Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์ - Coggle Diagram
ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์
ตัวอย่างการนำความรู้ฟิสิกส์มาใช้ในชีวิตประจำวัน
ทำอย่างไรหนังสติ๊กจึงเกิดประสิทธิภาพสูงสุด !?
พลังของหนังสติ๊กหมายถึง พลังงานศักย์ยืดหยุ่นที่ถูกสะสมขณะดึงยาง หากพลังงานศักย์ที่สะสมไว้ยิ่งมาก พลังงานจลน์ที่เกิดขึ้นเมื่อปล่อยลูกหินจะยิ่งมากตามไปด้วย
1.จากงานเท่ากับแรงคูณด้วยระยะทาง (W = FS ) คือแรงโดยเฉลี่ยที่ใช้ดึงยาง ถ้ายางที่ใช้ดึงให้ยืดยาวได้ยาก จะทำให้ระยะทาง S ค่อนข้างสั้นเนื่องจากไม่มีแรงที่จะดึงยืดออกได้อีก แม้ว่ายังมีระยะทางที่จะดึงออกได้อีก เมื่อเป็นเช่นนี้แม้ว่า F จะมากที่สุดแล้ว แต่ระยะทาง S กลับไม่ใช่ระยะที่มากที่สุด จึงอยู่ในสภาพที่ “มีระยะทางเหลือแต่แรงไม่พอ”
2.ในทางกลับกัน ถ้าหากใช้ยางที่ดึงให้ยืดยาวออกได้ง่าย เมื่อดึงหนังยางออกจนสุดแล้ว ยังมีแรงที่จะดึงหนังยางได้อีก แต่ไม่สามารถออกแรงดึงออกไปได้อีก เมื่อเป็นเช่นนี้แม้ว่าระยะทาง S จะยาวที่สุดแล้วแต่แรง F กลับไม่ใช่แรงที่มากที่สุด จึงกลายเป็นสภาพที่ “มีแรงเหลือแต่ระยะทางไม่พอ”
จะเห็นได้ว่าความสั้น-ยาว และขนาดใหญ่เล็ก ของหนังยางต้องสอดคล้องกัน จึงจะทำให้หนังสติ๊กมีพลังสูงสุด นั่นคือเมื่อดึงหนังยางให้ยืดออกไปมากที่สุดแล้วขณะเดียวกันก็ออกแรงมากที่สุดเช่นกัน ซึ่งทำให้มีค่า S และค่า F สูงสุดสำหรับผู้ยิงหนังสติ๊กนั่นเอง เนื่องจากค่า F และ S ของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน ดังนั้นควรจะเลือกใช้ยางที่เหมาะสมกับตัวผู้ใช้นั่นเอง
เลขที่ 25 ม.4/9
เตาไมโครเวฟทำให้อาหาร
ร้อนขึ้นได้อย่างไร?
เตาอบไมโครเวฟ ทำหน้าที่ให้ความร้อนกับอาหารโดยการแผ่คลื่นย่านความถี่ไมโครเวฟอาศัยพลังงานจากคลื่นไมโครเวฟเปลี่ยนเป็นพลังงานภายในของอาหาร
ก่อนการหุงต้ม : โมเลกุลเรียงตัวไม่มีแบบแผน
โดยปกติลักษณะการเรียงตัวของโมเลกุลของอาหาร (รูปวงรีสีขาว- ดำ ครึ่งซีก) จะไม่มีแบบแผน อย่างไรก็ตามโมเลกุลเหล่านี้จะมีประจุไฟฟ้าบวกและลบอยู่ภายในตัว ประจุเหล่านี้จะมีปฏิกิริยาตอบสนองกับสภาวะแม่เหล็กไฟฟ้าของคลื่นไมโครเวฟ มีผลทำให้โมเลกุลหมุนตัวไปมาเสียดสีกันเกิดเป็นความร้อนขึ้นได้
การเรียงโมเลกุลให้เป็นระเบียบ
เมื่อเตาอบไมโครเวฟทำงาน ประจุไฟฟ้าบวกและลบในตัวโมเลกุลของอาหารจะสนองตอบกับสภาวะแม่เหล็กไฟฟ้าของคลื่นไมโครเวฟในลักษณะเดียวกับที่ผงตะไบเหล็กจัดเรียงตัวตามสนามแม่เหล็กของแท่งแม่เหล็ก โมเลกุลของอาหารจะจัดระเบียบเรียงตัวกันในลักษณะที่ประจุไฟฟ้าภายในตัวโมเลกุลนั้น ๆ เรียงตัวขนานกันกับเส้นแนวแรงในสนามแม่เหล็ก (เส้นที่มีลักษณะเป็นคลื่น)
การหมุนโมเลกุลไปรอบ ๆ
ในขณะที่สนามแม่เหล็กของคลื่นไมโครเวฟเปลี่ยนทิศทาง (เส้นเต็มและเส้นประที่มีลักษณะเป็นคลื่น) โมเลกุลของอาหารก็จะเกิดการหมุนเคลื่อนที่ตามไปด้วย ทั้งนี้เพื่อพยายามเรียงตัวมันให้อยู่ในแนวขนานกับสนามแม่เหล็กให้ได้เสมอ และเนื่องจากคลื่นไมโครเวฟมีการเปลี่ยนทิศทางในอัตราสูงถึง 4.9 พันล้านครั้งต่อวินาที จึงมีผลให้โมเลกุลของอาหารซึ่งจะสั่นสะเทือนด้วยอัตราความถี่เท่ากันนี้เสียดสีกันเกิดความร้อน
เลขที่29 ม.4/9
ในโมเลกุลของน้ำ (H2O) ไฮโดรเจน (H2) มี (O) มีประจุไฟฟ้าลบ เมื่อไมโครเวฟผ่านเข้าไปในอาหาร สนามไฟฟ้าของคลื่นไมโครเวฟจะเกิดแรงกระทำต่อโมเลกุลของน้ำ ทำให้ประจุบวกและลบของน้ำเกิดการสั่นไปมาอย่างรุนแรง การสั่นสะเทือนนี้ทำให้เกิดความร้อน จึงทำให้อาหารร้อนขึ้น
การทำงานของเตาไมโครเวฟนั้น ทำหน้าที่เป็นเตาที่สร้างคลื่นไมโครเวฟจากพลังงานไฟฟ้ามาทำให้อาหารร้อน ไมโครเวฟที่ใช้กันทั่วไปเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ราว 2.45 GHz (2.45 x 109 เฮิรตซ์) หรือความยาวคลื่นราว 12.2 เซนติเมตร มีการสลับขั้วไปมาถึง 2.45 พันล้านครั้งในหนึ่งวินาที
ความรู้ทางฟิสิกส์ได้มาอย่างไร?
1.ได้มาจากการสังเกตปรากฎการณ์ธรรมชาติ,การทดสอบในห้องปฏิบัติการและรวบรวมข้อมูล มาวิเคราะห์แปลความหมายแล้วสรุปผล
ข้อสรุปที่ได้นี้อาจนำไปสู่ทฤษฎี ถ้าทฤษฎีนี้สามารถอธิบายปรากฎการณ์ ที่เกี่ยวข้องได้ทุกครั้ง ทฤษฎีดังกล่าวก็จะพัฒนาไปเป็น 'กฎ'
2.วิชาทางฟิสิกส์ได้มาจากจินตนาการโดยการสร้าง'แบบจำลอง' (model) ทางความคิดโดยใช้หลักการณ์ของฟิสิกส์ ซึ่งนำไปสู่การสร้างทฤษฎีเพื่ออธิบายปรากฎการณ์ในธรรมชาติ และมีการทดลองเพื่อตรวจสอบ ทฤษฎีนั้นๆ
ข้อที่ 4
น.ส.กรกฎ ดวงใหญ่ เลขที่ 24
ฟิสิกส์คืออะไร
ฟิสิกส์(physic)เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษาธรรมชาติของสิ่งไม่มีชีวิต ซึ่งได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ และปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา การค้นคว้าหาความรู้ทางฟิสิกส์ทำได้โดยการสังเกต การทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อสรุปเป็นทฤษฎีหลัการหรืกฎความรู้เหล่านี้สามารถนำไปอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆได้
ประเภทของฟิสิกส์
1.การวัด 2.กลศาสตร์
-มวล แรงและการเคลื่อนที่ . - งานและพลังงาน
โมเมนตัม
-สมบัติของสสารสาร ของแข็ง ของเหลว แก๊ส
3.คลื่น
-สมบัติของคลื่น
-แสง
-เสียง
4แม่เหล็กไฟฟ้า
-ไฟฟ้าสถิต
-ไฟฟ้ากระแส
-แม่เหล็กไฟฟ้า
-คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
5.นิวเคลียร์ฟิสิกส์
-อะตอม อิเล็กตรอน
-นิวเคลียร์ กัมตภาพรังสี
นางสาว จันทร์เจ้า เทพจิตต์ ม.4/9 เลขที่21
ฟิสิกส์(PHYSICS) มาจากภาษากรีกความหมายว่า“ธรรมชาติ” ▪ฟิสิกส์เป็นส่วนหน่ึงของวิทยาศาสตร์(science)เป็นวิทยาศาสตร์กายภาพ
ซึ่งว่า ด้วยสิ่งไม่มีชีวิตในธรรมชาติโดยเน้นถึงกิจกรรม
การค้นคว้าหาความจริงจากธรรมชาติ
▪วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพแขนงหน่ึงซึ่งเน้นศึกษา
เก่ียวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติเช่นศึกษาเกี่ยวกับ
คลื่น แสง เสียง ไฟฟา้ แม่เหล็ก การเคลื่อนที่ มวลแรง พลังงาน โมเมนตัม เป็นต้น
ฟิสิกส์ศึกษาเกี่ยวกับอะไร มีขอบเขตอย่างไร
ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ และ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสสารกับพลังงาน รวมทั้งเป็นความรู้พื้นฐานที่นำไปใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับการผลิต และเครื่องใช้ต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่มนุษย์
วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาที่มีขอบเขตกว้างขวางและได้รับการพัฒนามาแล้วอย่างมาก งานวิจัยทางฟิสิกส์มักจะถูกแบ่งเป็นสาขาย่อย ๆ หลายสาขา เช่น ฟิสิกส์ของสสารควบแน่น ฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์อะตอม-โมเลกุล-และทัศนศาสตร์ ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์พลศาสตร์ที่ไม่เป็นเชิงเส้น-และเคออส และ ฟิสิกส์ของไหล นอกจากนี้ยังอาจแบ่งการทำงานของนักฟิสิกส์ออกได้อีกสองทาง คือ นักฟิสิกส์ที่ทำงานด้านทฤษฎี และนักฟิสิกส์ที่ทำงานทางด้านการทดลอง โดยที่งานของนักฟิสิกส์ทฤษฎีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทฤษฎีใหม่ แก้ไขทฤษฎีเดิม หรืออธิบายการทดลองใหม่ ๆ ในขณะที่ งานการทดลองนั้นเกี่ยวข้องกับการทดสอบทฤษฎีที่นักฟิสิกส์ทฤษฎีสร้างขึ้น การตรวจทดสอบการทดลองที่เคยมีผู้ทดลองไว้ หรือแม้แต่ การพัฒนาการทดลองเพื่อหาสภาพทางกายภาพใหม่ ๆ ขอบเขตของวิชาฟิสิกส์ภาคปฏิบัติ ขึ้นอยู่กับขีดจำกัดของการสังเกต และประสิทธิภาพของเครื่องมือวัด
ข้อ 3 นางสาวสิรยากร จันทฤทธิ์ ม.4/9 เลขที่ 31
ฟิสิกส์สำคัญอย่างไร
ฟิสิกส์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่องราวต่างๆในธรรมชาติ และเป็นหนึ่งในวิชาพื้นฐานที่สุดของวิทยาศาสตร์
ฟิสิกส์เป็นความรู้พื้นฐานที่นำไปใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับการผลิต และเครื่องใช้ต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่มนุษย์ ตัวอย่างเช่น การนำความรู้พื้นฐานทางด้านแม่เหล็กไฟฟ้า ไปใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
ในบางครั้ง ฟิสิกส์ ถูกกล่าวว่าเป็น แก่นแท้ของวิทยาศาสตร์ (fundamental science) เนื่องจากสาขาอื่น ๆ ของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เช่น ชีววิทยา หรือ เคมี ต่างก็มองได้ว่าเป็น ระบบของวัตถุต่าง ๆ หลายชนิดที่เชื่อมโยงกัน โดยที่เราสามารถอธิบายและทำนายพฤติกรรมของระบบ ดังกล่าวได้ด้วยกฎต่าง ๆ ทางฟิสิกส์
ข้อที่ 2 นางสาว อัสรียา ยามาเจริญ เลขที่ 33