Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แนวคิด หลักการ ทฏษฎีการพยาบาลจิตเวช - Coggle Diagram
แนวคิด หลักการ ทฏษฎีการพยาบาลจิตเวช
แนวคิดสุขภาพจิตและการเจ็บป่วยทางจิต
สุขภาพจิต
สุขภาพจิต (Mental Health)
หมายถึง ภาวะที่บุคคลรับรู้ศักยภาพของตนเอง สามารถรับมือกับความเครียดและทำประโยชน์เพื่อสังคมได้ แม้จะป่วยดวยโรคจิตเวช หากสามารถพึงพอใจในชีวิตและทำประโยชน์ได้ก็ถือว่ามีสุขภาพจิตดี ภายใต้ข้อจำกัดความบกพร่อง
ลักษณะผู้มีสุขภาพจิตดี
มีความสุขกับการดำรงชีวิต
มีความมั่นคงทางอารมณ์ สามารถควบคุมการแสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างเหมาะสม
มีความคิดทางบวกกับตนเอง สามารุยอมรับความเป็นจริงของตนเองได้ทั้งจุดแข็งและข้อบกพร่อง
มองเห็นค่าในตนเอง สามารถทำงานที่เหมาะสมกับระดับความสามารถของตนเองได้
มีสัมพันธภาพทักษะทางสังคมที่ดี
สามารถเผชิญปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆได้
สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆได้เป็นอย่างดี
ปัจจัยที่มีผลต่อภาวะสุขภาพจิต
ปัจจัยทางด้านสังคมวัฒนธรรม หรือสิ่งแวดล้อม (Social cultural or Environmental factors)
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่สะอาด สะดวก
ปลอดภัย ย่อมมีผลดีต่อสุขภาพทั้งกายและจิตของผู้อยู่อาศัย
การเลี้ยงดูของพ่อแม่มีผลการปรับตัวของลูก หากเลี้ยงแบบเผด็จการเด็กจะขาดความมั่นใจและความคิดสร้างสรรค์ เลี้ยงแบบปล่อยปะละเลย เด็กจะขาดวินัยในตนเอง การเลี้ยงแบบทะนุถนอม เด็กจะไม่สามารถเผชิญปัญหาต่างๆได้ด้วยตนเอง แต่หากเลี้ยงแบบประชาธิปไตย ว่าด้วยเหตุผล เด็กจะสามารถปรับตัวใช้ขีวิตได้อย่างเหมาะสมที่สุด ซึ่งความสัมพันธ์ภายในครอบครัวก็มีผล หากทุกคนรักใคร่ปรองดอง ช่วยเหลือกัน ย่อมทำให้สมาชิกรู้สึกไม่โดดเดี่ยวในการปรับตัวหรือแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่
ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะรวยหรือจนย่อมส่งผลต่อสุขภาพหากไม่มีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนมี
ด้านการเมือง ความแตกแยกทางความคิดก่อให้เกิดการประท้วงและความรุยแรง ทำให้ประชาชนขาดความมั่นคงทางอารมณ์และความปลอดภัยในการดำรงชีวิต
ปัจจัยทางด้านจิตใจ (Psychological factors)
สุขภาพจิตจะสัมพันธ์กับความสามารถในการปรับตัว หากสามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ มีความมั่นใจ สามารถเผชิญปัญหาต่างๆได้ก็จะมีสุขภาพจิตดี แต่ในคนที่ไม่ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง ถูกเสริมแรงในทางที่ไม่ถูกต้อง ถูกตำหนิ จะขาดความมั่นใจ จนไปสามารถเผชิญปัญหาต่างๆ จึงเกิดความเครียดและปัญหาสุขภาพจิตตามมา
ปัจจัยด้านร่างหรือชีวภาพ (Biological factor) = ปัจจัยด้านบุคคล(Individual or Personal factors)
3.ชีวเคมี (Biochemistry factors) = สารสื่อประสาทที่สร้างจากสมองมีผลต่อมนุษย์อย่างมาก เช่น หากร่างกายขาด Norepinephrine จะทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า
4.ฮอร์โมน (Hormonal influences) จะส่งผลต่อพฤติกรรมการแสดงออก และการเกิดอารมณ์ของบุคคล เช่น Thyroxin ถ้ามีมากจะทําให้ร่างกายตื่นตัว ไม่อยู่นิ่ง แต่ถ้ามีน้อยจะเชื่องช้า เซื่องซึม
2.กายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบประสาท = ความผิดปกติของโครงสร้างสมองทำให้การเข้าใจและการทำหน้าที่ของสมองผิดปกติไป
5.สภาพร่างกายมีผลต่อสุขภาพจิต หากสภาพร่างกายไปในทิศทางบวก เช่น รูปร่างหน้าตาดี ร่างกายแข็งแรง ย่อมส่งผลให้มีสุขภาพจิตดี หากมีหน้าตาขี้เหร่ ปรับตัวยากย่อมส่งผลให้เสียสุพภาพจิตได้ง่าย
1.พันธุกรรม ลักษณะบุคลิกภาพสามารถถ่ายทอดกันได้ ตั้งแต่เป็นทารกตั้งครรภ์ หากพ่อแม่มีนิสัยอย่างไร ลูกมักมีนิสัยอย่างนั้นด้วย
ปัจจัยทางจิตวิญญาณ (Spiritual factors) จิตวิญญาณ เป็นสิ่งที่ซึมแทรกอยู่ในวิถีการดํารงชีวิต
การมีศาสนาหรือที่พึ่งทางจิตใจจะทำให้บุคคลผู้นั้นมีความสงบ การมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน จะทำให้คนเห็นคุณค่าของตนเอง อยู่กับความเป็นจริงใช้ชีวิตได้เหมาะสม หากขาดเป้าหมายในชีวิตจะยากลำบากในการปรับตัว ก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต
การเจ็บป่วยทางจิต
การเจ็บป่วยทางจิต (Mental illness)
คือ ความผิดปกติที่กระทบต่ออารมณ์ (Emotion) พฤติกรรม (Behavior) และความคิด (Thinking) จนทำให้เกิดความบกพร่องในการทำหน้าที่ตามปกติ
ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการเจ็บป่วยทางจิต
การใช้ชีวิตที่ไม่มีเป้าหมายที่แน่นอน การสูญเสียความหมายของชีวิต การขาดการสื่อสารหรือสัมพันธภาพกับสังคม และการขาดแรงสนับสนุนทางสังคม เช่น โดนแบ่งแยก ไม่ได้รับการยอมรับ เป็นต้น
ลักษณะสําคัญและเกณฑ์การจําแนกโรคทางจิตเวชที่พบบ่อย
ลักษณะสําคัญของโรคทางจิตเวช
คือ ความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมผิดปกติ ตนส่งผลกระทบต่อการทำหน้า หรือ การเข้าสังคม
เกณฑ์การจําแนกโรคทางจิตเวช
ระบบการแบ่งประเภทของโรคทางจิตเวช (Classification systems)
International Statistical Classification of Diseases and Related Health Problems โดย WHO ปัจจุบันคือ ICD-10 โดยกลุ่มโรคทางจิตเวชจะอยู่ในหมวด F00-F99 Mental andbehavioral disorder
Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders โดยสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน ระบบปัจจุบัน คือ DSM-5
อาการวิทยาและการตรวจสภาพจิต
อาการวิทยาหรืออาการทางจิตเวช (Psychiatric symptomatology)
4.ความผิดปกติทางความคิด (Thought)
ความผิดปกติของเนื้อหาความคิด (Disturbances in content of thought)
ความคิดหลงผิด (Delusion)
Delusion of persecution
หลงผิดคิดว่ามีคนจะทำร้าย
Delusion of grandeur (Grandiose)
คิดว่าตนเองเป็นบุคคลสำคัญ/ผู้ยิ่งใหญ่
Delusion of reference
หลงผิดคิดว่าคนรอบข้างพูดเกี่ยวกับตน
Delusion of being controlled (Idea of passivity)
หลงผิดคิดว่ามีคนมาควบคุมเขา เขาควบคุมตนเองไม่ได้
Paranoid delusion
หวาดระแวงจนไม่สามารถเชื่อใจใครได้
Nihilistic delusion
คิดว่าสิ่งต่างๆไม่มี เช่น ตนไม่สมอง
Thought broadcasting
คิดว่าตนเองสามารถกระจายความคิดได้ คนอื่นได้ยินความคิดของเขา
Thought withdrawal
รู้สึกว่าความคิดเขาว่างเปล่ากะทันหัน
Erotomania หรือ Clerembault’s syndrome
คิดว่ามีคนมาหลงรัก
ความคิดหมกมุ่น (Obsession)
คิดถึงเรื่องเดิมซ้ำๆย้ำๆโดยไม่สามารถหยุดความคิดได้
ความผิดปกติของรูปแบบความคิด (Disturbances in form of thought)
Concrete thinking
ความคิดเป็นรูปธรรมมองวัตถุได้แค่ด้านเดียว มีความคิดแบบเด็กๆ
Autistic thinking
หมกมุ่นอยู่ในเรื่องของตนเอง
ความผิดปกติของกระบวนการคิด (Disturbances in stream or process
of thought)
ความคิดกระจัดกระจาย (Flight of ideas)
ความคิดพรั่งพรูออกมาหลายเรื่องตามตัวกระตุ้น
การพูดเบี่ยงเบน (Loosening of association)
การเปลี่ยนจากเรื่องหนึ่งไปเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่่เกี่ยวข้องกันเลย
การพูดไม่ต่อเนื่องกัน (Incoherence speech)
พูดเป็นคำๆ เพราะความคิดไม่ต่อเนื่อง การเรียงคำมีความสับสน
ความคิดช้า (Retardation of thought)
ทำให้เกิดการตอบสนองต่อสิ่งที่ถามช้า เพราะต้องใช้เวลาในการนึกและตัดสินใจ
ความคิดหยุดชะงัก (Thought blocking)
มีเรื่องอื่นเข้าแทรกก่อนจะพูดทำให้ความคิดถูกสกัด จำไม่ได้วา่จะพูดอะไร
ความคิดอ้อมค้อม (Circumstantiality)
พูดอ้อมค้อมไม่ตรงประเด็น
ความคิดตกค้าง (Perseveration)
คือความคิดที่ค้างอยู่จะแสดงออกมาโดยการพูดหรือกระทำบางอย่างซ้ำๆ
ความคิดแบบเฉียด (Tangentiality)
การตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ถามเพียงเล็กน้อย
การคิดคำใหม่ (Neologisms)
ผู้ป่วยคิดคำใหม่หรือนำคำที่มีอยู่ไปใช้ในความหมายที่แปลกออกไป
การคิดที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล (Illogicality)
สิ่งที่ผู้ป่วยคิดไม่สอดคล้องกันตามหลักเหตุผล
Word salad (Salad of words)
คำหรือการรวมวลี ที่ไม่เข้ากัน ทำให้รูปประโยคดูแปลกๆ
5. การพูด (Speech)
Poverty of speech
พูดน้อย ตอบคำถาแค่สั้นๆ
Pressure of speech
พูดมาก เร็วและดัง
Thought block
ความคิดชะงัก จำไม่ได้ว่าจะพูดอะไร
Echolalia
ชอบเลียนแบบคำพูดผู้อื่น
3. Motor behavior พฤติกรรมผิดปกติ
Automatism
การทำอะไรซ้ำโดยที่ไม่รู้ตัว
Cataplexy
อาการที่กล้ามเนื้ออ่อนแรงทันทีทันใดเมื่อโดนกระตุ้นความรู้สึกอย่างรุนแรง
Catalepsy (Posturing)
ตือ การหยุดขณะกำลังจะเคลื่อนไหว ทำให้ค้างอยู่ท่านั้น
Stereotypy
เป็นการแสดงพฤติกรรมเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง เช่น นั่งโยกตัวตลอดเวลา
Negativism
การกระทำของผู้ป่วยต่อต้านคำสั่ง สั่งให้คลายมือแต่ผู้ป่วยกำแน่นกว่าเดิม
Mannerisms
เป็นอาการแปลกๆที่แสดงออกทางใบหน้าและคอ เช่น การกะพริบตาบ่อย
Waxy flexibility
ผู้ป่วยจะอยู่ในท่าที่ผู้อื่นจัดให้นานเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง
Overactivity
พฤติกรรมที่แสดงถึงแรงเหลือล้น
Hyperactivity (Hyperkinesis)
ขยันผิดปกติหรือมีแรงเหลือ วิ่งซุกซนไปมา
Tic
ร่างกายในส่วนเล็กๆมีการกระตุกอยู่เสมอ เช่น ใบหน้า
Sleep walking (Somnambulism)
ละเมอ เคลื่อนไหวร่างกายหรือทำอะไรขณะหลับโดยไม่รู้ตัว
Compulsion
การทำเรื่องบางอย่างซ้ำๆทั้งที่ไม่อยากทำ
Echopraxia (Automatic obedience)
คือ เมื่อเห็นผู้อื่นทำอะไรก็จะทำตามโดยไม่ได้ตั้งใจ
Hypoactivity (Psychomotor retardation)
พฤติกรรมที่ค่อนไปทางเชื่อยชา เคลื่อนไหวช้า
6. ความผิดปกติของการรับรู้ (Disorder of perception)
ประสาทหลอน (Hallucination)
โดยประสาททั้ง 5
Olfactory hallucination
ได้กลิ่นแปลกๆทั้งที่ไม่มีอะไร
Gustatory hallucination
การรับรสทั้งๆที่ในปากไม่มีอะไร
Visual hallucination
ภาพหลอน
Tactile hallucination
รู้สึกมีอะไรมาสัมผัสแต่มองไม่เห็น
Auditory hallucination
หูแว่ว ได้ยินเสียงคนเรียกหรือพูดคุยกัน
Hypnagogic hallucination
ประสาทหลอนขณะเคลิ้มหลับ
Hypnopompic hallucination
ประสาทหลอนขณะใกล้ตื่น
Illusions
การแปลสิ่งต่างๆผิดไปจากความเป็นจริง
2.Emotion ความผิดปกติทางอารมณ์
Pleasurable affect
ความรู้สึกสบายใจเกินกว่าเหตุ
Euphoria
คือ การที่ผู้ป่วยรู้สึกทุกอย่างดีงามไปหมด เช่น ผู้ป่วยที่เสพกัญชา
Elation
เป็นความรู้สึกที่สุขกว่า Euproria ผู้ป่วยจะยิ้มแย้ม ร่าเริง พูดมาก คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่
Exaltation
รู้สึกสบายใจที่สุด คิดว่าตนเองเป็นบุคคลสำคัญ
Unpleasurable affects
อารมณ์ทางลบ
Depression
ซึมเศร้า ท้อแท้ หมดหวัง
Grief or mourning
ความเศร้าในการสูญเสีย
Inappropriate affect
คือ การแสดงออกของอารมณ์ไม่สอดคล้องกับความคิดข้างใน เช่น เล่าเรื่องเศร้าแต่สีหน้ายิ้มแย้ม
Other affect
อารมณ์อื่นๆ
Fear
คือ กลัวในสิ่งที่มีสาเหตุแน่ชัด สามารถมองเห็นได้
Agitation
กลัวแบบกระวนกระวาย อยู่ไม่สุข
Anxiety
คือ ความกังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
Panic
เป็นอาการคล้าย Anxiety แต่มีความรุนแรงมากกว่า
Phobia
กลัวอย่างไม่สมเหตุสมผล กลัวเกินกว่าเหตุ
Apathy or Flat affect
ไร้ความรู้สึก ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม
Ambivalence
การมีอารมณ์ 2 อารมณ์ที่ตรงข้าวกัน เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
Irritability
อารมณ์หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน
Depersonalization
การสูญเสียความเป็นตัวเอง
Derealization
คือ การคิดว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวต่างไปจากปกติ
Aggression
ก้าวร้าว ต่อต้าน
Impulsive
อารมณ์รุนแรง มักแสดงออกมาด้วยการทำรายร่างกายผู้อื่น
Mood swing
อารมณ์ไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ขึ้นๆลงๆเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
Emotional lability
อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย เช่น หากกำลังสนุกแต่ถูกยั่วก็จะโมโหอย่างรวดเร็ว
La belle indifference
ไม่เอาใจใส่และไม่สรความผิดปกติของร่างกาย
Ecstasy
ตกอยู่ในภวังค์
7. ความผิดปกติในความจำ (Disturbance of memory)
Amnesia
การลืม
Organic amnesia
การลืมที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง
Anterograde amnesia
ลืมเหตุการณ์หลังเกิดอุบัติเหตุ
Retrograde amnesia
สูญเสียความจำก่อนเหตุการณ์
Psychogenic amnesia
ลืมในสิ่งที่ทำร้ายจิตใจ มักเกิดหลังจากเจอเรื่องเครียดมากๆ
Confabulation
ผู้ป่วยสูญเสียความจำแล้วต่อเติมเนื้อหาเอง
Déjà vu
รู้สึกว่าเคยเห็นทั้งๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
Jamais vu
เคยเกิดขึ้นแต่จำไม่ได้ว่าเคยทำ
Hyper - amnesia
ความทรงจำมากไปจนเกิดความระแวง
1. Consciousness เป็นภาวะรู้สึกตัว (State of awareness)
ความผิดปกติในความตั้งใจ (Disturbance of attention)
Distractibility
คือ ไม่สามารถตั้งสมาธิหรือจดจ่อกับอะไรได้นานๆ เปลี่ยนตามรบกวนได้ง่าย
Selective inattention
จะไม่มีสมาธิเฉพาะเรื่องที่เครียด เช่น กังวลว่าจะสอบตกจึงไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ
ความผิดปกติเกี่ยวกับการคล้อยตาม (Disturbances in suggestibility)
Hypnosis
คือ การถูกชักจูงหรือสะกดจิตได้ง่าย
Folie a deux (Folic a trois)
คือ การที่คน 2 คนใกล้ชิดกันมากๆ ทำให้มีความคิดหลงผิดกันทั้งคู่
ความผิดปกติของสติสัมปชัญญะ (Disturbances of consciousness)
Drowsiness
ครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่ค่อยรู้สึกตัวแต่พอถาม-ตอบได้บ้าง
Confusion
มีความสับสนงุนงนมักแสดงสีหน้าที่แสดงถึงความสงสัยและกังวล
Stupor
หมดสติ ขาดความสนใจในสิ่งแวดล้อมแต่หากถูกกระตุ้นจะร้องครางได้
Delirium
ภาวะเพ้อจะรุนแรงกว่าสับสน คือ จะมีอการกลัวและประสาทหลอน ผู้ป่วยคนข้างจะกระวนกระวาย
Coma
ผู้ป่วยหมดสติ ไม่มีความรู้สึก มักพบในผู้ป่วยโรคสมอง
Fluctuation of consciousness
คือ สติไม่คงที่เปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลาของวัน
8.เชาว์ปัญญา (Intelligence)
Dementia
ภาวะสมองเสื่อมที่เกิดขึ้นในภายหลัง ซึ่งเมื่อก่อนปกติดี
Mental retardation
ระดับสติปัญญาต่ำตั้งแต่กำเนิด บกพร่องด้าน IQ
การตรวจสภาพจิต (Mental Status Examination)
1. ลักษณะทั่วไป และพฤติกรรม (General Appearance and Behavior)
ลักษณะภายนอกที่สังเกตเห็น เช่น การแต่งกาย ความสะอาด รูปร่างหน้าตา สีหน้า ตลอดจนภาษากายที่แสดงออกมาทางพฤติกรรม เช่น การสบตา การหลบตา หน้านิ่วคิ้วขมวด นั่งไหล่ตก พูดเร็ว เย็นชา พึมพัมคนเดียว ตลอดจนท่าทางแปลกๆต่างๆ เช่น การนั่งโยก
2. อารมณ์ (Emotion)
ตรวจสอบว่าอารมณ์และการแสดงออกของอารมณ์สอดคล้องกันไหม
3. การพูดและการใช้ภาษา (Speech & Language)
สังเกตความเร็วในการพูด จังหวะ ความดัง ตลอดจนคำแปลกที่พูดออกมาว่ามีคำที่มีความหมายหรือไม่
4. ความคิด (Thought)
ตรวจสอบความคิดว่าผู้ป่วยสามารถคิดได้อย่างสมเหตุสมผลหรือไม่ โดยการเข้าไปพูดคุยกับผู้ป่วยพร้อมสังเกตการคิดและพูดออกมา ทดสอบด้วยคำถามต่างๆที่มีแบบฟอร์ม เช่น การถามความต่างเหมือนของสิ่ง 2 สิ่ง การถามความหมายของคำสุภาษิต
5. การรับรู้ (Perception)
เป็นการตรวจสอบว่าผู้ป่วยมีอาการหลงผิดบ้างหรือไม่ สอบถามเพื่อให้ทราบว่ามีการรับรู้ตามความเป็นจริงไหม ถามเกี่ยวกับอาการประสาทหลอนโดยใช้คำถามที่เหมาะสม
6. ระดับการรู้สึกตัว (Level of consciousness)
เป็นการตรวจสอบระดับความตื่นตัวของผู้ป่วยว่าขณะนี้สามารถตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้มากน้อยแค่ไหน
7. การรู้เวลา สถานที่ และบุคคล (Orientation)
สอบถามโดยให้ผู้ป่วยบอกเกี่ยวกับเวลา สถานที่และบุคคล โดยสิ่งสุดท้ายที่คนเรามักจะลืมคือ บุคคล
8. ความใส่ใจและสมาธิ (Attention & Concentration)
สังเกตว่าผู้ป่วยสนใจสิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน และให้ทดสอบการลบเลขในใจเพื่อวัดสมาธิ โดยต้องสอดคล้องกับระดับการศึกษาด้วย
9. ความจำ (Memory)
ความจำทันที (Immediate recall memory)
คือ การให้ผู้ป่วยนับเลขตาม โดยคนปกติจะสามารถนับตามได้
ความจำในปัจจุบัน (Recent memory)
ถามถึงเหตุการณ์ภายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา เช่น เมื่อวานทานข้าวกับอะไร โดยต้องมีผู้ยืนยันคำตอบได้ด้วย
ความจำเฉพาะหน้า (Retention recall memory)
คือ การให้ผู้ป่วยจำของ 3 สิ่งที่แตกต่าง แล้วถามซ้ำเมื่อผ่านไป 5 นาที
ความจำในอดีต (Remote memory)
ถามเกี่ยวกับเหตุการณืต่างๆ เช่น ที่ทำงาน
10. เชาว์ปัญญาและความรู้ทั่วไป (Intelligence & General knowledge)
โดยคำถามต้องสอดคล้องกับระดับการศึกษาหรือความรู้พื้นฐานของผู้ป่วย
11. การตัดสินใจ (Judgment)
เป็นการตั้งคำถามให้ผู้ป่วยตอบ เพื่อวัดระดับความสามารถในการตัดสินใจ ว่าผู้ป่วยสามารถตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมหรือไม่
12. การหยั่งรู้หรือการรู้จักตนเอง (Insight)
เป็นการสอบถามว่าผู้ป่วยรับรู้ว่าตนเองป่วยหรือไม่
ผู้ป่วยคิดว่าปัญหาของตนเป็นเรื่องทางกาย ไม่เกี่ยวกับจิต
ผู้ป่วยรู้ว่าตนมีปัญหาทางจิต แต่ไม่ทราบสาเหตุ
Poor insight
ผู้ป่วยไม่คิดว่าตนเองผิดปกติ
True emotional insight ผู้ป่วยเข้าใจดีว่าตนเองป่วย และกำลังพยายามรักษา
13. แรงจูงใจในการรักษา (Motivation)
เป็นการสอบถามถึงสิ่งที่จูงใจให้ผ้ป่วยให้ความร่วมมือในการรักษา
ทฤษฎีที่ใช้ในทางสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวช
1. ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic theory)
พฤติกรรมทุกพฤติกรรมมีความหมายและไม่ได้เกิดขึ้นโดยเหตุบังเอิญ แต่มีจิตใจส่วนหนึ่งดำเนินการสั่งให้เกิดพฤติกรรมนั้น ๆ
ระดับของจิตใจ (Level of mind)
ระดับจิตกึ่งสำนึก (The subconscious or preconscious level)
จำเป็นต้องใช้เวลาในการคิด ร่วมกับการระลึกความรู้และความทรงจำในอดีต
ระดับจิตไร้สำนึก (The unconscious level)
เป็นการกระทำที่ไม่รู้สึกตัว พฤติกรรมที่แสดงออกมาเป็นไปตามสัญชาติญาณ
ระดับจิตสำนึก (The conscious level)
เป็นการกระทำที่รู้สึกตัวและมีเหตุผลประกอบ
โครงสร้างของจิต (The structure of mind)
Id
สัญชาติญาณดิบ เป็นสิ่งที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลา
Ego
เป็นการดำเนินของจิตที่มีเหตุผลสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
Superego
มโนธรรมสูง เป็นมาตรฐานของความเป็นคนดี
สัญชาตญาณ
สัญชาติญาณทางเพศ
ทำเพื่อความอยู่รอด มากกว่า ความพึงพอใจ
สัญชาติญาณทางความก้าวร้าว
เป็นการแข่งขันชิงดีชิงเด่น
กลไกทางจิต (Defense mechanism)
เป็นกลไกเพื่อการป้องกันตนเอง
2.ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล และจิตสังคม (Sullivan’s Interpersonal Theory)
สัมพันธภาพเหมาะสม และสามารถเก็บรักษาสัมพันธภาพที่ดีนั้นไว้ได้เพราะถ้าบุคคลสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นไม่เหมาะสม หรือ ขาดสัมพันธภาพ ซึ่งอาจเกิดจาก ในสมัยเด็กบุคคลไม่ได้รับยอมรับพฤติกรรมการแสดงออก ก่อให้เกิดความวิตกและหากการไม่รับการยอมรับเกิดขึ้นตลอดเวลา เด็กจะมีภาพพจน์ที่ไม่ดีกับตนเอง จะส่งผลให้มองคนอื่นในแง่ร้าย หวาดระแวง ไม่ยอมรับผู้อื่น
การช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และสามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น
ในสังคมได้อย่างเหมาะสม
3.ทฤษฎีทางพฤติกรรม Behavior Theory
พฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถสร้างและลบได้
หากต้องการให้พฤติกรรมคงอยู่ต้องเสริมแรงทางบวก เช่น การชื่นชมให้รางวัล
หากต้องการลบพฤติกรรมเหล่านั้น ต้องเสริมแรงทางลบ เช่น การลงโทษ
และหากต้องการให้หายจากความกลัวต่างๆ ต้องให้ผู้ป่วยได้เผชิญกับสิ่งต่างๆที่ละน้อย เริ่มจากการเล่าให้ฟัง เอาภาพให้ดู เริ่มเข้าใกล้และสุดท้ายลองสัมผัส
4. ทฤษฎีทางชีววิทยา
เชื่อว่าความผิดปกติทางจิตมาจากความผิดปกติของสมองและสารสื่อประสาท เป้าหมายของการรักษา คือ เพื่อทำให้สารเคมีมีภาวะสมดุล และเพื่อซ่อมแซมร่างกายที่ถูกทำลายและกำจัดออก
5.ทฤษฎีมนุษยนิยม
ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการพื้นฐานของมาสโลว์(Maslow’s Hierarchy of needs Theory)
ขั้นที่ 1 Physical อาหาร น้ำ อากาศ หลับนอน ขับถ่าย (ทางร่างกาย)
ขั้นที่ 2 Safety ปลอดภัย คุ้มภัย ปลอดภัยจากความวิตกกังวล
ขั้นที่ 4Acceptation & Recognition การยอมรับจากสังคม ยกย่องเชิดชู
ขั้นที่ 5Self-actualizationการตระหนักรู้ในตนเองอยางแท้จริง
ขั้นที่ 3 Love & Belongingความรักความเป็นเจ้าของ
ทฤษฎีนี้ช่วยให้พยาบาลจัดลำดับความสำคัญของการให้การดูแลผู้ป่วยได้อย่างถูกต่องและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเพบพลา
เน้นการสร้างสัมพันธภาพระหว่างพยาบาลและผู้ป่วยในการบำบัดทางจิตเน้นกระบวนการที่ช่วยเหลือผู้รับบริการให้มีความสามารถหรือศักยภาพที่เพิ่มขึ้นทั้งทางความคิดและการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
ทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็ม
เป็นทฤษฎีที่เน้นการดูแลตนเอง หากผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้จะส่งเสริมให้มีการดูแลตนเองให้มากที่สุด หากพร่องความรู้จะเสริมความรู้ให้ หากพร่องความสามารถในการดูแลตัวเองจะนำระบบการพยาบาลเข้ามาช่วย มีทั้งทดแทนบางส่วนและทดแทนทั้งหมดในผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เลย
ทฤษฎีการปรับตัวของรอยด์
หลักการเพื่อวางแผนในการช่วยเหลือให้สามารถปรับตัวและแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง