Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สตรีมีครรภ์ชาวไทย อายุ28ปี G2P1-0-0-1 - Coggle Diagram
สตรีมีครรภ์ชาวไทย อายุ28ปี G2P1-0-0-1
การเปลี่ยนแปลงด้านสรีรวิทยา
ระบบอวัยวะสืบพันธุ์
ปากมดลูก(cervix)
connective tissue บริเวณนี้จะอ่อนนุ่มลง เกิดจากปากมดลูกมีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้นและมีการบวมน้ำเรียกว่าGoodell’s sign
เยื่อบุช่องคลอดมีการเปลี่ยนสีจากสีชมพูเป็นสีม่วงคล้ าเนื่องจากมีเลือดมาหล่อเลี้ยงเพิ่มมากขึ้น เรียกว่า Chadwick’s sign
ผิวหนังและกล้ามเนื้อบริเวณ perineum จะมีเลือดไปหล่อเลี้ยงมากขึ้น
มีมูกปากมดลูก มาก
มีลักษณะ eversion ของเยื่อบุภายในที่ขยายรุกออกมาด้านนอก
มดลูก(uterus)
เส้นเลือดไปเลี้ยงเพิ่มขึ้น รูปร่างของมดลูกเปลี่ยนจากลูกแพร์ (pear shape)เป็นรูปรี
เซลล์กล้ามเนื้อมดลูกจะขยายใหญ่ขึ้นและยืดยาวออก (hypertrophy) จะดันลำไส้ออกไปด้านข้างและด้านบนจนเกือบถึงตับ
จะหมุนเบนมดลูกไปทางขวา (dextrorotation) เนื่องจากด้านซ้ายของอุ้งเชิงกรานมีลำไส้ส่วน rectosigmoid ขวางอยู่
ขนาดใหญ่ขึ้น โดยปริมาตรจะเพิ่มขึ้นจาก 10 ml เป็น 1100 ml
ช่องคลอด (vagina)
เยื่อบุผิวมีสีคล้ำขึ้น นุ่ม มีสารคัดหลั่งหรือตกขาวใสเพิ่มขึ้น เรียกว่า“leucorrhea of pregnancy”
มีการผลิตกรดlactic มากขึ้น
เซลล์ของเยื่อบุช่องคลอดจะมีglycogen สะสมมากขึ้น
สภาพภายในช่องคลอดมีสภาวะเป็นกรด ค่าpH อยู่ระหว่าง 3.5-6
ท่อนำไข่และรังไข่
รังไข่จะไม่ตกไข่ตลอดการตั้งครรภ์
แต่รังไข่จะสร้าง human chorionic gonadotropin(hCG) และ relaxin ตลอดการตั้งครรภ์
จะมีขนาดใหญ่ขึ้น
ท่อนำไข่ที่โตขึ้นจะเคลื่อนไหวได้น้อยลง เยื่อบุภายในแบนราบ
เต้านม (Breasts)
อาจพบ Montgomery glands ใหญ่ขึ้น จะเห็นเป็นตุ่มเล็ก ๆ บริเวณลานนมเรียกว่า glands of montgomery
บางรายเวลากระตุ้นมีน้ำนมสีเหลือง (Colostum) ไหลออกมาในปริมาณเล็กน้อยได้เพราะในช่วงนี้estrogen จะกระตุ้นท่อน้ำนมให้เจริญมากขึ้น
ขนาดจะโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 8 สัปดาห์แรก
อาจรู้สึกตึงหรือเจ็บในช่วงตั้งครรภ์
progesterone ไปกระตุ้นต่อมน้ำนม (alveolar hypertrophy) ให้โตขึ้น
ต่อมน้ำนมจะเริ่มสร้างน้ำนมภายใต้การทำงานของ growth hormone และ glucocorticoidทำให้มีการทำงานของฮอร์โมน Prolactin
ระบบหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular System)
หัวใจจะยกสูงขึ้นและเอียงไปทางซ้ายวางตัวอยู่ในแนวนอนมากขึ้นทำให้apex ชี้ไปทางด้านข้าง
ขนาดของหัวใจโดยรวมโตขึ้นร้อยละ 12 จากกล้ามเนื้อหัวใจที่หนาขึ้นและปริมาตรภายในที่เพิ่มขึ้น
ตามมา โดยประมาณ 80 มิลลิลิตร
Blood volume
การขยายปริมาตรของเลือดเริ่มต้นตั้งแต่อายุครรภ์ 6-8 สัปดาห์
จะะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่สองและค่อย ๆ คงที่ในไตรมาสสุดท้ายที่อายุครรภ์ 30-32 สัปดาห์
เพิ่มสูงสุดคิดเป็นร้อยละ 45
Cardiac output
เพิ่มขึ้นร้อยละ 30-50 เพิ่มสูงสุดในช่วงอายุครรภ์
20-24สัปดาห์
ในไตรมาสแรกเป็นผลจากการเพิ่มของ stroke volume
ส่วนในช่วงครึ่งหลังเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของ heart rate ในขณะที่ stroke volume ลดลงสู่ปกตb
Stroke volume
เปลี่ยนแปลงตามปริมาตรของเลือดที่เพิ่มขึ้น
systemic vascular resistance ที่ลดลงจากการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด
เป็น vasodilation effect จากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
Heart rate e เพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ประมาณ 10-15 ครั้งต่อนาที
ช่วงไตรมาสที่สาม cardiac output อาจลดลงได้
Blood pressure
จะลดลงในระหว่างการตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์8 สัปดาห์
จนต่ำสุดในช่วง 24-28 สัปดาห์ซึ่ง diastolic จะลดลงมากกว่า systolic ลดลงถึง 10 mmHg
กลับมาสู่ระดับปกติตอนอายุครรภ์36 สัปดาห์
ระบบทางเดินหายใจ (Respiratory System)
ระบบทางเดินหายใจส่วนบน
ในระหว่างการตั้งครรภ์ เยื่อบุบริเวณ nasopharynx จะมีการบวมน้ำ และมีเลือดมาหล่อเลี้ยงมาก
ฮอร์โมน estrogen ที่เพิ่มสูงขึ้นในระหว่างตั้งครรภ
ทำให้เกิดอาการคัดจมูกและเลือดกำเดาออก (epistaxis) ได้บ่อยๆ บางรายอาจพบ polyposis ของช่องจมูกหรือโพรงจมูกได้และจะยุบไปได้เองหลังคลอด
ระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง
รูปร่างของทรวงอก (thoracic cage) จะขยายขนาดขึ้น
. ระบบโลหิต (Hematological System)
จะเพิ่มตั้งแต่อายุครรภ์6 สัปดาห์จนกระทั่งสูงสุดที่อายุครรภ์ 30-34 สัปดาห์คิดเป็นร้อยละ 50
ความเข้มข้นของ hemoglobin และ hematocrit ในหญิงตั้งครรภ์จึงต่ำกว่าปกติ
white blood cell (WBC) ในขณะตั้งครรภ์จะพบว่าเพิ่มขึ้นกว่าปกติ อยู่ในช่วง 5,000-12,000cell/ml และกลับมาปกติหลังคลอด ในขณะคลอดและหลังคลอด
การแข็งตัวของเลือด (clotting factor) จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดย Factor I หรือ fibrinogen จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 50
ปริมาตรเลือด จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 50
ระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary System)
ไตจะเริ่มขยายขนาดตั้งแต่ปลายไตรมาสแรก ด้านขวาโตมากกว่าซ้ายเพราะถูกกดจากมดลูกที่เอียงและหมุนมาทางด้านขวามากกว่า โดยเฉลี่ยจะยาวขึ้น 1 ซม
น้ำหนักและขนาดของไตจะโตขึ้น กรวยไตขวาจะขยายโดยเฉลี่ย 15 มม. และซ้าย 5 มม.
ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงไตเพิ่มขึ้น (renal plasma flow) ตั้งแต่ไตรมาสแรกและสูงสุดช่วงกลางของการตั้งครรภ์ ประมาณร้อยละ 75
ไตรมาสแรกจะมีอาการปัสสาวะบ่อย โดยจะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อมดลูกพ้นเชิงกรานไปแล้ว
ส่วนนำของทารกลงจะกดต่ำเบียดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้มีการคั่งของเลือด เกิดการบวมของท่อกระเพาะปัสสาวะทำให้อักเสบได้ง่าย
ระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal System)
มดลูกที่มีขนาดขยายใหญ่ขึ้น จะเบียดลำไส้และกระเพาะอาหารทำให้มีการเปลี่ยนแปลงต่ำแหน่งของกระเพาะอาหารและลำไส้ไปจากปกติแต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงขนาด
หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น โดยจะเริ่มตั้งแต่ไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์และจะคงอยู่ตลอดการตั้งครรภ์
โปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนเป็นหลัก ที่ทำให้มีการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบในที่ต่าง ๆ ส่งผลให้esophageal sphincter tone ลดลง
สตรีตั้งครรภ์เกิด gastroesophageal reflux ได้ง่าย
ถุงน้ำดีมีการบีบตัวลดลง และ ผลจาก estrogen ต่อ bile acid transportation เพิ่มโอกาสเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
มีอาการคลื่นไส้อาเจียน
ระบบตา (Ophthalmological System)
ขณะตั้งครรภ์ความดันภายในลูกตา จะลดลง
เพิ่มการไหลเวียนของ vitreous cornea มีความหนาแน่นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
อาจพบจุดสีน้ำตาลแดงบริเวณด้านหลังของcornea ซึ่งเรียกว่า Krukenberg spindlesนผลจากฮอร์โมน estrogen สูง
ระบบกล้ามเนื้อ กระดูก (Musculoskeleton System)
ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ relaxin และ progesterone ที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการยืดหยุ่นของข้อต่อหรือเอ็นต่าง ๆ
pubic symphysis อาจแยกได้ตั้งแต่ช่วง 28-30 สัปดาห์ การทรงตัวอาจไม่ดีจากการเคลื่อนของข้อกระดูก sacroiliac หรือ sacrococygeal ทำให้หกล้มได้ง่าย
เมื่ออายุครรภ์เพิ่มมากขึ้น มดลูกมีขนาดใหญ่จะทำให้กระดูก แอ่นมาข้างหน้ามากขึ้น ทำให้หญิงตั้งครรภ์เกิดอาการปวดที่หลังได้
กล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องอาจถูกแยกจากกันแนวกลางตัวจากการที่ถูกมดลูกที่ใหญ่ขึ้นดันซึ่งเรียกว่าdiastasis recti
ข้อต่อกระดูก sacroiliac ,sacrococcygeal และข้อต่อ Symphysis pubic สามารถขยับได้มากขึ้นในขณะตั้งครรภ์เป็นผลจากอิทธิพลของฮอร์โมน relaxin
ไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์อาจรู้สึกแขนขาอ่อนแรง และปวดชาได
ระบบเยื่อหุ้มผิวหนัง (integumentary system)
ผิวหนังคล้ำเป็นผลจาก melanocyte ที่สร้าง melanin pigment เพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นของ estrogen และ Melanocyte Stimulating Hormone จากต่อมใต้สมอง
อาจพบมีVascular spider หรือ Spider angioma เป็นผิวที่นูนขึ้นมาคล้ายใยแมงมุมสีแดง
ในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์จะพบท้องลาย
การขยายของเส้นเลือดดำบริเวณขาร่วมกับเส้นเลือด inferior vena cava ถูกกดทำให้เกิดเส้นเลือดขอดและริดสีดวงทวารได้ง่าย
การเจริญของขนและผมจะมีfollicles มากขึ้นในช่วง anagen phaseทำให้ผมหรือขนหนาและจะกลับมาเป็นปกติใน 12 เดือน
ระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine System)
ต่อมใต้สมอง (pituitary gland)
ต่อมใต้สมอง ในขณะตั้งครรภ์ต่อมใต้สมองจะขยายขนาดขึ้น
การสร้างฮอร์โมนของต่อมใต้สมองพบว่า ระดับ growth hormone เพิ่มขึ้นเล็กน้อยระหว่างการตั้งครรภ
ฮอร์โมน prolactin ในระหว่างตั้งครรภ์พบว่ามีระดับเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงอายุครรภ์ใกล้ครบกำหนดคลอด
ต่อมธัยรอยด์(thyroid gland)
ในระหว่างการตั้งครรภ์ต่อมthyroid จะมีขนาดใหญ่ขึ้นประมาณร้อยละ 13
ฮอร์โมน estrogen ที่สูงขึ้นมาจากการตั้งครรภ์ จะทำให้ thyroxin binding globulin เพิ่มขึ้น
ส่วนthyroid-stimulating hormone (TSH) จะลดลงในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 10 สัปดาห์หลังจากนั้นจะอยู่ในระดับใกล้เคียงปกติ
ต่อมพาราธัยรอยด์(parathyroid gland)
ฮอร์โมน parathyroid จะลดลงในไตรมาสแรก
การเพิ่มการดูดซึมกลับของ calcium ของทางเดินอาหารและไปลดการขับออกทางไต ทำให้ระดับโดยรวมไม่ลดลง
การที่ parathyroid hormone เพิ่มขึ้นทำให้calcitonin เพิ่มขึ้นด้วย ทำให้มีการ
เพิ่มการสลายของกระดูก แต่ถ้าได้รับ calcium ทดแทนอย่างพอเพียง
การเปลี่ยนแปลงทางจิตสังคมของสตรีตั้งครรภ์
อาการเเละอาการเเสดง
มดลูกคลำก้อนนิ่มๆได้ lage part อยู่ด้านซ้ายมือค่อนไปทางด้านข้างลำตัว
ขาดดประจำเดือนAmenorrhea ขาดเกิน10วัน
การค้นพบการเต้นของหัว fetal heart sound FHS การเต้นหัวใจ140 bpm
การเปลี่ยนเเปลงด้านอารมณ์
ไตรมาส3 สตรีตั้งครรภ์จะเริ่มกลัวเเละวิตกกังลวเกี่ยวกับการคลอดมากขึ้นเเต่จะมีความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับสิทธิพิเศษจากสังคมทั้งนี้อาจจะเกิดความหมกมุ่นอารมณ์เเปรปรวนได้
การเปลี่ยนเเปลงด้านภาพลักษณ์
ไตรมาส3 มีความรู้สึกเกี่ยวกับร่างกายหลายอย่างปนกับมีความรู้สุกด้านลบภาพลักษณ์จากผลการเปลี่ยนเเปลงของผิวหนังรูปร่าง
การเปลี่ยนเเปลงด้านเพศสัมพันธ์
ไตรมาส 3 รูปร่างมีการเปลี่ยนเเปลงมากขึ้นมดลูกขยายใหญ่ขึ้นรูสึกอึดอัดและอับอายในรูปร่างของตนเองทำให้มีความรู้สึกทางเพศลดลง
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 2 ทารกในครรภ์เสี่ยงต่อการเจริญเติบโตช้าเนื่องจากมารดาได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
1.ประเมินภาวะได้รับสารอาหารน้อยกว่าความต้องการของร่างกายจากการรับประทาน
2.ประเมินน้ำหนักตัวทารกในครรภ์
3.แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ และรับประทานอาหารให้ตรงเวลา
4.รับประทานอาหารน้อยๆแต่บ่อยครั้ง
5.หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ
6.ไม่แนะนำให้รับประทานอาหาร ผักผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ที่ไม่สะอาด สุกๆ ดิบๆ
7.แนะนำให้แปรงฟันและใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของ ฟลูออไรด์ ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยป้องกันฟันผุ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 3 มีภาวะซีดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีรวิทยาขณะตั้งครรภ์ Physiological anemia
1.Observe ภาวะซีดครั้งต่อไปเมื่อมาฝากครรภ์
2,แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงเช่น เนื้อสัตว์ เลือด ตับ ปลา ไข่แดง
3.แนะนำให้รับประทานยา Triferdine รับประทานวันละ 1 เม็ด 2 ครั้ง หลังอาหาร เช้า-เย็น และสังเกตผลข้างเคียงได้แก่ ผื่นแดง ปวดท้อง อาเจียน หายใจไม่สะดวก (ควรหยุดยา) และปรึกษาแพทย์
4.ติดตามผล HCT
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดของทารกและเลือดของมารดาไม่เข้ากันเนื่องจากมารดามีผลเลือด Rh negative
1.เจาะเลือดสตรีตั้งครรภ์ส่งตรวจ Anti D titer (Indirect cimb test : IDC)
U/S : GA, Sing hydrop Fetalis
Titer negative / Repeat IDC ห่างจากครั้งแรก 1 เดือน
ให้ Anti D Ig G 300 ug IM mอายุครรภ์ 28-30 สัปดาห์และอีกครั้งหลังคลอดบุตร ภายใน 72 ชั่วโมง
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 4 มีอาการไม่สุขสบายเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา
อาการปวดแสบยอดอก
1.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารปริมาณมาก แนะนำให้รับประทานอาหารแต่พออิ่มและแบ่งมื้ออาหาร เป็นมื้อย่อย
2.หลังรับประทานอาหาร ไม่ควรล้มตัวลงนอนในทันที
3.หากมีอาการปวดแสบยอดอกบ่อยครั้ง อาจจะใช้ยาลดกรด
4.อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์เข้าใจถึงสาเหตุและเข้าใจว่ามิใช่ความผิดปกติ และไม่เป็นอันตราย การดูแล ตนเอง
มีตกขาวเพิ่มมากขึ้น
1.แนะนำให้รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ หมั่นล้างให้สะอาดแล้วซับให้แห้ง
2.แนะนำให้ไม่สวนล้างช่องคลอด
3.แนะนำให้สวมกางเกงที่หลวมสบาย ถ่ายเทอากาศได้ดี ควรใช้กางเกงในที่ทำจากผ้าฝ้ายเมื่อซักแล้วให้นาออกตากแดดจัดๆ
4.แนะนำให้ไปพบแพทย์เมื่อสงสัยว่าอาจมีการติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศ
5.แนะนำให้สังเกตลักษณะตกขาวที่เปลี่ยนไป เช่น สีเหลืองเข้ม หรือสีปนเขียว ขุ่นข้นเป็นก้อน คล้ายนมบูด กลิ่นเหม็น และมีอาการคันหรือปวดแสบปวดร้อนบริเวณช่องคลอด ซึ่งแสดงว่ามีการติดเชื้อต้องไปพบแพทย์
ปวดหลัง
1.ประเมินอาการปวดหลังว่าเกิดจากสาเหตุใด เช่น ปวดจากมดลูกมีขนาดใหญ่โตขึ้นทำให้น้ำหนักถ่วงมาข้างหน้าทำให้กระดูกสันหลังถูกดึงรั้งหรือปวดกระดูกเนื่องจากขาดแคลเซียม
2.อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์ทราบถึงสาเหตุ และปัจจัยเสริมที่ทำให้อาการปวดหลังมากขึ้น
3.หลีกเลี่ยงการยืนเป็นเวลานาน
4.หลีกเลี่ยงการยกของหนัก การเอี้ยวตัวที่มากเกินไป
5.หลีกเลี่ยงการก้มและการบิดตัว
อ่อนเพลีย
1.ประเมินอาการอ่อนเพลียว่าเกิดจากสาเหตุใด เช่น อ่อนเพลียจากการขาดอาหาร การขาดการออกกำลังกาย หรือสภาวะทางจิตใจ
อธิบายมารดาในเรื่องความสำคัญของการพักผ่อนโดยเฉพาะในระยะท้าย ๆ ของการตั้งครรภ์
3.แนะนำให้รับประทานอาหารครบ 5 หมู่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ปวดบวมปลายเท้า
1.ประเมินอาการบวมปลายเท้าว่าเกิดจากสาเหตุใด เช่น น้ำคั่งในเนื้อเยื่อของร่างกายจากอิทธิพลของฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์การเพิ่มขึ้นของความดันในหลอดเลือดดำที่ขา
2.แนะนำให้มารดายกขาขึ้นบ่อย ๆ
3.แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ลดอาหารเค็ม
4.แนะนำให้พบแพทย์ถ้ามีอาการบวมมากและอาการบวมไม่ลดลงคำแนะนำ
มีเส้นเลือดขอดบริเวณขาทั้งสองข้าง
1.แนะนำการลุกจากท่านอนที่เหมาะสมในสตรีตั้งครรภ์ในไตรมาสที่สาม
2.แนะนำให้สตรีตั้งครรภ์หลีกเลี่ยงการอยู่ในท่าเดียวติดต่อกันเกิน 4 ชั่วโมง (ยกเว้นการนอนหลับ) ควรลุกขึ้น ปรับอิริยาบถบ่อยๆ
3.ตรวจสอบภาวะเสี่ยงของการเกิดเส้นเลือดขอดจากประวัติการตั้งครรภ์ครั้งก่อน
4.สตรีที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดขอด ให้คำแนะนำในการบริหารปลายเท้า และการปรับอิริยาบถ
5.แนะนำการดูแลตนเองในการป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอด
6.แนะนำการนอนตะแคง
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 5 เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดเนื่องจากมารดามีภาวะวิตกกังวล
1.ส่งเสริมให้สตรีตั้งครรภ์สามารถปรับตัวและยอมรับการตั้งครรภ์ได้พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจให้แก่สตรีตั้งครรภ์เกี่ยวกับการดูแลการตั้งครรภ์ครั้ง
2.อธิบายถึงคำจำกัดความของการคลอดก่อนกำหนด อายุครรภ์ที่สามารถคลอดได้โดยที่ไม่ถือว่าเป็นการคลอดก่อนกำหนด สาเหตุของการคลอดก่อนกำหนด ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด
3.แนะนำควรงดการมีเพศสัมพันธ์
4.หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดควรหาวิธีการที่ช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิการฟังเพลงเบาๆ การอ่านหนังสือ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 6 มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์เนื่องจากตั้งครรภ์ในช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19
1.ประเมินระดับความวิตกกังวลของสตรีตั้งครรภ์
2.ส่งเสริมให้สตรีตั้งครรภ์สามารถปรับตัวและยอมรับการตั้งครรภ์ได้พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจให้แก่สตรีตั้งครรภ์เกี่ยวกับการดูแลการตั้งครรภ์ครั้ง
3.แนะนำการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19
3.1สวมหน้ากากอนามัย ล้างมืออย่างถูกวิธี ไม่สัมผัสดวงตา จมูกและปาก
3.2 งดการออกไปในสถานที่แออัด และงดการพูดคุย หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่นในระยะใกล้กว่า 2 เมตร
3.3 สังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ที่เข้าข่ายโรคติดเชื้อ COVID - 19 ได้แก่ ไข้สูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ตาแดง มีผื่นตามร่างกาย หายใจไม่สะดวกหรือท้องเสีย ต้องรีบพบแพทย์
3.4 การนัดหมายตรวจครรภ์ สตรีตั้งครรภ์สามารถโทรติดต่อขอเลื่อนนัดตรวจครรภ์ออกไปตามความเหมาะสม
3.5 ควรมีการนัดเวลาล่วงหน้าเพื่อลดระยะเวลาอยู่โรงพยาบาลให้สั้นที่สุด หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ แนะนำให้มีผู้ติดตามไม่เกิน 1 คนและสวมหน้ากากตลอดเวลาที่ออกนอกบ้านพกเจลแอลกอฮอล์ติดตัวเพื่อล้างมือให้สะอาดเมื่อจำเป็น
3.6 สังเกตอาการผิดปกติของการตั้งครรภ์ เช่น บวม ลูกดิ้นน้อยลง มีเลือดออกทางช่องคลอด เจ็บครรภ์ น้ำเดิน
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 7 ขาดความรู้ในการปฏิบัติต่อเนื่องจากตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3
การส่งเสริมสุขภาพและการปฏิบัติตัวในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์
1.ประเมินความรู้ความเข้าใจของสตรีตั้งครรภ์ในการปฏิบัติตนในไตรมาส 3
2.แนะนำให้สตรีตั้งครรภ์ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ โดยทำความสะอาดจากข้างหน้าไปข้างหลังและซับให้แห้ง
3.แนะนำสตรีตั้งครรภ์ในการนับลูกดิ้น ทุกวันโดยการนับหลังรับประทานอาหาร เช้า กลางวัน เย็น เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ลูกต้องดิ้นอย่างน้อย 3 ครั้ง รวมกัน 3 มื้อ ต้องดิ้นไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง จึงถือว่า ปกติและหากมีอาการผิดปกติ เช่น ลูกไม่ดิ้นหรือลูกดิ้นน้อยลงให้รีบมาพบแพทย์
4.แนะนำสตรีตั้งครรภ์เกี่ยวกับอาการสำคัญที่ต้องมาโรงพยาบาลดังนี้
4.1.อาการเจ็บครรภ์แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ
4.1.1.อาการเจ็บครรภ์เตือนอาจเกิดได้ในช่วงใกล้ครบกำหนดหรือครบกำหนดโดยที่ไม่ใช่อาการที่จะคลอด มีอาการคือ มดลูกหดรัดตัวไม่รุนแรงและไม่สม่ำเสมอ มีระยะห่างมาก มีอาการเจ็บครรภ์ไม่สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก ไม่มีการเปิดของปากมดลูก ไม่มีมูกเลือด เจ็บครรภ์นานๆครั้ง 15 นาที/ครั้ง และไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของทารก
4.1.2.เจ็บครรภ์จริง คือ อาการที่แสดงถึงทารกใกล้คลอด มีอาการเจ็บครรภ์ทุกๆ 10-15 นาทีเป็นจังหวะและสม่ำเสมอ มี ความรุนแรงของการหดรัดตัวของมดลูก ปวดบริเวณหลังร้าวไปที่หน้าท้องส่วนบนแล้วร้าวลงขา อาการเจ็บครรภ์ไม่หายไป แม้ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย ไม่มีมูกเลือด หรืออาการเลือดออกทางช่องคลอด มีอาการเปิดของปากมดลูกและมีการเคลื่อนต่ำของทารก
4.2.มีน้ำเดิน ลักษณะเป็นน้ำใสๆไหลออกทางช่องคลอด ไม่สามารถกลั้นได้เหมือนปัสสาวะ
4.3.ลูกดิ้นน้อยลงหรือไม่ดิ้นอาการผิดปกติอื่นๆ เช่น อาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัวจุกแน่นลิ้นปี่ คลื่นไส้อาเจียน ไม่มีไข้ ปัสสาวะแสบขัดให้รีบมาพบแพทย์
5.แนะนำสตรีตั้งครรภ์ให้รับประทานวิตามินที่ได้รับ ได้แก่ Triferdine รับประทานวันละ 1 เม็ด 2 ครั้ง หลังอาหาร เช้า-เย็น สักเกตผลข้างเคียง: ผื่นแดง ปวดท้อง อาเจียน หายใจไม่สะดวก (ควรหยุดยา)และปรึกษาแพทย์ และ Calcium รับประทานวันละ 1 เม็ด 1 ครั้ง หลังอาหาร เที่ยงสังเกตผลข้างเคียง : สับสน หงุดหงิดง่าย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ท้องผูก อ่อนเพลียหรือ เหนื่อยง่ายผิดปกติ การรับประทานยาสองตัวนี้ ควรรับประทานห่างกัน 2 ชั่วโมง
6.แนะนำให้รับประทานอาหารให้ครบ5 หมู่และให้ได้พลังงานรวมประมาณ 2,000-2,300 กิโลแคลอรี่ต่อวัน
7.ป้องกันภาวะ Supine hypotension syndrome ขณะตรวจครรภ์
7.1.ในขณะตรวจครรภ์ให้สตรีตั้งครรภ์นอนตะแคงทางซ้าย
7.2.ปรับท่านอนตะแคงให้อยู่ริมที่นอนหรือเตียง
7.3.เหวี่ยงเท้าทั้งสองข้างลงจากเตียงพร้อมๆกัน และใช้มือด้านบนกดลงบนที่นอน
7.4.นั่งอยู่ริมเตียง (ที่นอน)สักครู่ (1-2 นาที) ก่อนลุกจากเตียง
7.5.ยืนนิ่งนานๆ ประมาณ 1 นาที ก่อนจะก้าวเดินไปทำกิจกรรมอย่างอื่น
การเตรียมและดูแลเต้านมเพื่อให้ลูกกินนมแม่
รักษาความสะอาดโดยการอาบน้ำตามปกติและซับเด้าให้แห้งเสมอ
ไม่จำเป็นต้องทาครีมหรือโลชั่นบริเวณหัวนมเพราะจะไปอุดตันต่อมน้ำนมบนลานนม
หลีกเลี่ยงการขัดถูแรงๆ ที่หัวนมหรือดึงเพื่อกำจัดไขมันบนหัวนมเพราะอาจนำไปสู่การเป็นแผลและการอักเสบติดเชื้อได้
ถ้าเต้านมสตรีตั้งครรภ์ใหญ่หรือมีการขยายใหญ่เพิ่มขึ้นควรสวมยกทรงที่มีขนาดพอดีเพื่อประคองเต้านมไว้ยกทรงที่เหมาะสำหรับแม่ในขณะตั้งครรภ์ไม่ควรหลวมหรือคับแน่นจนเกินไปและไม่ควรใช้ชั้นในแบบมีโครงลวดเหล็ก
เนื่องจากสตรีตั้งครรภ์มีปัญหาหัวนมสั้น แนะนำช่วยให้ลานนมนุ่มยืดหยุ่นได้ดีโดยการบีบน้ำนมออกเล็กน้อยใช้ Nipple puller ช่วยดึงหัวนมขึ้นก่อนให้ลูกดูดนมสอนท่าคลอดอุ้มบุตรให้นมในท่าฟุตบอล (Football hold) พูดคุยให้กำลังใจมารดาหลังคลอดสร้างความมั่นใจว่าถึงแม้จะมีหัวนมสั้น แต่ก็สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้
ถ้าสตรีตั้งครรภ์มีน้ำนมซึมก่อนคลอดออกมา หลังจากบีบออกใช้แผ่นซับน้ำนมซับให้แห้งใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กที่ทำความสะอาดบริเวณเต้า
การส่งเสริมพัฒนาการทารกในครรภ์
1.ด้านการมองเห็น แนะนำให้เอาไฟฉายส่องและให้ทำในที่มืด
2.ด้านการได้ยิน พูดคุยกับทารกในครรภ์หรือเล่านิทานให้ทารกในครรภ์ฟัง แนะนำเป็นช่วงหลังมื้ออาหารของมารดาเป็นช่วงที่เหมาะสมกับการได้ยิน
3.ด้านการรับรู้ความรู้สึก สัมผัสน้ำอุ่นน้ำเย็น ตบหน้าท้องเบาๆขณะทารกดิ้น ฉีดน้ำบริเวณหน้าท้อง
4.ด้านการเคลื่อนไหว ให้ใช้วิธีนั่งเก้าอี้หมุนซ้าย – ขวา
เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยในระยะตั้งครรภ์
1.สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้แต่ควรเลือกใช้ท่าร่วมเพศที่เหมาะสม เป็นท่าธรรมดาที่ไม่รุนแรงหรือโลดโผน ไม่สะเทือนมากจนเกินไป
2.หลีกเลี่ยงการใช้ท่วงท่าที่กดทับหน้าท้อง หรือท่าที่ทำให้เหนื่อยมากเกินไป เนื่องจากตอนนี้สตรีตั้งครรภ์หน้าท้องขยายใหญ่มากขึ้น อาจจะเลือกใช้ท่านอนตะแคงเข้าหากันหรือหันหน้าไปในทางเดียวกัน
การฉีดวัคซีน
1.แนะนำให้สตรีตั้งครรภ์ฉีดวัคซีน dT เข็มที่ 3 ในระยะ 6-12 เดือนหลังเข็มที่ 2 ซึ่งอาจจะให้ในระยะหลังคลอด เพื่อให้แน่ใจว่าระดับภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับสูงและอยู่นาน
2.แนะนำให้สตรีตั้งครรภ์ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จำนวน 1 ครั้งเมื่ออายุครรภ์ 27-36 สัปดาห์