณ์ปรากฏว่าได้ดำเนินการฟ้องคดีโดยไม่สุจริต คณะกรรมการมีอำนาจเพิกถอนการรับรองสมาคมหรือมูลนิธินั้นได้
สมาคมหรือมูลนิธิใดที่ถูกเพิกถอนตาม(๒) คณะกรรมการอาจไม่ให้การรับรองตามมาตรา ๔๐ อีกก็ได้
การเพิกถอนการรับรองสมาคมหรือมูลนิธิตาม(๒) ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
นอกจากต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และกฎหมายอื่นแล้ว สมาคมและมูลนิธิที่คณะกรรมการรับรองตามมาตรา ๔๐ ต้องปฏิบัติตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา ๓๙
ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นสมควรเข้าดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคหรือได้รับคำร้องขอจากผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิ คณะกรรมการเห็นว่าการดำเนินคดีจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคเป็นส่วนรวม
คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานอัยการโดยความเห็นชอบของอธิบดีกรมอัยการ , ข้าราชการในสำนักงานซึ่งมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางนิติศาสตร์ เป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคเพื่อให้มีหน้าที่ดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาแก่ผู้กระทำการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคในศาล
มาตรา ๔๐
สมาคมและมูลนิธินั้นอาจยื่นคำขอให้คณะกรรมการรับรองเพื่อให้สมาคมและมูลนิธินั้นมีสิทธิและอำนาจฟ้องตามมาตรา ๔๑ ได้
สมาคมและมูลนิธิที่มีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองผู้บริโภคหรือต่อต้านการแข่งขันอันไม่เป็นธรรมทางการค้า
ข้อบังคับสมาคมและมูลนิธิดังกล่าวส่วนที่เกี่ยวกับคณะกรรมการ สมาชิก และวิธีการดำเนินการเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
สมาคมหรือมูลนิธิที่คณะกรรมการรับรองตาม(๑) ให้มีอายุคราวละสองปีนับแต่วันที่รับการรับรอง การยื่นคำขอตาม(๑) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
การรับรองสมาคมและมูลนิธิตาม(๑) ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตราที่ ๒๑
มาตราที่ ๒๑/๑
เพื่อประโยชน์ในการจัดทำหรือการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์การคุ้มครองผู้บริโภค
อาจจัดให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค
อาจจัดให้มีการประชุมร่วมกันกับคณะกรรมการตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อประโยชน์ในการจ่ายค่าตอบแทน ให้ถือว่าการประชุมร่วมดังกล่าวเป็นการประชุมของคณะกรรมการตามกฎหมายของแต่ละคณะกรรมการนั้นด้วย
หมวดที่ 3 การอุทธรณ์
มาตรา ๔๓
กรณีผู้ได้รับคำสั่งของคณะกรรมการเฉพาะเรื่องตามมาตรา ๒๗ หรือมาตรา ๒๘ (๒) ไม่พอใจคำสั่งดังกล่าว ให้มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการได้
มาตรา ๔๔
การอุทธรณ์ตามมาตรา ๔๓ ให้ยื่นต่อคณะกรรมการภายใน 10วันนับแต่วันที่ผู้อุทธรณ์ได้รับทราบคำสั่งของคณกรรมการเฉพาะเรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นอุทธรณ์และวิธีพิจารณาอุทธรณ์ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
การอุทธรณ์คำสั่งตาม(๑)ย่อมไม่เป็นการทุเลาการบังคับตามคำสั่งของคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง เว้นแต่คณะกรรมการจะสั่งเป็นอย่างอื่นเป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยอุทธรณ์ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด
หมวดที่ 4
บทกำหนดโทษ
พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒”
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้คำบัญญัติความหมาย การหมายถึงในการคุ้มครอง
ซื้อ = เช่า เช่าซื้อ โดยให้ค่าตอบแทนเป็นเงินหรือผลประโยชน์อย่างอื่น
ขาย = ให้เช่า ให้เช่าซื้อ โดยเรียกค่าตอบแทนเป็นเงินหรือผลประโยชน์อย่างอื่น หรือการเสนอหรือการชักชวน
สินค้า = สิ่งของที่ผลิตหรือมีไว้เพื่อขาย
บริการ = การรับจัดทำการงานการให้ใช้หรือให้ประโยชน์ในทรัพย์สินหรือกิจการใด โดยเรียกค่าตอบแทนเป็นเงินหรือผลประโยชน์อื่น
ผลิต = ทำ ผสม ปรุง ประกอบ ประดิษฐ์ หรือแปรสภาพ การเปลี่ยนรูป การดัดแปลง การคัดเลือก การแบ่งบรรจุ
ผู้บริโภค = ผู้ซื้อหรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้ได้รับการเสนอหรือการชักชวนจากผู้ประกอบธุรกิจ
ผู้ประกอบธุรกิจ = ผู้ขาย ผู้ผลิตเพื่อขาย ผู้สั่งหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขายหรือผู้ซื้อเพื่อขายต่อซึ่งสินค้า หรือผู้ให้บริการ แลผู้ประกอบกิจการโฆษณา
ข้อความ = การกระทำให้ปรากฏด้วยตัวอักษร ภาพ ภาพยนตร์ แสง เสียง เครื่องหมาย]ที่ทำให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าใจความหมายได้
โฆษณา = ประชาชนเห็นหรือทราบข้อความ เพื่อประโยชน์ในทางการค้า
สื่อโฆษณา = หนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ไปรษณีย์โทรเลข โทรศัพท์ หรือป้าย
สัญญา = ตกลงกันระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจเพื่อซื้อและขายสินค้าหรือให้และรับบริการ
คณะกรรมการ = คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
ฉลาก = รูป รอยประดิษฐ์ กระดาษหรือสิ่งอื่นใดที่ทำให้ปรากฏข้อความเกี่ยวกับสินค้า
กรรมการ = กรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
พนักงานเจ้าหน้าที่ = แต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
รัฐมนตรี = รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ผู้บริโภคมีสิทธิได้รับความคุ้มครอง
สิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ
สิทธิที่จะได้อิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ
สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ
สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา
สิทธิที่จะได้การพิจารณาและชดเชยความเสียหาย
มาตรา ๘[๕] ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
การปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ
มาตรา ๕ มาตรา ๖ มาตรา ๗
มาตรา ๗ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวเมื่อผู้ที่เกี่ยวข้องร้องขอ
มาตรา ๕ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจ
1.นับ ชั่ง ตวง วัด ตรวจสินค้า และเก็บหรือนำสินค้าในปริมาณพอสมควรไปเป็นตัวอย่างเพื่อทำการทดสอบ
2.ค้น ยึด หรืออายัดสินค้า ภาชนะหรือหีบห่อบรรจุสินค้า ฉลากหรือเอกสารอื่นที่ไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติ
3.เข้าไปในสถานที่หรือยานพาหนะใด ๆ เพื่อตรวจสอบการผลิตสินค้า การขายสินค้าหรือบริการ รวมทั้งตรวจสอบสมุดบัญชี เอกสาร
4.มีหนังสือเรียกให้บุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคำ หรือส่งเอกสารและหลักฐานที่จำเป็นเพื่อประกอบการพิจารณาของพนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา ๖ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา๕ (๓) ถ้าไม่เป็นการเร่งด่วนให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่หรือยานพาหนะนั้นทราบล่วงหน้าตามสมควรก่อน