Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แนวคิด หลักการการพยาบาลผู้ป่วย ภาวะฉุกเฉิน และสาธารณภัย - Coggle Diagram
แนวคิด หลักการการพยาบาลผู้ป่วย
ภาวะฉุกเฉิน และสาธารณภัย
แนวคิดการแพทย์แบบฉุกเฉิน
Anglo-American Model: AAM
Franco-German Model: FGM
ปรัชญา/จุดประสงค์หลัก
AAM: "Scoop and run"เวลาสำหรับการประคับประคองอาการในสถานที่เกิดเหตุสั้นและนำผู้ป่วยส่งยังสถานพยาบาลให้เร็วที่สุด
FGM: "Stay and Stabilize" ให้เวลานานในการดูแลอาการในสถานที่เกิดเหตุและนำการรักษาไปยังสถานที่เกิดเหตุ หรือแปลว่านำบริการโรงพยาบาลมาหาผู้ป่วย
บุคลากรผู้ให้บริการ/การดูแล
AAM: ทีมเวชกิจฉุกเฉินให้การดูแลโดยมีแพทย์กำกับ
FGM: แพทย์ให้การดูแลโดยมีทีมเวชกิจฉุกเฉินช่วย อาจนำเทคโนโลยีรวมไปให้การดูแลในขั้นสูง
ปลายทาง
AAM: ลำเลียงผู้ป่วยส่งตรงห้องฉุกเฉิน
FGM: ลำเลียงผู้ป่วยส่งหน่วยเฉพาะทาง
แนวคิดการเชื่อมต่อองค์กร
AAM: ระบบการแพทย์ฉุกเฉินเป็นส่วนหนึ่ง
ขององค์การความปลอดภัยสาธารณะ
FGM: ระบบการแพทย์ฉุกเฉิน
เป็นส่วนหนึ่งขององค์การสาธารณะ
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
AAM: รถ Ambulance เป็นหลัก หรือใช้ Aero-medical
FGM: Ambulance/Helicopter/Coastal ambulance
องค์กรที่เกี่ยวข้อง
AAM: องค์กรที่บริการถึงความปลอดภัย เช่น ตำรวจ สถานีดับเพลิง
FGM: ภายใต้บริการจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพ
ค่าใช้จ่าย
AAM: สูงกว่า FGM
FGM: ต่ำกว่า AAM
จำนวนผู้ป่วย
AAM: Pt.ส่วนใหญ่ได้รับการนำส่โรงพยาบาล
เพียงจำนวนน้อยที่รักษา ณ จุดเกิดเหตุ
FGM: Pt.ส่วนใฟญ่ได้รับการรักษา ณ จุดเกิดเหตุ
เพียงจำนวนน้อยส่งโรงพยาบาล
ตัวอย่างประเทศ
AAM: อเมริกา/แคนาดา/นิวซีแลนด์/ออสเตรเลีย
FGM: เยอรมันี/ฝรั่งเศส/กรีซ/มอลต้า/ออสเตรีย
ความหมาย
การเจ็บป่วยฉุกเฉิน = การเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกะทันหัน
ต้องดูแลช่วยเหลือทันที
การเจ็บป่วยวิกฤต
Critical= ใช้กับผู้ป่วยอาการเพียบหนัก มีอาการรุนแรง
ขั้นฉุกเฉิน อาการที่ปรากฏในครั้งแรก
Crisis= ใช้กับผู้ป่วยสถานการณ์คับขัน เป็นวิกฤตของการเกิดโรค ทำให้มีอาการดีขึ้น ในสภาวะนี้มีความเป็นความตายเท่ากัน
อุบัติเหตุ = อุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดหมายมาก่อน
ทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือตาย
ผู้ป่วยภาวะฉุกเฉิน
= ผู้ที่อาการหนักรุนแรงต้องการการดูแลจากเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญเฉพาะทาง โดยใช้หนักและกระบวนการพยาบาลที่สมบูรณ์
ลักษณะทางคลินิก
ไม่รู้สึกตัว ชัก เป็นอัมพาต
หยุดหายใจ หายใจลำบาก หายใจช้ากว่า 10 ครั้ง/นาที
หรือเร็วกว่า 30 ครั้ง/นาที
คลำชีพจรไม่ได้ ช้ากว่า 40 ครั้ง/นาที เร็วกว่า 30 ครั้ง/นาที
BP= systolic ต่ำว่า 80 mmHg Diactolic สูงกว่า 130 mmHg
ตกเลือด เลือดออกมาก /ซีด
เจ็บปวดทุรนทุราย
ปลายมือปลายเท้าเย็น เหงื่อออกมาก
อุณหภูมิต่ำกว่า 30 ํC / สูงกว่า 40 ํC
ถูกพิษจากสัตว์ เช่น งู หรือสารพิษชนิดต่างๆ
ประเภทผู้ป่วย
ผู้ป่วยวิกฤต
Pt.ที่มีอัตราตายสูง = Pt.Septic shock
Pt.ที่มีแนวโน้มที่จะมีอาการรุนแรง = Pt. myocardialin farction
ต้องเฝ้าระวังอยากใกล้ชิด
Pt.ที่สามารถรักษาได้ = Pt.หมดสติ/Pt.ที่มีระบบหายใจล้มเหลว
Pt.ที่อัตราตายสูง แม้จะได้รับการรักษา= Pt.มะเร็งระยะสุดท้าย
ผู้บาดเจ็บจากสาธารณภัย
กลุ่มอาการหนัก = ต้องหามนอนหรือนั่งมีอาการคลุมเครือ
ต้องได้รับการตรวจอย่างละเอียด
กลุมอาการหนักมากหรือสาหัส = ต้องรักษาโดยด่วนหรือช่วยชีวิตทันที
กลุ่มอาการไม่รุนแรง= หากPt.เดินได้ถือว่าอาการไม่หนัก
หลักการพยาบาลตามบทบาทวิชาชีพ
ของสภาการพยาบาล พ.ศ. 2552
ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่กำลังคุกคามชีวิตผู้ป่วย
ค้นหาสาเหตุหรือปัญหาที่ทำให้เกิดภาวะฉุกเฉิน
หรืออุบัติเหตุ แล้วดำเนินการแก้ไข
ดูแลรักษาสภาวะของผู้ป่วยให้อยู่ระดับปลอดภัย
และคงที่โดยการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
รักษาหน้าที่ต่างๆ ของอวัยวะสำคัญของร่างกายให้คงไว้
ป้องกันภาวะแทรกซ้อนและติดเชื้อ
ประคับประคองจิตใจและอารมณ์ของผู้ป่วยวิกฤต
การพยาบาลสาธารณภัย
ความหมาย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือโดยมนุษย์อย่างทันทีและทำให้ระบบการดูแลที่มีอยู่ชะงักลงหรือเพิ่มความต้องการในการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กร
การจัดระดับความรุนแรง
ความรุนแรงระดับที่ 2 = สาธารณภัยขนาดกลาง อำเภอไม่สามารถจัดการได้ ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากสาธารณสุขจังหวัด
ความรุนแรงระดับที่ 3 = สาธารณภัยขนาดใหญ่ มีผลกระทบรุนแรงกว้างขวาง ต้องอาศัยการสนับานุนจากหน่วยงานหลายส่วนราชการภายในเขตจังหวัด/จัดหวัดใกล้เคียง
ความรุนแรงระดับที่ 1 = สาธารณภัยเกิดขึ้นทั่วไปหรือมีขนาดเล็ก ซึ่งสำหนักงานสาธารณสุขในระดับอำเภอสามารถจัดการได้ลำพัง
ความรุนแรงระดับ 4 = สาธารณภัยขนาดใหญ่ ท่มีผลกระทบรุนแรงยิ่ง นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มอบหมายให้ทีมแพทย์ควบคุมสถานการณ์
หลักการพยาบาลสาธารณภัย
หมวดที่ 1 ระยะป้องกันหรือ
ลดผลกระทบ/บรรเทาทุกข์
การลดความเสี่ยง การป้องกันโรคและสร้างเสริมสุขภาพ
หมวดที่ 2 ระยะเตรียมความพร้อม
การปฏิบัติตามหลักจริยธรรม กฏหมายและความรับผิดชอบ
การสื่อสารและการแบ่งปันข้อมูล
การให้การศึกษาและการเตรียมความพร้อม
หมวดที่ 3 ระยะรับมือ/
ตอบสนองภาวะภัยพิบัติ
การดูแลชุมชน
การดูแลบุคคลและครอบครัว เช่น การประเมินสถานการณ์ /
การปฏิบัติตามแผนดำเนินการ
การดูแลทางด้านจิตใจ
การดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง
หมวดที่ 4 ระยะพักฟื้น/ฟื้นคืนสภาพ
การฟื้นฟูสภาพของบุคคล ครอบครัว และชุมชน
หลักการบริหารจัดการในที่เกิดเหตุและรักษาผู้บาดเจ็บ
Disaster paradigm
D-Detection = การประเมินสถานการณ์ว่าเกินกำลังหรือไม่
I-Incident command= ระบบการบัญชาเหตุการณ์
และผู้ดูภาพรวมของการปฏิบัติการทั้งหมด
S-Safety and Security= การประเมินความปลอดภัย
ของผู้ปฏิบัติงานในที่เกิดเหตุ
A-Assess Hazards= การประเมินสถานที่เกิดเหตุ
เพื่อระวังภัยที่อาจตกค้างในเกิดเหตุ
S-Support= การเตรียมอุปกรณ์และ
ทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้ในที่เกิดเหตุ
T-Triage/Treatment= การคัดกรองและให้
การรักษาที่รีบด่วนตามความจำเป็นของผู้ป่วย
E-Evacuation= การอพยพผู้บาดเจ็บระหว่างเหตุการณ์
R-Recovery= การฟื้นฟูสภาพหลังจากเกิดเหตุการณ์
บทบาทพยาบาลทางด่วน Fast track
การประเมินเบื้องต้นโดยใช้ความรู้ ความสามารถเฉพาะโรค
การรายงานแพทย์ผู้รักษาเพื่อตัดสินใจสั่งการรักษา
การประสานงานผู้เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกองค์กร
การจัดการและดูแลขณะส่งต่อ
การให้การดูแลตามแผนการรักษาภายใต้ระยะเวลาที่จำกัด
การติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง
การให้ความช่วยเหลือเมื่อมีความผิดปกติและติดตามการประเมินผลลัพธ์
การดำเนินงานเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ผลการดำเนินในภาพรวม
การจัดระบบให้มีการทบทวนและพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
หลักการดูแลผู้บาดเจ็บ
(Trauma life support)
Primary Survey
A-Airway maintenance with cercal spine protection
B-Breathing and ventilation
C-Circulation with hemorrhagic control
D-Disability (Neurogic status)
E-Exposure/enviromental control
Resuscitation
การช่วยเหลือให้ Pt.พ้นภาวะวิกฤต ได้แก่ การช่วยหายใจ
การใส่ท่อช่วยหายใจ การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
Secondary survey
การตรวจร่างกายอย่างละเอียดหลังจาก Pt.พ้นวิกฤตแล้ว
Definitive care
การรักษาหลังจาก Pt.ได้รับการวินิจฉัยเบื้องต้นแล้ว เช่น
การผ่าตัด Craniotomy การผ่าตัดหน้าท้อง Exploratory Laparotomy การนอนรักษาตัวในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก เป็นต้น