Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5 แนวคิด หลักการการพยาบาลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉิน และสาธารณภัย - Coggle…
บทที่ 5
แนวคิด หลักการการพยาบาลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉิน และสาธารณภัย
แนวคิด หลักการพยาบาลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉิน
แนวคิด
(1) Anglo-American Model (AAM)
(2) Franco-German Model (FGM)
ความหมาย
การเจ็บป่วยฉุกเฉิน
การเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จำเป็นต้องดำเนินการช่วยเหลือ และการดูแลรักษาทันที อาจเกิดจากภาวะต่างๆ เช่น การเกิดโรคในระบบต่างๆ ของร่างกาย การบาดเจ็บ การเกิดโรคติดต่อ และโรคติดเชื้อ
การเจ็บป่วยวิกฤต
วิกฤต มาจากคำที่ใช้ในภาษาอังกฤษ คือ “Crisis” และ “Critical” ทั้งสอง
คำนี้ มีความหมายที่ใกล้เคียงกันมาก จึงนำมาใช้สับเปลี่ยนกันอยู่เสมอ แต่การนำคำทั้งสองคำนี้มาใช้ในการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤต จะทำให้มองเห็นความแตกต่างกันได้
“Critical” จะนำมาใช้ในผู้ป่วยอาการเพียบหนัก มีอาการรุนแรง หรือขั้นฉุกเฉิน มีอันตราย
“Crisis” นำมาใช้กับผู้ป่วยที่อยู่ในสภาวะที่มีสถานการณ์คับขัน เป็นจุดวิกฤตของการเป็นโรค
การเจ็บป่วยวิกฤต
หมายความถึง การเจ็บป่วยที่มีความรุนแรงถึงขั้นที่อาจทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิตหรือพิการได้
อุบัติเหตุ (Accident)
อุบัติการณ์ซึ่งเกิดขึ้น โดยไม่คาดหมายมาก่อน ทำให้เกิดการบาดเจ็บตายและการสูญเสียทรัพย์สินโดยที่เราไม่ต้องการ ถ้าอุบัติเหตุมีขนาดใหญ่ เรียกว่า Disaster
สถานที่เกิดเหตุ แบ่งตามคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติเพื่อประโยชน์ในการป้องกันรักษา
ดังนี้ อุบัติภัยจากการจราจร (Traffic Accident) อุบัติภัยจากการทำงาน (Occupational Accident) อุบัติภัยภายในบ้าน (Home or Domestic Accident) และ อุบัติภัยในสาธารณสถาน (Public Accident)
ผู้ป่วยภาวะฉุกเฉิน
ผู้ที่ทีอาการหนักรุนแรงต้องการการดูแลจากเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญ
เฉพาะทาง โดยใช้หลักและกระบวนการพยาบาลที่สมบูรณ์ เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะคุกคามชีวิต
ไม่รู้สึกตัว ชัก เป็นอัมพาต
หยุดหายใจ หายใจช้ากว่า 10 ครั้งต่อนาที หรือเร็วกว่า 30 ครั้งต่อนาที หายใจลำบากหรือหอบเหนื่อย
คลำชีพจรไม่ได้ หรือชีพจรช้ากว่า 40 หรือเร็วกว่า 30 ครั้ง/นาที
ความดันโลหิต Systolic ต่ำกว่า 80 มม.ปรอท หรือ Diastolic สูงกว่า 130 มม.ปรอท
ตกเลือดเลือดออกมากซีดมาก
เจ็บปวดทุรนทุรายกระสับกระส่าย
มือเท้าซีดเย็น เหงื่อออกมาก
อุณหภูมิของร่างกายต่ำกว่า 35 เซลเซียส หรือสูงกว่า 40 เซลเซียส
ถูกพิษจากสัตวT เช่น งู หรือสารพิษชนิดต่างๆ
ผู้ป่วยวิกฤตมีลักษณะดังนี้
ผู้ป่วยที่สามารถรักษาได7 เช่น ผู้ป่วยที่หมดสติ ผู้ป่วยที่มีระบบการหายใจล้มเหลวเป็นต้น หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะเสียชีวิตในอัตราสูง
ผู้ป่วยที่มีอัตราตายสูง เช่น ผู้ป่วยSeptic Shock หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะเสียชีวิตในอัตราสูง
ผู้ป่วยที่มีแนวโน้มที่จะมีอาการรุนแรง เช่น ผู้ป่วย myocardialin farction ต้องการการเฝ้าระวังอย่างใกล7ชิด
ผู้ป่วยที่อัตราตายสูง แม้จะได้รับการรักษา เช่น ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย
ผู้บาดเจ็บจากสาธารณภัย แบ่งตามความรุนแรง
กลุ่มอาการไม่รุนแรง หากผู้ป่วยเดินได้อาจถือว่าอาการไม่หนัก
กลุ่มอาการหนักมาก หรือสาหัสต้องการการรักษาโดยด่วนหรือช่วยชีวิตทันที กลุ่มผู้ป่วยเสียชีวิต เป็นกลุ่มที่หมดหวังในการรักษา
กลุ่มอาการหนัก ต้องหามนอนหรือนั่งมาอาการแสดงยังคลุมเครือต้องใช้การตรวจอย่างละเอียด
หลักการพยาบาลผู7ปgวยภาวะฉุกเฉิน
หลักในการพยาบาล
มีหลักในการอุ้มยกเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากยานพาหนะไปยังห้องพยาบาล อย่างนุ่มนวลรวดเร็วปลอดภัย
มีการซักประวัติการเจ็บป่วยและอาการสำคัญอย่างละเอียด ในเวลาที่รวดเร็ว กรณีผู้ป่วยอุบัติเหตุ
ต้องซักประวัติการช่วยเหลือเบื้องต้น วิธีการ ระยะเวลาในการนำส่งเพิ่มเติม
ทำการคัดกรองผู้ป่วยอย่างรวดเร็วแม่นยำ
ให้การรักษาพยาบาลภายใต้นโยบายของโรงพยาบาล และภายในเขตการรับรองของกฎหมาย โดย
คงไว้ซึ่งหน้าที่ของอวัยวะสำคัญชีวิตและสภาพร่างกายของผู้ป่วย
ให้การช่วยฟื้นคืนชีพอย่างถูกต้อง
ให้การดูแลจิตใจของผู้ป่วยและญาติ
มีการนัดหมายผู้ป่วยที่ไม่ได้นอนโรงพยาบาลเพื่อให้การรักษาต่อเนื่อง
มีการส่งต่อเพื่อการรักษาทั้งในหอผู้ป่วยในแผนกผู้ป่วยหนัก และภายนอกโรงพยาบาล เพื่อรับการรักษาในสถานพยาบาลอื่น
หลักการพยาบาลตามบทบาทพยาบาลวิชาชีพงานบริการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉินของสภาการพยาบาลพ.ศ.2552
ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่กำลังคุกคามชีวิตผู้ป่วย
ค้นหาสาเหตุและ/หรือปัญหาที่ทำให้เกิดภาวะฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุ แล้วดำเนินการแก้ไข
ดูแลและรักษาสภาวะของผู้ป่วยให้อยู่ระดับปลอดภัย และคงที่โดยการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
รักษาหน้าที่ต่างๆ ของอวัยวะสำคัญของร่างกายให้คงไว
ป้องกันภาวะแทรกซ้อนและติดเชื้อ
ประคับประคองจิตใจและอารมณ์ของผู้ป่วยและญาติ
การพยาบาลสาธารณภัย
ภัยพิบัติ/สาธารณภัย (Disaster)
"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หรือโดยมนุษย์อย่างทันทีและทำให้ระบบการดูแลรักษาที่มีอยู่เดิมชะงักลงหรือเพิ่มความต้องการในการปฏิบัติงานขององค์กร เหตุการณ์เช่นเดียวกันแต่เกิดในที่ห่างไกล หรือชนบทซึ่งอาจถือว่าเกินกำลังของโรงพยาบาลแห่งนั้นและต้องการความช่วยเหลือจากนอกโรงพยาบาลก็ถือว่าเป็นภัยพิบัติ"
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสาธารณภัย / ภัยพิบัติ (Disaster)
ภัย (Hazard)
หมายถึง เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ใดๆที่สามารถที่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตความเสียหายต่อทรัพย์สินความเป็นอยู่ และสิ่งแวดล้อม
สาธารณภัย / ภัยพิบัติ (Disaster)
ภัยที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติหรือจากการกระทำของมนุษย์แล้วก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต เกิดความสูญเสียหรือความเสียหายต่อทรัพย์สิน
สาธารณภัย ได้แก่ อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัยภัย ภัยแล้ง
ภัยสาธารณะ ประกอบด้วย
2.1 ภัยที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น คลื่นยักษ์ ดินถล่ม โรคระบาดในมนุษย์ โรคระบาดสัตว์ โรค
ระบาดสัตว์น้ำ การระบาดของศัตรูพืช เป็นต้น
2.2 ภัยที่เกิดจากคนทำ ได7แก; สาเคมีรั่วไหล รถชน ตึกถล;ม
ภัยทางอากาศ ได้แก่ ปล้นเครื่องบิน
การก่อวินาศภัย ได้แก่ ก่อการร้าย กราดยิง วางระเบิด
ประเภทของภัยพิบัต
ภัยที่เกิดจากธรรมชาติ (Natural Disaster) ได้แก่ เกิดแบบฉับพลัน และเกิดแบบค่อยเป็น ค่อยไป
ภัยที่เกิดจากมนุษย์(Man-made Disaster) ได้แก่ เกิดอย่างจงใจและเกิดอย่างไม่จงใจ
การจัดระดับความรุนแรงของสาธารณภัยทางสาธารณสุข
ความรุนแรงระดับที่ 1
สาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วไปหรือมีขนาดเล็ก ซึ่งสำนักงานสาธารณสุขในระดับอำเภอสามารถจัดการได้ตามลำพัง
ความรุนแรงระดับที่ 2
สาธารณภัยขนาดกลาง หน่วยงานสาธารณสุขระดับอำเภอไม่สามารถจัดการได้ ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในการจัดการเข้าระงับภัย
ความรุนแรงระดับที่ 3
สาธารณภัยขนาดใหญ่ ที่มีผลกระทบรุนแรงกว้างขวาง หรือสาธารณภัยที่จำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญหรืออุปกรณ์พิเศษ
ความรุนแรงระดับที่ 4
สาธารณภัยขนาดใหญ่ ที่มีผลกระทบรุนแรงยิ่ง นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี ที่นายก ฯ มอบหมายให้เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์
อุบัติภัย
ภัย (Hazard)
หมายถึง เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ใดๆที่สามารถที่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตความเสียหายต่อทรัพย์สินความเป็นอยู่ และสิ่งแวดล้อม
อุบัติเหตุกลุ่มชน/อุบัติภัยหมู่ (MASS CASSUALTIES)
อุบัติเหตุที่เกิดกับคนจำนวนมาก ได้รับการเจ็บป่วยจำนวนมาก เกินขีดความสามารถปกติที่โรงพยาบาลจะให้การรักษาพยาบาลได้
เกิดการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วยของประชาชนจำนวนมาก
มีการทำลายของทรัพย์สินหรือสิ่งแวดล้อม
ทรัพยากรที่มีอยู่ในภาวะปกติไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้ควบคู่สถานการณ
ระบบและกลไกปกติของสังคมถูกทำลายหรือไม่เพียงพอที่จะควบคุมสถานการณ์ได้
ประเภทของอุบัติภัยหมู่แบ่งตามขีดความสามารถของสถานพยาบาล
Multiple casualties
ทั้งจำนวนและความรุนแรงของผู้ป่วยไม่เกินขีดความสามารถของโรงพยาบาล ผู้ป่วยที่มีภาวะคุกคามต่อชีวิต (life Threatening) จะได้รับการรักษาก่อน
Mass casualties
ทั้งจำนวนและความรุนแรงของผู้ป่วยเกินขีดความสามารถของโรงพยาบาลและทีมผู้รักษาผู้ป่วยที่มีโอกาสรอดชีวิตมากที่สุด โดยใช้เวลาและทรัพยากรน้อยที่สุดจะได้รับการรักษาก่อน
หลักการพยาบาลสาธารณภัย
การบรรเทาภัย (Mitigation)
กิจกรรมต่าง ๆ ที่ดำเนินการเพื่อลดหรือกำจัดโอกาสในการเกิดหรือลดผลกระทบของการเกิดภัยพิบัต
การเตรียมความพร7อม (Preparedness)
การรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน เป็นระยะต่อเนื่องจากการบรรเทาภัย โดยการเตรียมคนให้พร้อม มีแผนที่ตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน มีการฝึกอบรมความรู้และทักษะ
การตอบโต้เหตุการณ์ฉุกเฉิน (Response)
โดยยึดตามหลักCSCATT
C – Command
S – Safety A, B, C (Personal, Scene, Survivors)
C – Communication
A – Assessment
M : Major incident : เป็นเหตุการณ์สาธารณภัยหรือไม่
E : Exact location : สถานที่เกิดเหตุที่ชัดเจน
T : Type of accident : ประเภทของสาธารณภัย
H : Hazard : มีอันตราย หรือเกิดอันตรายอะไรบ้าง
A : Access : ข้อมูลการเดินทางเข้า-ออกจากที่เกิดเหต
N : Number of casualties: จำนวนและความรุนแรงของผู้บาดเจ็บ
E : Emergency service : หน่วยฉุกเฉินไปถึงหรือยัง
T – Triage
T – Treatment
T – Transportation
การควบคุมยับยั้งโรคและภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
ต้องจัดให้มีระบบเฝ้าระวังภายใน 5 วันหลังภัยพิบัติ
การบูรณะฟื้นฟู (Recovery)
เป็นระยะสุดท้ายในการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ซึ่งต้องดำเนินไปเรื่อยๆ จนกว่าทุกอย่างจะกลับสู่ภาวะปกติหรือใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด
พยาบาลกับการจัดการสาธารณภัย
การพยาบาลสาธารณภัย (Disaster Nursing) เป็นการพยาบาลที่ต้องนำความรู้ และทักษะทางการพยาบาลทั่วไปและด้านการพยาบาลฉุกเฉิน มาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่เกิดสาธารณภัยทั้งในระยะก่อนเกิดขณะเกิด และหลังเกิดภัย เพื่อป้องกันและ/หรือ ลดความสูญเสียที่จะเกิดกับชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งการฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ประสบภัยและญาติ รวมถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมที่จำเป็นด้วย
หลักการบริหารจัดการในที่เกิดเหตุและรักษาผู้บาดเจ็บ
หลักการบริหารจัดการในที่เกิดเหตุ
และรักษาผู้บาดเจ็บตาม Disaster paradigm
D – Detection
การประเมินสถานการณ์ว่าเกินกำลังหรือไม่
I - Incident command
ระบบการบัญชาเหตุการณ์และผู้ดูภาพรวมของการปฏิบัติการทั้งหมด
S – Safety and Security
การประเมินความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานในที่เกิดเหตุ
A – Assess Hazards
การประเมินสถานที่เกิดเหตุเพื่อระแวดระวังวัตถุอันตรายต่างๆที่อาจเหลือตกค้างในที่เกิดเหต
S – Support
การเตรียมอุปกรณ์และทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้ในที่เกิดเหต
T – Triage/Treatment
การคัดกรองและให้การรักษาที่รีบด่วนตามความจำเปfนของผู้ป่วย โดยการใช้หลักการของMASS Triage Model ( Move, Assess, Sort และ Send) เพื่อคัดแยกผู้ป่วยแบ่งเป็นกลุ่มตามID-me (Immediate, Delayed, Minimal, Expectant) ได้อย่างรวดเร็ว
E – Evacuation
การอพยพผู้บาดเจ็บระหว่างเหตุการณ
R – Recovery
การฟื้นฟูสภาพหลังจากเกิดเหตุการณ์
ลักษณะของการปฏิบัติการพยาบาลในสถานการณ์สาธารณภัย
มุ่งลดความเสียหายต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชนที่เกิดจากสาธารณภัย โดยใช้องค์ความรู้และทักษะทางการพยาบาลอย่างเป็นระบบ
ต้องนำความรู้และทักษะทางการพยาบาลทั่วไปและด้านการพยาบาลฉุกเฉินมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ภัยพิบัติ ทั้งในระยะก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย และหลังเกิดภัย
เป็นการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อ
ป้องกันและลดความรุนแรงของการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย
มุ่งเนินด้านการพยาบาลฉุกเฉินแก่ผู้ประสบภัยจำนวนมากในขณะเกิดภัย
การฟื้นฟูสภาพร่างกาย และจิตใจของผู้ประสบภัยและญาติ
คุณสมบัติพยาบาลสำหรับจัดการสาธารณภัย
มีความรู้ทางการพยาบาลและมีประสบการณ์การปฏิบัติงานการพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินและวิกฤต และด้านการรักษาโรคเบื้องต้นได้
มีความรู้ด้านสาธารณภัย มีความสามารถในการประเมินสถานการณ์ และคาดการณ์ถึงปัญหาสุขภาพที่
จะเกิดจากสาธารณภัยชนิดต่างๆ รวมทั้งมีความสามารถให้การพยาบาลได้ครอบคลุมทุกระยะของการเกิดภัย
มีทักษะในการตัดสินใจที่ดี มีความเป็นผู้นำ และสามารถแก้ปัญหาเฉพาหน้าได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
มีทักษะในการสื่อสาร และการบันทึกข้อมูลต่างๆได้อย่างถูกต้องครบถ้วนชัดเจน
มีวุฒิภาวะที่เหมาะสมกับสถานการณ์
แนวทางปฏิบัติในระบบทางด่วน (Fast track) สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน
เป็นแนวทางของระบบบริการสุขภาพที่ช่วยนำผู้ป่วยให้เข้าถึงบริการที่มีคุณภาพตามมาตรฐานอย่างทันเวลา และลดระยะเวลาการรักษาในผู้ป่วยกลุ่มอุบัติเหตุ ฉุกเฉิน เพื่อให้ได้รับการรักษาเฉพาะทางที่มโดยพิจารณาจากเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ทุพพลภาพ และความพิการ
ระบบทางด่วนสำหรับผู้ป่วยอุบัติเหตุ (Trauma fast track)
ระบบทางด่วนสำหรับผู้ป่วยเจ็บหน้าอก (Chest pain fast track)
ระบบทางด่วนสำหรับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางหลอดเลือดสมอง (Stroke fast track)
หลักการ
การจัดทำควรเป็นทีมสหสาขาวิชาชีพ ประกอบด้วยแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ในส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องมาร่วมดำเนินการ
จัดทำแผนภูมิการดูแลผู้ป่วย พร้อมกำหนดลักษณะผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉินเร่งด่วนที่เข้าระบบทางด่วน
จัดทำแนวปฏิบัติ ลำดับการปฏิบัติในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยตั้งแต่ผู้ป่วยมาถึงประตูโรงพยาบาล หรือ
ห้องฉุกเฉิน พร้อมกำหนดหน้าที่ต่างๆของผู้ที่เกี่ยวข้อง
จัดทำรายการตรวจสอบ (check list) สำหรับการลงข้อมูล ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ
แผนการปฏิบัติต้องเน้นย้ำเวลาเป็นสำคัญ ต้องมีแผนปฏิบัติการรองรับเพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้ตามมาตรฐานที่กำหนด
กำหนด clinical indicator เพื่อการติดตามและประเมินผลในแต่ละขั้นตอนของระบบทางด่วน (Fast track/Pathway system) สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน
บทบาทพยาบาลกับ Fast track
บทบาทพยาบาลกับระบบทางด่วน (Fast track)
การประเมินเบื้องต้นโดยใช้ความรู้ ความสามารถเฉพาะโรค
การรายงานแพทย์ผู้รักษาเพื่อตัดสินใจสั่งการรักษา
การประสานงานผู้เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกองค์กร
การจัดการและดูแลขณะส่งต่อ
การให้การดูแลตามแผนการรักษาภายใต้ระยะเวลาที่จำกัด
การติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง
การให้ความช่วยเหลือเมื่อมีความผิดปกติและติดตามการประเมินผลลัพธ์
การดำเนินงานเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานในภาพรวม
การจัดระบบให้มีการทบทวนและพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
บทบาทพยาบาลในระบบทางด่วน (Fast track)
EMS (accessibility)
Triage/ Specific triage/ Assessment
Activate system
Flow (purpose-process-performance)
Investigation
Care delivery
Monitoring: early warning signs & E-response
Risk management (general & clinical)
Co-ordination, Communication, Handover
Inter & Intra transportation
Evaluation, output, outcome
Improvement, Innovation, Integration
Trauma life support
ระบบการดูแลผู้บาดเจ็บ (Trauma care system)
การเข้าถึงหรือรับรู้ว่ามีเหตุเกิดขึ้น (Access)
การเข้าถึงช่องทางสำหรับการติดต่อในการแจ้ง เมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ประชาชนทุกระดับการศึกษา ทุกพื้นที่ต้องสามารถเข้าถึงระบบ หรือช่องทางนี้ได
การดูแลในระยะก่อนถึงโรงพยาบาล (Prehospital care)
การจัดให้มีการดูแลผู้บาดเจ็บ ณ จุดเกิดเหตุโดยมีบุคลากรที่เป็นบุคลากรที่ได้รับการอบรมให้ความรู้ความสามารถ โดยต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรก (scene safety)
การดูแลในระยะที่อยู่โรงพยาบาล (Hospital care)
การดูแลรักษาในโรงพยาบาลตั้งแต่การคัดแยก ระบบทางด่วนฉุกเฉิน การวินิจฉัย การรักษาตามความเร่งด่วน รวมถึงการดูแลในหอผู้ป่วยวิกฤต
การฟื้นฟูสภาพ และการส่งต่อ (Rehabilitation & transfer)
การดูแลต่อเนื่องในรายที่พบปัญหาหรือต้องได้รับการฟื้นฟูเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีภายหลังจากการได้รับการรักษาในโรงพยาบาล
การดูแลผู้บาดเจ็บขั้นต้น ประกอบด้วย
การประเมินผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บเบื้องต้น (Primary Survey)
A Airway maintenance with cervical spine protection
B Breathing and ventilation
C Circulation with hemorrhagic control
D Disability (Neurologic Status)
E Exposure / environmental control
Resuscitation
เป็นการช่วยเหลือเพื่อให้ผู้ป่วยพ้นภาวะวิกฤตที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ ได้แก่ การดูแลทางเดินหายใจ การช่วยหายใจ การใส่ท่อช่วยหายใจ การให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ การห้ามเลือด
Secondary survey
เป็นการตรวจร่างกายอย่างละเอียดหลังจากผู้ป่วยพ้นภาวะวิกฤตแล้ว ได้แก่
การซักประวัติ การตรวจ Head to toe การตรวจทางรังสีรักษา การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจพิเศษ
Definitive care
เป็นการรักษาหลังจากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเบื้องต้นแล้ว เช่น การผ่าตัด Craniotomy การผ่าตัดหน้าท้องExploratory Laparotomy การนอนรักษาตัวในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก
Primary survey: ขั้นตอนและวิธีการ
Airway maintenance with cervical spine protection
เริ่มต7นจากการประเมิน Airway เพื่อหาอาการที่เกิดจากทางเดินหายใจอุดกั้น (Airway obstruction)
เปิดทางเดินหายใจให้โล่งโดยใช้วิธีการ Head-tilt Chin-lift
กรณีผู้ป่วยที่สงสัยหรือได้รับอุบัติเหตุให้ทำการเปิดทางเดินหายใจด้วยวิธี jaw-thrust maneuver, modified jaw thrustTriple airway maneuverโดยต7องปóองกันการบาดเจ็บของ Cervical spine ตลอดเวลา
อาการที่เกิดจากการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน
restless จากภาวะ Hypoxia หายใจเสียงดัง เปลือกตาซีด ปลายมือเท้าซีดเขียว หายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหายใจช่วยมากกว่าปกติ
ควรมีการประเมินซ้ำเป็นระยะ เนื่องจากผู้ป่วย mild head injury บางรายอาจอยู่ในช่วง lucid
interval อาจเกิดอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ในเวลาอันรวดเร็วหรือที่เรียกว่า Talk and die
ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน
ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บกระดูกสัน
หลังส่วนคอ (Cervical spine injury)
ควรป้องกันการเคลื่อนไหวของ cervical spine ประคับประคองไม่ให้มี Hyperextension หรือ Hyperflexion หรือ rotating ของคอ ควรป้องกันการบาดเจ็บของ Spinal cord โดยการใส่ Cervical collar หรือใช้หมอนทรายวางที่สองข้างของศีรษะไว้ตลอดเวลาจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มี Cervical spine injury จึงสามารถถอด Collar ได้
ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บ multiple injury หรือมี blunt trauma เหนือ Clavicle
ควรคิดว่าอาจมีCervical spine injury ร่วมด้วยเสมอ
ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อมีปัญหาทางเดินหายใจอุดกั้น
แพทย์ส่วนใหญ่จะใส่ endotracheal ทางปากเป็นอันดับแรกเนื่องจากได้ผลดีง่ายและสะดวก การใส่ Endotracheal tube ต้องทำการแหงนคอผู้ป่วยจึงอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บและเกิดการกดทับไขสันหลังระดับคอ (Cervical cord) ได้
Breathing and Ventilation
เป็นการประเมิน การช่วยหายใจและการระบายอากาศเพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนอากาศ เพื่อให้ได้ออกซิเจนและขับคาร์บอนไดออกไซด์ การดูแลควรเปิดให้เห็นบริเวณคอและทรวงอกเพื่อประเมินตำแหน่งของหลอดลมม
ปัญหาการหายใจที่พบบ่อยในการทำ primary survey
tension pneumothorax
Flail chest with pulmonary contusion
Open pneumothorax
Hemothorax
Hypovolemic shock
พยาบาลควรวินิจฉัยภาวะผิดปกติตั้งแต่ Primary survey ได้แก่ Tension pneumothorax, Flail
chest with pulmonary contusion, Massive hemothorax, Open pneumothorax โดยประเมินจาก
การเปิดดูร้องรอยบาดแผลที่บริเวณทรวงอก
ดูการเคลื่อนไหวบริเวณทรวงอก
คลำ การเคาะเพื่อตรวจหาการบาดเจ็บ
ฟัง Breath sound ทั้งสองข้าง
Circulation and Hemorrhage control
เป็นการประเมินในระบบไหลเวียนและการห้ามเลือด โดยประเมินจากสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว สีผิว อุณหภูมิ รวมถึงปริมาณเลือดที่ออกจากบาดแผล
อาการ
ผิวหนัง
ผู้ป่วยจะมีผิวหนังเย็น ชื้น เหงื่อออกมาก cyanosis ยกเว้น septic shock ที่ผิวหนังจะอุ่น สีชมพูในระยะแรก
หัวใจและหลอดเลือด
Pulse จะพบชีพจรเบา เร็ว จากระบบ Sympathetic แต;ระยะท้ายชีพจรจะช้า และไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากหัวใจจะทำงานลดลง
Capillary filling time จะพบนานกว่า 1-2 วินาที เพื่อทดสอบการไหลเวียนที่หลอดเลือดส่วนปลาย
Central venous pressure เท;ากับ 7-8 cm.H2O
ระบบหายใจ
จะพบการหายใจเร็ว และไม่สม่ำเสมอ จาก Acidosis respiration
ระบบทางเดินปöสสาวะ
ระยะแรกปัสสาวะจะลดลงเหลือ 30-50 ml./hr. และ 40 ml./hr. เมื่อเกิดภาวะไตวายปัสสาวะจะออกน้อยกว่า 20 ml./hr
ระบบทางเดินอาหาร
ผู้ป่วยจะกระหายน้ำ น้ำลายน้อยลง ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน ลำไส้บวม และไม่ได้ยิน bowel sound
ภาวะกรดด่างของร่างกาย
ร่างกายจะเกิดการเผาผลาญแบบ anaerobic metabolism จนเกิดภาวะ acidosis metabolic ผู้ป่วยจะมีอาการซึม อ่อนเพลีย งุนงง สับสน ไม่รู้สึกตัว หายใจแบบ Kussmaua
ผู้บาดเจ็บที่อยู่ในภาวะ Shock
ตำแหน่งการเสียเลือดที่สำคัญ
ในช่องอก
อาจทราบได้จากการตรวจร่างกาย การเอกซเรย์ปอด หรือการใส่ท่อระบาย
ในช่องท้องรวมทั้ง retroperitoneum
ทราบได้โดยการทำ Diagnostic peritoneal lavage
ในอุ้งเชิงกราน
เช่นใน Fracture pelvis หรือ Fracture femur
ที่ต้นขา
ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดขนาดใหญ่ เช่น Fracture femu
Disability: Neurologic Status
เป็นการประเมินระบบประสาทต่อว่าสมองหรือไขสันหลังได้รับบาดเจ็บหรือไม่ หลังจากดูแลผู้ป่วย Airway, Breathing, Circulation ที่อาจเปfนอันตรายต่อชีวิต (Life threatening injury)
ประเมินจาก AVPU Scale
A Alert
หมายถึง ผู้บาดเจ็บรู้สึกตัวดี สามารถพูดโต้ตอบหรือทำตามคำสั่งได้
V Voice/verbal stimuli
หมายถึง ผู้บาดเจ็บสามารถตอบสนองต่อเสียงเรียกได้
Painful stimuli
หมายถึง ผู้บาดเจ็บตอบสนองเมื่อกระตุ้นด้วยความปวด
U Unresponsive
หมายถึง ผู้บาดเจ็บไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย
การตรวจประเมินรูม่านตา
ผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บของไขสันหลังควรตรวจดูภาวะ Cord compression จากอาการแขนขาอ่อนแรง ไม่สามารถขยับแขนขาได้ ตรวจ Anal sphincter tone พบปฏิกิริยาหรือไม่ อย่างไร แต่การตรวจระบบประสาทและสมองอย่างละเอียดบางอย่างอาจทำไม่ทันในระยะแรก
Exposure / Environment control
ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บหนัก ควรถอดเสื้อผ้าออกให้หมดเพื่อค้นหาการบาดเจ็บต่างๆ อื่นๆ ในผู้ป่วยที่
บาดเจ็บหนักอาจใช้กรรไกรในการตัดเสื้อและกางเกงออกเพื่อจะได้ตรวจร่างกายอย่างถูกต้อง
วิธีการตรวจ bulbocarvernosus reflex โดยผู้ตรวจใช้นิ้วมือสอดเข้าไปในทวารหนักผู้บาดเจ็บ (perrectum) จากนั้นบีบที่บริเวณหัวอวัยวะเพศชาย(glans penis) หรือกระต้น clitorisในเพศหญิง ถ้าพบว่าหูรูดทวารหนักมีการหดรัดตัวรอบนิ้วมือ แสดงว่าการตรวจให้ผลบวก
การกู้ชีพ (Resuscitation)
การประเมิน
Airway
ภายหลังจากการประเมิน การทำ Definitive airway ในผู้บาดเจ็บที่มีปัญหาการหายใจ
สามารถรักษาได้โดยการใส่ท่อช่วยหายใจ และควรกระทำแต่เริ่มต้นหลังจากที่ช่วยหายใจด้วยออกซิเจน
Breathing
ผู้บาดเจ็บทุกรายควรได้รับออกซิเจนเสริมหากไม่ได้ใส่ท่อช่วยหายใจ ผู้บาดเจ็บควรได้รับ
ออกซิเจนผ่านหน้ากาก (reservoir face mask) ที่เหมาะสมกับหน้าพอดีด้วย flow rate 11 L/min
Circulation
การห้ามเลือดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในผู้บาดเจ็บโดยทำร่วมกับการให้สารน้ำทดแทน
การให้สารน้ำและเลือด
อย่างน้อยควรเปิดหลอดเลือดดำด้วยเข็มขนาดใหญ่และสั้น 2 เส้น เบอร์ 18,16,14
หลีกเลี่ยงแทงเส้นใต้ตำแหน่งของแขนขาที่ได้รับบาดเจ็บ
กรณีสงสัยว่ามีเลือดออกในช่องท้อง หลีกเลี่ยงการให้สารน้ำที่ขาเพราะจะทำให้สารน้ำไหลรั่วเข้าช่องท้อง
ให้สารน้ำที่เป็น Balance salt solution
หากอาการทรุดลง ไม่ตอบสนองพิจารณาการให้เลือดกรุ๊ป โอ ซึ่งสามารถให้เลือดทุกหมู่ได้ตามแผนการรักษา
ไม่ควรให้เลือดร่วมกับ Lactated Ringer's solution, acetar สารน้ำดังกล่าวมีส่วนผสมของแคลเซียมเพราะจะทำให้เลือดอตกตะกอน
หลังได้รับสารน้ำหรือเลือดควรประเมินการตอบสนองต่อสารน้ำ เช่น ชีพจรลดลง ความดันโลหิต เพิ่มขึ้นปัสสาวะออกมากกว่า 0.5 มิลลิลิตร/กิโลกรัม/ชั่วโมง ปลายมือปลายเท้าไม่ซีด
การแก้ไขภาวะคุกคามต่อชีวิตหรือที่เป็นอันตรายเร่งด่วน โดยการกู้ชีพจะทำหลังจากการประเมิน
เป็นลำดับของ ABC
การประเมินสภาพร่างกายผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บอย่างละเอียด (Secondary Survey)
History
Allergies ประวัติการแพ้ยา สารเคมีหรือวัตถุต่างๆ
Medication ยาที่ใช้ในปัจจุบัน
Past illness/ Pregnancy การเจ็บป่วยในอดีตและการตั้งครรภ์
Last meal เวลาที่รับประทานอาหารครั้งล่าสุด
Event/ Environment related to injury อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร รุนแรงเพียงใด
Blunt trauma ส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุจราจร พลัดตกจากที่สูง
Penetrating trauma เกิดจากอาวุธ ปืน มีด ปัจจัยที่กำหนดชนิดและความรุนแรงของการบาดเจ็บอยู่ที่ตำแหน่งของร่างกายที่บาดเจ็บ
Physical Examination
Head
ในการตรวจหนังศีรษะให้ใช้มือคลำให้ทั่วหนังศีรษะเพื่อหาบาดแผล อาจพบแผลฉีกขาด หากมี
การเสียเลือดจากบาดแผลมากควรเย็บแผลชั่วคราวเพื่อป้องกันภาวะ Shock
Facial
ควรคลำกระดูกใบหน้าให้ทั่วเพื่อหา deformity ที่อาจบ่งบอก facial fracture ได้เป็นส่วนใหญ่ บาดแผลบริเวณใบหน้าอาจมีการบาดเจ็บของกระดูกหน้าร่วมด้วย
Cervical spine and Neck
ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัวทุกรายที่มีการบาดเจ็บศีรษะควรคำนึงถึง cervicalspine injury พยาบาลจะใส่ Collar ให้ผู้ป่วยและไม่เคลื่อนไหวคอผู้ป่วยจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีการบาดเจ็บ
Chest
การวินิจฉัยภาวะ
Pneumothorax และ Hemothorax เสียงหัวใจปกติหรือไม่ หากพบว่า
• Media sternum กว้าง บ่งว่าอาจมีการบาดเจ็บของหลอดเลือดในช่องอก (Rupture Aorta)
• กะบังลมยกสูงผิดปกติหรือเห็นเงากระเพาะอาหารในช่องอก บ่งว่าผู้ป่วยกะบังลมฉีกขาด
• เงาอากาศในช่องท้องใต้กะบังลมบ่งชี้ว่ามีการบาดเจ็บของกระเพาะอาหารหรือลำไส้
Abdomen
ในผู้ป่วยที่บาดเจ็บและเกิดภาวะ Shock ให้สงสัยการบาดเจ็บในช่องท้องและมีการเสียเลือดเกิดขึ้น
Musculoskeletal and Peripheral vascular assessment
การบาดเจ็บแขนขาจะประเมินบาดแผล การหักงอ บวมผิดรูป ประเมินจุดที่เจ็บ การเคลื่อนไหว คลำ Crepitus หากสงสัยว่ามีการบาดเจ็บ
Pelvic fracture
จะตรวจพบ Ecchymosis บริเวณ Iliac wing, Pubis, Labia หรือ Scrotum และ
เมื่อตรวจ Pelvic compression ผู้ป่วยจะมี pain on palpation และมี sign of unstability
Neurological system
เป็นการตรวจระบบประสาทและสมองอย่างละเอียด ประเมิน motor,
sensory และต้อง Reevaluation ระดับความรู้สึกตัว pupil size Glasgow coma score
Reevaluation
ในระยะแรกที่ดูแลผู้ป่วยที่บาดเจ็บ ควรมีการประเมินร่างกายซ้ำเป็นระยะๆ เพื่อประเมินหาการ
บาดเจ็บที่อาจตรวจไม่พบในระยะแรก และเป็นการติดตามการเปลี่ยนแปลงอาการของผู้ป่วย
การรักษาผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บภายหลังได้รับการช่วยเหลือขั้นต้นแล้ว (Definitive Care)
เป็นการรักษาอย่างจริงจังหลังจากได้ทำ secondary survey เรียบร้อยแล้ว เพื่อแก้ไขพยาธิสภาพ โดยตรง เป็นการรักษาจำพาะของการบาดเจ็บแต่ละอวัยวะ ได้แก่การผ่าตัดเพื่อแก้ไขภาวะฉุกเฉินต่างๆ
Intracranial hematoma
Intra-abdominal bleeding
multiple organ injury