Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะขาดออกซิเจน (Birth asphyxia หรือperinatal asphyxia ) - Coggle Diagram
ภาวะขาดออกซิเจน (Birth asphyxia หรือperinatal asphyxia )
ความหมาย
หมายถึงภาวะที่ทารกแรกเกิดไม่สามารถหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลให้ขาดสมดุลของการแลกเปลี่ยนก๊าซทำให้มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ (hypoxia) มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์(hypercapnia)และมีสภาพเป็นกรดในกระแสเลือด(metabolic acidosis)
กลไกการเกิด
2.ไม่มีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่รก ซึ่งเกิดจากรกมีการแยกตัวออกจากมดลูก เช่น รกลอกตัวก่อนกำหนด ( abruptio placenta) รกมีเนื้อตาย(placenta infarction)
4.มีการนำออกซิเจนหรือสารอาหารจากมารดาไปยังทารกโดยผ่านทางรกไม่เพียงพอ
มารดาที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
มารดามีอาการช็อค
สูญเสียเลือด
ซีด
การบีบตัวของมดลูก
นานเกินไปหรือถี่มากไป
1.การไหลเวียนเลือดทางสายสะดือขัดข้อง มีการหยุดไหลเวียนหรือไหลเวียนลดลง เช่น สายสะดือถูกกดทับขณะเจ็บครรภ์หรือขณะคลอด
3.ปอดทารกขยายไม่เต็มที่และการไหลเวียนเลือดยังคงเป็นแบบทารกในครรภ์ไม่สามารถปรับเป็นแบบทารกหลังคลอดได้และไม่พัฒนาเป็นแบบผู้ใหญ่
พยาธิสรีรภาพ
ทารกขาดออกซิเจนสาเหตุต่าง ๆ ท่าให้เกิดการหายใจทางปาก หายใจไม่สม่่าสมอและ หัวใจเต้นช้าลง
ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด pH, PaO2 ลดลงแต่ PaCO2 เพิ่มขึ้น การกระจายของเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เพื่อให้หัวใจและสมองได้รับเลือดและออกซิเจนอย่างสม่่าเสมอ ถ้าภาวะขาดออกซิเจนแรกเกิด นานเกิน 5 นาที หัวใจและสมองก็
จะขาดออกซิเจน จะท่าให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดมากขึ้น ท่าให้เกิด pulmonary vasoconstriction มากยิ่งขึ้น
ท่าให้การแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอดลดลง
อาการและอาการแสดง
2.ระยะคลอด
พบขี้เทาปนในน้ำคร่ำ
3.ระยะหลังคลอด
แรกคลอดทันทีมีคะแนน APGAR ต่ำกว่า 7 ตัวเขียว ไม่หายใจเอง ตัวนิ่ม อ่อนปวกเปียกปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นลดลงหัวใจเต้นช้า
หลังคลอดในระยะต่อมาจะมีการเปลี่ยนแปลงมีอาการและอาการแสดงดังนี้
การเปลี่ยนแปลงในระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด การขาดออกซิเจน
ในระยะแรกร่างกายจะส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง หัวใจและต่อมหมวกไต
การเปลี่ยนแปลงในระบบประสาท ถ้าขาดออกซิเจนนานทารกจะซึม หยุดหายใจบ่อย หัวใจเต้นช้าลง ม่านตาขยายกว้างไม่ตอบสนองต่อแสงไม่มีDoll’s eye movementและมักเสียชีวิตถ้าขาดออกซิเจนในระยะเวลาส้ันๆ หรือสามารถกู้ชีพได้สำเร็จอย่างรวดเร็วอาจมีเพียงอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงและดูดนมได้ไม่ดีการเปลี่ยนแปลงในสมองเรียกว่าhypoxicischemic encephalopathy (HIE) ซึ่งลักษณะดังนี้
ชัก
ระดับความรู้สึกตัวผิดปกติ
สูญเสียกำลังกล้ามเนื้อ
การเปลี่ยนแปลงในปอด การขาดออกซิเจนทำให้หลอดเลือดในปอดหดตัวความดันเลือดในปอดสูงขึ้น เลือดไปเลี้ยงปอดได้น้อยลงการทำงานของเซลล์ปอดเสียไป ทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนดเกิดภาวะ RDS ส่วนทารกที่คลอดครบกำหนดจะเกิดภาวะ persistent
การเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหาร ลำไส้จะบีบตัวแรงชั่วคราว ทำให้
ทารกถ่ายขี้เทาขณะอย่ในครรภ์มารดา จึงเสี่ยงก่อการสำลักขี้เทาเข้าปอด
การเปลี่ยนแปลงทางเมตาบอลิซึม หลังจากขาดออกซิเจน ทารกมักจะเกิด
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แคลเซียมต่ำ และโปแตสเซียมสูง มีผลทำให้ทารกชักและเสียชีวิต
การเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินปัสสาวะ ทารกจะมีปัสสาวะน้อยลง
หรือไม่ถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด (hematuria)
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระดับน้ำตาลในเลือด 30 mg%
ค่าของ calcium ในเลือดต่ำกว่า 8 mg%
ค่า arterial blood gas ผิดปกติ คือ PaCO2 > 80 mmHg, PaO2 < 40mmHg, pH < 7.1
ค่าของ potassium ในเลือดสูง
1.ระยะตั้งครรภ์ หรือก่อนคลอด
ทารกมีการเคลื่อนไหวมากกว่าปกติและต่อมาจะมีการเคลื่อนไหวน้อยลงกว่าปกติอัตราการเต้นของหัวใจทารกในระยะแรกจะเร็วมากกว่า 160ครั้ง/นาทีต่อมาจึงช้าลง
การวินิจฉัย
2.การตรวจร่างกาย การประเมินคะแนน APGAR จะพบการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ ดังนี้
การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
การตอบสนองเมื่อถูกกระตุ้น
-อัตราการหายใจ เริ่มจากไม่สม่ำเสมอไปจนหยุดการหายใจ
อัตราการเต้นของหัวใจ
สีผิว
3.อาการและอาการแสดง
1.ประวัติการคลอด
4.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การรักษา
4.การให้ออกซิเจน
5.การช่วยหายใจ(ventilation)การช่วยหายใจด้วยแรงดันบวก โดยใช้ mask และ bag มีข้อบ่งชี้คือ
อัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า 100คร้ัง/นาที
เขียวขณะได้ออกซิเจน 100%
หยุดหายใจหรือหายใจแบบ gasping
3.การกระตุ้นทารก(tactile stimulation)
6.การใส่ท่อหลอดลมคอ มีข้อบ่งชี้ในการใส่คือ
เมื่อต้องช่วยหายใจด้วยแรงดันบวกเป็นเวลานาน
2) เมื่อช่วยหายใจด้วย mask และ bagแล้วไม่ได้ผล
3) เมื่อตอ้งการดูดสิ่งคัดหลั่งในหลอดลมคอ กรณีที่มีขี้เทาปนเปื้อนน้าคร่ำ
4) เมื่อต้องการนวดหัวใจ
5) ทารกมีไส้เลื่อนกระบังลม หรือน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,000 กรัม
2.ทำทางเดินหายใจให้โล่ง (clearing the airway)
7.การนวดหัวใจ(Chest compression) มีข้อบ่งชี้ในการทำ คืออัตราการเต้นของหัวใจทารกยังคงน้อยกว่า 60 คร้ัง/นาทีขณะที่ได้ช่วยหายใจด้วยออกซิเจน
1.การให้ความอบอุ่น
การพยาบาล
สังเกตอาการขาดออกซิเจน เช่น ริมฝี ปากและปลายมือปลายเท้าซีด เขียว หายใจปีกจมูกบาน หายใจออกมีเสียงคราง หน้าอกบุ๋ม
ดูแลให้ได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการและได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์
บันทึกอัตราการหายใจ การเต้นของหัวใจทารกภายหลังคลอด
ดูแลให้ได้ดัรับอาหารและสารน้ำ ตามแผนการรักษาของแพทย์
เช็ดตัวทารกให้แห้งทันทีหลังคลอดและห่อตัวรักษาความอบอุ่นของร่างกาย เพื่อลดการใช้ออกซิเจน
ดูแลความสะอาดของร่างกาย
ดูดสิ่งคัดหลั่ง ให้มากที่สุดก่อนคลอดลำตัว
ดูแลให้พักผ่อน
เตรียมทีมบุคลากร เครื่องมือให้พร้อมก่อนคลอด ในรายที่มารดามีภาวะเสี่ยงหรือมีอาการแสดงที่น่าสงสัยว่าจะเกิด asphyxia
10.ส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารก
การรักษาจำแนกตามความรุนแรงของการขาดออกซิเจน ได้ดังนี้
2.moderate asphyxia ให้ออกซิเจน 100% และช่วยหายใจด้วย mask และbag เมื่อดีข้ึนจึงใส่ feeding tube เข้ากระเพาะอาหารเพื่อดูดลมออก
3.severe asphyxia ให้การช่วยเหลือโดยช่วยหายใจทันทีที่คลอดเสร็จ โดยใส่ ET tubeและช่วยหายใจด้วยออกซิเจน 100% ผ่าน bag ร่วมกบัการนวดหวัใจ
1.mild asphyxia ให้ความอบอุ่น ทำทางเดินหายใจให้โล่ง กระตุ้นการหายใจ ให้ออกซิเจนผ่านสายออกซิเจนหรือ maskถ้าอาการดีขึ้น