Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเอเชีย - Coggle Diagram
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเอเชีย
ประเทศศรีลังกา
1.ผู้ครองเมืองอนุราธปุระ
โดยการนำของพระมหินทเถระและคณะสมณทูต ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งชมพูทวีปได้ทรงส่งมาในคราวทำสังคยานาครั้งที่ 3
2.ครั้นต่อมาเมื่อพระเจ้าวิชัยสิริสังฆโพธิ ทรงกอบกู้ราชบัลลังก์จากพวกทมิฬได้ และทรงจัดการทางฝ่ายราชอาณาจักรเรียบร้อยแล้วก็ได้หันมากอบกู้ฟื้นฟูพระพุทธ ศาสนา และส่งทูตไปขอพระภิกษุสงฆ์จากพม่ามาทำการบรรพชาอุปสมบทกุลบุตรชาวลังกา ทำให้สมณวงศ์ในลังกาได้กลับมีขึ้นอีกครั้ง
3.ในสมัยรัชกาลของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ 1 ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชปกครองสงฆ์ทั้งประเทศเป็นครั้งแรก และสร้างวัดวาอารมอีกมากมายจนลังกาได้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธ ศาสนา แต่ภายหลังพวกทมิฬก็มารุกรานอีกและมีอำนาจเหนือชาวสิงหล ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมลงอีกครั้ง
4.ใน พ.ศ.2293 พระเจ้ากิตติสิริราชสีห์ ได้ส่งราชทูตไปขอพระสงฆ์จากประเทศไทยในรัชสมัยพระเจ้าบรมโกศแห่งกรุง ศรีอยุธยา พระเจ้าบรมโกศทรงส่งพระอุบาลีและพระอริยมุนี พร้อมด้วยคณะสงฆ์ 12 รูป เดินทางไปลังกา และได้ทำการบรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรชาวสิงหล พระสงฆ์ที่บรรพชาอุปสมบทใหม่หนี้เรียกว่า อุบาลีวงศ์หรือสยามวงศ์ หรือสยามนิกาย ซึ่งเป็นคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ของลังกามาจนกระทั่งทุกวันนี้
5.ในปี พ.ศ.2358 อังกฤษได้เข้ามายึดครองลังกา ทำให้วงศ์กษัตริย์ลังกาสูญสิ้นไป เป็นเวลากว่า 100 ปีที่ชาวลังกาได้ต่อสู้จนได้อิสรภาพจากอังกฤษเมื่อ พ.ศ.2490 พระพุทธศาสนาจึงได้รับการฟื้นฟูขึ้น และได้ส่งพระสงฆ์ออกไปประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนาในทวีปยุโรปและอเมริกาด้วย
ประเทศเกาหลี
1.พระพุทธศาสนาเริ่มเผยแผ่เข้าสู่ประเทศเกาหลีเมื่อ พ.ศ.915 โดยสมณทูตซุนเตา เดินทางจากจีนแผ่นดินใหญ่เข้าเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอาณาจักรโกคุริโอ คือประเทศเกาหลีในปัจจุบัน
พ.ศ.1935 พระพุทธศาสนาเริ่มเสื่อมลงเมื่อราชวงศ์โซซอน ขึ้นมามีอำนาจ ราชวงศ์นี้เชิดชูลัทธิขงจื้อให้เป็นศาสนาประจำชาติ พ.ศ.2453 ประเทศเกาหลีได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ราชวงศ์เกาหลีสิ้นสุดลง ปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพสหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกาได้เข้ายึดเกาหลีจากญี่ปุ่น เกาหลีจึงถูกแบ่งเป็น 2 ประเทศ ทางตอนเหนืออยู่ภายใต้การคุ้มครองดูแลของสหภาพโซเวียต มีชื่อประเทศว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ทางตอนใต้อยู่ภายใต้การดูแลของสหรัฐอเมริกา มีชื่อประเทศว่า สาธารณรัฐเกาหลี พระพุทธศาสนาในเกาหลีเหนือไม่สามารถที่จะรู้สถานการณ์ได้ เพราะเกาหลีเหนือปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ ส่วนเกาหลีใต้ได้มีมีการฟื้นฟูขึ้น ได้ยกเลิกข้อบังคับสมัยที่ญี่ปุ่นยึดครองมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของเกาหลี คือ มหาวิทยาลัยดงกุก
3.ในปี พ.ศ.2507 คณะสงฆ์เกาหลีใต้ได้จัดตั้งโครงการแปลและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับเกาหลีขึ้นเรียกว่า ศูนย์แปลพระไตรปิฎกเกาหลี ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยดงกุก ประชาชนในเกาหลีใต้นับถือพระพุทธศาสนานิกายเซนผสมกับความเชื่อในพระอมิตาภพุทธะ และ พระศรีอารยเมตไตรย หรือพระเมตตรัยโพธิสัตว์
ประเทศทิเบต
4.ขณะนี้ดะไลลามะประมุขสงฆ์ของทิเบตองค์ปัจจุบัน เป็นองค์ที่ 14 ทรงพำนักลี้ภัยอยู่ในประเทศอินเดีย ตั้งแต่ทรงเดินทางหลบหนีออกจากทิเบต พ.ศ.2505เป็นต้นมา
1.แต่เดิมชาวทิเบตนับถือลัทธิบอนโป ซึ่งเป็นลัทธิที่นับถือผีสางเทวดา ต่อมาพระเจ้าสรองสันคัมโป ทรงขึ้นครองราชย์ ได้ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเนปาลและเจ้าหญิงจีน ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนาเริ่มเผยแผ่เข้าสู่ทิเบต และแพร่หลายในรัชสมัยของกษัตริย์ทิเบตพระองค์ที่ 5 กษัตริย์องค์ต่อ ๆ มา แทบทุกพระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศานาทำให้
.พระพุทธศาสนาได้รับการ อุปถัมภ์บำรุงอย่างดี
พุทธศตวรรษที่ 16 พระทีปังกรศรีชญาณ(พระอตีศะ)จาก มหาวิทยาชลัยวิกรมศิลา แคว้นพิหาร
ประเทศอินเดีย ได้รับการอาราธนาเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในทิเบตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ พระพุทธศาสนาประดิษฐานมั่นคง เป็นศาสนาประจำชาติทิเบตในเวลาต่อมา
2.พระพุทธศาสนาในทิเบตมีหลายนิกาย นิกายเก่าที่นับถือพระปัทมสัมภวะนั้นต่อมาได้ชื่อว่า นิกายหมวกแดง ต่อมาพระตสองขะปะ ได้ปฎิรูปหลักคำสอนของนิกายหมวกแดงนี้แล้วตั้งนิกายใหม่ขึ้น ชื่อว่า นิกายเกลุกปะ หรือ นิกายหมวกเหลือง นิกายนี้ได้รับการยกย่องจากผู้ปกครองมองโกลว่าเป็นผู้นำทางจิตใจ และต่อมาถือว่าเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองด้วย
3.ในรัชสมัยของพระเจ้าอัลตันข่าน พระองค์ได้พบประมุขสงฆ์องค์ที่ 3 ของนิกายเกลุกปะ ชื่อ สอดนัมยาโส พระองค์ เกิดความเชื่อว่าพระสอดนัมยาโสนี้เป็นอาจารย์ของพระองค์ในชาติก่อนจึงเรียก พระสอดนัมยาโสว่า ดะเล หรือ ดะไล (Dalai ) ตั้งแต่นั้นมาประมุขสงฆ์ของธิเบตจะพูกเรียกว่า ดะไลลามะ ดะไลลามะบางองค์ได้รับมอบอำนาจจากผู้นำมองโกลให้ปกครองประเทศธิเบตทั้งหมดทำ ให้พระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมเจริญรุ่งเรือง จนถึงองค์ที่ 7 (พ.ศ.2351-2401) ทิเบตเข้าสู่ยุคของการปิดประตูอยู่โดดเดี่ยวเนื่องจากได้รับความผันผวนและ การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ จีนแดงเข้าครอบครองในปี พ.ศ.2494
ประเทศเนปาล
3.ปัจจุบันได้มีการฟื้นฟูการศึกษาพระพุทธศาสนาฝ่าย เถรวาทขึ้นในประเทศเนปาลโดยส่งพระภิกษุสงฆ์สามเณรไปศึกษาในประเทศที่นับถือ พระพุทธศาสนา เช่น ประเทศไทย พม่า ศรีลังกา โดยเฉพาะในประเทศไทยนั้นพระภิกษุสามเณรชาวเนปาล ซึ่งได้อุปสมบาทและบรรพชาแบบเถรวาทได้มาศึกษาปริยัติธรรมและศึกษาใน มหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่ง คือมหามกุฏราชวิทยาลัยและมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในประเทศเนปาลเองมีสมาคมแห่งหนึ่งชื่อธรรโมทัย สภาได้อุปถัมภ์ให้พระภิกษุสงฆ์จากประเทศศรีลังกาและพระภิกษุสงฆ์ในประเทศ เนปาลที่ได้รับการอบรม มาจากประเทศศรีลังกา ออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง พร้อมทั้งมีการแปลพระสูตรจากภาษาบาลีเป็นภาษาท้องถิ่นพิมพ์ออกเผยแพร่เป็น จำนวนมากด้วย
2.พระพุทธศาสนาในประเทศเนปาล ในยุคแรกเป็นพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมหรือแบบเถรวาท ต่อมาเถรวาทเสื่อมสูญไป เนปาลได้กลายเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนามหายานนิกายตันตระซึ่งใช้คาถาอาคม และพิธีกรรมแบบไสยศาสตร์ นอกจากนี้ได้มีนิกายพุทธปรัชญาสำนักใหญ่ ๆ เกิดขึ้นอีก 4 นิกาย คือ สวาภาวิภะ ไอศวริกะ การมิกะ และยาตริกะ
1.ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชได้พระราชทานพระราชธิดา พระนามว่า จารุมตี ให้แก่ขุนนางผู้ใหญ่ชาวเนปาล พระเจ้าอโศกมหาราชและเจ้าหญิงจารุมตีได้ทรงสร้างวัดและเจดีย์หลายแห่ง ซึ่งยังคงปรากฏอยู่ที่นครกาฐมาณฑุในปัจจุบัน ในสมัยที่ชาวมุสลิมเข้ารุกรานแคว้นพิหารและเบงกอล ในประเทศอินเดีย พระภิกษุจากอินเดียต้องหลบหนีภัยเข้าไปอาศัยอยู่ในเนปาล ซึ่งพระภิกษุเหล่านั้นก็ได้นำคำภีร์อันมีค่ามากมายไปด้วย และมีการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีจนถึงทุกวันนี้ และเมื่อมหาวิทยาลัยลันทา(ในประเทศอินเดีย) ถูกทำลายซึ่งทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมสูญไปจากอินเดียแล้ว ก็ส่งผลให้พระพุทธศาสนาในเนปาลพลอยเสื่อมลงด้วย คุณลักษณะพิเศษที่เป็นเครื่องประจำพระพุทธศาสนา เช่น ชีวิตพระสงฆ์ในวัดวาอาราม การต่อต้าน การถือวรรณะ การปลดเปลื้องความเชื่อไสยศาสตร์หายไป
ประเทศญี่ปุ่น
1.พระพุทธศาสนาเข้าสู่ญี่ปุ่นโดยผ่านเกาหลี โดย พระเจ้าเซมาโวแห่งเกาหลีส่งราชทูตไปยังราชสำนักพระจักรพรรดิกิมเมจิพร้อม ด้วยพระพุทธรูป ธง คัมภีร์ะพุทธธรรมและพระราชสาร์นแสดงพระราชประสงค์ที่จะขอให้พระจักรพรรดิกิม เมจิรับนับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นของพระพุทธศาสนาในญี่ปุ่น ซึ่งเจริญเป็นอย่างมาก หลังจากพระจักรพรรดิกิมเมจิสิ้นพระชนม์แล้ว จักรพรรดิองค์ต่อๆมาก็มิได้ใส่พระทัยในพระพุทธศาสนา จนถึงสมัยของพระจักรพรรดินีซุยโกได้ทรงสถาปนาเจ้าชายโชโตกุ เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เจ้าชายพระองค์นี้เองที่ได้ทรงวางรากฐานการปกครองประเทศญี่ปุ่นและสร้าง สรรค์วัฒนธรรมพร้อมทั้งทรงเชิดชูพระพุทธศาสนา และในวันที่ 1 กุมภาพันธ์
หลังจากนั้นพระพุทธศาสนาก็แบ่งเป็นหลายนิกาย จนถึงยุคเมอิจิพระ พุทธศาสนาก็เสื่อมลงอย่างหนักลัทธิชินโตขึ้นมาแทนที่ และศาสนาคริสต์ก็เริ่มเผยแผ่พร้อมกับวัฒนธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาใน ญี่ปุ่นทำให้การศึกษาเจริญขึ้น พระพุทธศาสนาถูกยกขึ้นมาในแง่ของวิชาการ
3.ในปัจจุบันชาวญี่ปุ่นนับถือพระพุทธศาสนาควบคู่ไป กับศาสนาชินโต พระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็นหลายนิกาย แต่นิกายที่สำคัญมี 5 นิกาย คือ นิกายเทนได นิกายชินงอน นิกายโจโด (สุขาวดี) นิกายเซน (ธฺยาน หรือฌาน เป็นที่นิยมมากที่สุด) และนิกายนิจิเรน
ประเทศจีน
ใน พ.ศ.2455 ประเทศจีนได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็นสาธารณรัฐจีน รัฐบาลไม่สนับสนุนพระพุทธศาสนา แต่กลับสนับสนุนแนวความคิดของลัทธิมาร์กซิสต์ จนใน พ.ศ.2465 พระสงฆ์ชาวจีนรูปหนึ่งชื่อว่า ไท้สู ได้ทำการฟื้นฟูพระพุทธศาสนา โดยการตั้งวิทยาลัยสงฆ์ ขึ้นที่ วูชัง เอ้หมึง เสฉวน และหลิ่งนาน และจัดตั้งพุทธสมาคมแห่งประเทศจีน ขึ้น ทำให้ประชาชนและรัฐบาลเข้าใจพระพุทธศาสนามากขึ้น
พ.ศ.2492 สาธารณรัฐจีน ได้เปลี่ยนชื่อประเทศอีกครั้งหนึ่ง เป็น สาธารณรัฐประชาชนจีน ปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ่งมีคำสอนที่ขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาเป็นอย่าง มากรัฐบาลได้ยึดวัดเปนของราชการ ทำลายพระคัมภีร์ต่าง ๆ ทำให้พระพุทธศาสนาเกือบสูญสิ้นไปจากประเทศจีนเลยทีเดียว เมื่อประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน เหมา เจ๋อ ตุง ได้ถึงแก่อสัญกรรม พ.ศ.2519 รัฐบาลชุดใหม่ของจีน คือ เติ้งเสี่ยวผิง คลายความเข้มงวดลงบ้าง และให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาของประชาชนมากขึ้น สภาวการณ์ทางพระพุทธศาสนาจึงเริ่มกลับฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนจัดตั้งพุทธสมาคมแห่งประเทศจีนและสภาการศึกษาพระ พุทธศาสนาแห่งประเทศจีนขึ้นในกรุงปักกิ่งด้วย ปัจจุบันชาวจีนนับถือพระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับการนับถือลัทธิขงจื้อและลัทธิ เต๋า
3.พระพุทธศาสนาเริ่มเสื่อมลงเมื่อพระเจ้าบู๊จง ขึ้น ปกครองประเทศ เพราะพระเจ้าบู๊จงนับถือลัทธิเต๋า ทรงสั่งทำลายวัด บังคับให้พระภิกษุลาสิกขา ทำลายพระพุทธรูป เผาคัมภีร์ จนถึง พ.ศ.1391 เมื่อพระเจ้าชวนจง ขึ้นครองราชย์ ทรงสั่งห้ามทำลายวัด และนำประมุขลัทธิเต๋ากับพวกไปประหารชีวิต พร้อมกันนั้นก็ได้อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง พระพุทธศาสนาในประเทศจีนมีความเจริญรุ่งเรืองสลับกับเสื่อมโทรมตามยุคสมัยของราชวงศ์ที่จะทรงนับถือลัทธิหรือศาสนาใด
2.ในสมัยราชวงศ์ฮั่น ถึงแม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเป็นที่เลื่อมแต่ยังจำกัดอยู่ในวงแคบคือในหมู่ข้า ราชการและชนชั้นสูงแห่งราชสำนักเป็นส่วนใหญ่ เพราะชาวจีนส่วนใหญ่ยังคงนับถือลัทธิขงจื้อและลัทธิเต๋า จนกระทั่งโม่งจื้อนัก ปราชญ์ผู้มีความสามารถได้แสดงหลักธรรมของพระพุทธศาสนาให้ชาวเมืองได้เห็นถึง ความจริงให้ชาวจีนเกิดศรัทธาเลื่อมใสมากกว่า ลัทธิศาสนาอื่น ๆ
จนถึงสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ.1161-1450) พระพุทธศาสนาก็เจริญสูงสุดและได้มีการส่งพระเถระเดินทางไปสืบพระพุทธใน อินเดียและอัญเชิญพระไตรปิฎก กลับมายังจีน และได้มีการแปลพระสูตรจากภาษาบาลีเป็นภาษาจีนอีกมากมาย
1.พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้ามาในประเทศจีนเมื่อประมาณพุทธศักราช 608 ในสมัยของพระจักรพรรดิมิ่งตี่ แห่งราชวงศ์ฮั่น โดยพระองค์ส่งสมณทูตไปสืบพระพุทธศาสนาในอินเดีย และเดินทางกลับประเทศจีนพร้อมด้วยพระภิกษุ 2 รูป คือ พระกาศยปมาตังคะและพระธรรมรักษ์ รวมทั้งคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาอีกส่วนหนึ่งด้วย
เมื่อพระเถระ 2 รูป พร้อมด้วยคณะทูตมาถึงนครโลยาง พระจักรพรรดิมิ่งตี่ได้ทรงสั่งสร้างวัดให้เป็นที่อยู่ของพระเถระทั้ง 2 และตั้งชื่อว่า วัดแปะเบ้ยี่ ซึ่งแปลว่าเป็นไทยว่า วัดม้าขาว ซึ่งเป็นอนุสรณ์ให้ม้าตัวที่บรรทุกพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามากับพระเถระทั้ง 2 รูป