Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลทารกแรกกิดที่มีภาวะ Birth Asphyxia - Coggle Diagram
การพยาบาลทารกแรกกิดที่มีภาวะ Birth Asphyxia
กลไกการเกิด
การไหลเวียนเลือดทางสายสะดือขัดข้องมีการหยุดไหลเวียนหรือไหลเวียนลดลง เช่น
สายสะดือถูกกดทับขณะเจ็บครรภ์หรือขณะคลอด
ไม่มีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่รก ซึ่งเกิดจากรกมีการแยกตัวออกจากมดลูก เช่น รก
ลอกตัวก่อนกำหนด ( abruptio placenta) รกมีเน้ือตาย(placenta infarction)
มีการนำออกซิเจนหรือสารอาหารจากมารดาไปยังทารกโดยผ่านทางรกไม่เพียงพอเช่น มารดาที่มีภาวะความดันโลหิตสูง มารดามีอาการช็อค สูญเสียเลือด ซีด การบีบตัวของมดลูกนานเกินไปหรือถี่มากไป
ปอดทารกขยายไม่เต็มที่และการไหลเวียนเลือดยังคงเป็นแบบทารกในครรภ์ไม่สามารถปรับเป็นแบบทารกหลังคลอดได้และไม่พัฒนาเป็นแบบผู้ใหญ่ เช่น มีทางเดินหายใจอุดตัน มีน้ำคั่งในปอด มีความสามารในการหายใจไม่สมบูรณ์ มีการหายใจล้มเหลวเนื่องจากสมองถูกกด
อาการและอาการแสดง
ระยะต้ั้งครรภ์หรือก่อนคลอด
ทารกมีการเคลื่อนไหวมากกว่าปกติและต่อมาจะมีการเคลื่อนไหวน้อยลงกว่าปกติ
อัตราการเต้นของหัวใจทารกในระยะแรกจะเร็วมากกว่า160คร้ัง/นาทีต่อมาจึงช้าลง
ระยะคลอด
พบขี้เทาปนในน้ำคร่ำ
ระยะหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงในปอด การขาดออกซิเจนทำให้หลอดเลือดในปอดหดตัว
ความดันเลือดในปอดสูงขึ้น เลือดไปเลี้ยงปอดได้น้อยลง การทำงานของเซลล์ปอดเสียไป ทำให้
ทารกคลอดก่อนกำหนดเกิดภาวะ RDS ส่วนทารกที่คลอดครบกำหนดจะเกิดภาวะ persistent
pulmonary hypertention of the newborn (PPHN) การเปลี่ยนแปลงในปอดดังกล่าวทำให้ทารกมีอาการหายใจหอบ ตัวเขียว
การเปลี่ยนแปลงในระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด การขาดออกซิเจน
ในระยะแรกร่างกายจะส่งเลือดไปเล้ียงสมองหัวใจและต่อมหมวกไตแต่ลดปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยง
ผิวหนัง ลำไส้กล้ามเนื้อและไต ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว ผิวซีด หายใจแบบ gasping มีmetabolic
acidosis อุณหภูมิร่างกายต่ำลง ความดันโลหิตต่ำ
การเปลี่ยนแปลงในระบบประสาท ถ้าขาดออกซิเจนนานทารกจะซึม หยุดหายใจบ่อย หัวใจเต้นช้าลง ม่านตาขยายกว้างไม่ตอบสนองต่อแสง ไม่มีDoll’s eye movement และมักเสียชีวิต ถ้าขาดออกซิเจนในระยะเวลาสั้นๆ หรือสามารถกู้ชีพได้สำเร็จอย่างรวดเร็วอาจมีเพียงอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงและดูดนมได้ไ้ม่ดีการเปลี่ยนแปลงในสมองเรียกว่า hypoxicischemic encephalopathy (HIE) ซึ่งลักษณะดังนี้
2) ชัก มักเริ่มเห็นภายใน 12-24 ชั่วโมงเริ่มดว้ยอาการชักแบบ subtle seizure คือ
ทำปากขมุบขมิบหรือกระพริบตาถี่ๆ ต่อมาจึงมีอาการชัก เกร็ง กระตุก กระหม่อมหน้าโป่งตึงเล็กน้อย
3)ระดับความรู้สึกตัวผิดปกติ เป็นสิ่งที่แสดงถึงความรุนแรงในการขาดออกซิเจนและช่วยทำให้คาดการณ์ได้ว่าทารกจะรอด
ชีวิตหรือไม่จะมีความพิการทางสมองมากน้อยเพียงใดในระยะ 5 วันแรกถ้าทารกมีอาการตื่นตัวผิดปกติ (hyperaleartness)
1) สูญเสียกำลังกล้ามเนื้อ พบได้ในช่วงอายุ2-3 ชั่วโมงแรกในตอนแรกจะมี
กลา้มเน้ืออ่อนแรงเล็กน้อย ดูดนมไม่ดีถ้ามีกลา้มเนื้อเกร็งภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอดมักรอด
ชีวิตแต่สมองพิการ
การเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหาร ลำไส้จะบีบตัวแรงชั่วคราว ทำให้
ทารกถ่ายขี้เทาขณะอยู่ในครรภ์มารดาจึงเสี่ยงก่อการสำลักขี้เทาเข้าปอด
การเปลี่ยนแปลงทางเมตาบอลิซึม หลังจากขาดออกซิเจน ทารกมักจะเกิด
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แคลเซียมต่ำและโปแตสเซียมสูง มีผลทำให้ทารกชักและเสียชีวิต
การเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินปัสสาวะ ทารกจะมีปัสสาวะน้อยลง
หรือไม่ถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด (hematuria)
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
4) ค่าของ potassium ในเลือดสูง
3) ค่าของ calcium ในเลือดต่ำกว่า 8 mg%
2) ระดับน้ำตาลในเลือด 30 mg%
1)ค่า arterial blood gas ผิดปกติ คือ PaCO2 > 80 mmHg, PaO2 < 40mmHg, pH < 7.1
ความหมาย
ภาวะขาดออกซิเจนในทารกแรกเกิด หมายถึงภาวะที่ทารกแรกเกิดไม่สามารถหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลให้ขาดสมดุลของการแลกเปลี่ยนก๊าซทำให้มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ(hypoxia) มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์(hypercapnia)และมีสภาพเป็นกรดในกระแสเลือด(metabolic acidosis)
พยาธิสรีรภาพ
เมื่อทารกมีภาวะขาดออกซิเจนร่างกายไม่สามารถดูดซึมออกซิเจนเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดได้ทำให้มีปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือดต่ำโดยมีระดับแรงดันออกซิเจนในหลอดเลือดแดงเท่ากับหรือน้อยกว่า 40 mmHg และมีการคั่งของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งมีระดับแรงดันคาร์บอนไดออกไซด์ในหลอดเลือดแดงมากกว่า 80 mmHg ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือดในร่างกายโดยมีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะที่สำคัญที่สุดในร่างกายก่อน คือ สมอง หัวใจและต่อมหมวกไต ส่วนอวยัวะอื่นๆ จะมีเลือดไปเลี้ยงน้อยลงการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือ มีการเปลี่ยนแปลงอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ เริ่มด้วยมีอาการหายใจแบบขาดอากาศ (gasping) ประมาณ 1 นาที ตามด้วยการหายใจไม่สม่ำเสมอและหัวใจเต้นช้าลง การขาดออกซิเจนทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาการเผาพลาญโดยไม่ใช้ออกซิเจนเป็นผลให้ร่างกายมีภาวการณ์เผาผลาญเป็นกรด (metabolic acidosis) ซึ่งทำให้การขาดออกซิเจนรุนแรงมากขึ้นถ้าไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องภายใน 8 นาทีหลังเกิดการขาดออกซิเจนทารกจะเสียชีวิต
การวินิจฉัย
ประวัติการคลอด
การตรวจร่างกายการประเมินคะแนน APGAR จะพบการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ
อาการและอาการแสดง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การรักษา
การให้ความอบอุ่น
ทำทางเดินหายใจให้โล่ง (clearing the airway)
การกระตุ้นทารก(tactile stimulation)
การให้ออกซิเจน ในทารกที่มีตัวเขียวอัตราการเต้นของหัวใจช้า หรือมีอาการหายใจลำบากให้ออกซิเจน 100% ที่ผ่านความชื้นและอุ่น ผ่านทาง mask หรือท่อให้ออกซิเจน
การช่วยหายใจ(ventilation)การช่วยหายใจด้วยแรงดันบวก โดยใช้ mask และ bag มีข้อบ่งชี้คือ หยุดหายใจหรือหายใจแบบ gasping อัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า 100คร้ัง/นาที เขียวขณะได้ออกซิเจน 100%
การใส่ท่อหลอดลมคอ มีข้อบ่งชี้ในการใส่คือ 1) เมื่อต้องช่วยหายใจด้วยแรงดันบวกเป็นเวลานาน 2) เมื่อช่วยหายใจด้วย mask และ bagแล้วไม่ได้ผล 3) เมื่อต้องการดูดสิ่งคัดหลั่งในหลอดลมคอ กรณีที่มีขี้เทาปนเปื้อนน้ำคร่ำ 4) เมื่อต้องการนวดหัวใจ 5) ทารกมีไส้เลื่อนกระบงัลม หรือน้ำหนักตัวน้อยกวา่ 1,000 กรัม
การนวดหัวใจ(Chest compression)
การพยาบาล
เตรียมทีมบุคลากร เครื่องมือให้พร้อมก่อนคลอด ในรายที่มารดามีภาวะเสี่ยงหรือมี
อาการแสดงที่น่าสงสัยว่าจะเกิด asphyxia
ดูดสิ่งคัดหลั่งให้มากที่สุดก่อนคลอดลำตัว
เช็ดตัวทารกให้แห้งทันทีหลังคลอดและห่อตัวรักษาความอบอุ่นของร่างกาย เพื่อลด
การใช้ออกซิเจน
บันทึกอัตราการหายใจ การเต้นของหัวใจทารกภายหลังคลอด
สังเกตอาการขาดออกซิเจน เช่น ริมฝีปากและปลายมือปลายเท้าซีด เขียว หายใจปีกจมูกบาน หายใจออกมีเสียงคราง หน้าอกบุ๋ม หรืออาการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ เพื่อให้การช่วยเหลือและปรึกษาแพทย์ต่อไป
ดูแลให้ได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการและได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์
ดูแลให้ได้รับอาหารและสารน้ำ ตามแผนการรักษาของแพทย์
ดูแลความสะอาดของร่างกาย
ดูแลให้พักผ่อน
10.ส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารก