Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
เทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูล, จัดทำโดย - Coggle Diagram
เทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูล
การสังเกตการณ์
การสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด (Participant Observation) เป็นวิธีที่ผู้ศึกษาเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนหรือกลุ่มที่ทำการศึกษาเช่น ศึกษาประวัติศาสตร์หมู่บ้าน
การสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด (Non-Participant Observation) เป็นวิธีที่ผู้ศึกษาไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนหรือกลุ่มที่ทำการศึกษาเป็นเพียงเข้าไปเฝ้าพฤติกรรมทางสงคม
การสังเกตการณ์อย่างมีโครงสร้าง (Structured Observation) เป็นการสังเกตการณ์ที่เป็นระบบ ผู้ศึกษาทราบถึงวัตถุประสงค์ของการสังเกตการณ์ผู้ศึกษาจึงมีการเตรียมการสิ่งที่ต้องการสังเกตไว้ล่วงหน้าข้อมูลที่ต้องการศึกษา และวิธีการวิเคราะห์ทำให้สามารถที่สังเกตการณ์อย่างเป็นระบบ
การสังเกตการณ์อย่างไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Observation) เป็นการสังเกตการณ์ที่ผู้ศึกษาได้เตรียมวัตถุประสงค์ของการสังเกตการณ์ไว้ล่วงหน้าเนื่องจากการสังเกตการณ์แบบนี้เป็นการสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ที่แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติในฐานะที่เป็นสวนหนึ่งของสังคมพฤติกรรมที่แสดงออกจึงเป็นไปตามตามเงื่อนไขของบุคคลนั้น ผู้ศึกษาไม่อาจจะเตรียมการไว้ล่วงหน้าได้
การสังเกตการณ์ในห้องปฏิบัติการ (Laboratory Observation) เป็นการสังเกตการณ์ในสถานการณ์ที่ผู้ศึกษาได้กำหนดไว้ อาจจะใช้วิธีการสังเกตการณ์ผ่านห้องกระจกที่มองด้านเดียวเพื่อมิให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตัว
การใช้ข้อมูลเอกสาร
ชนิดของข้อมูลเอกสาร
สถิติและบันทึกต่างๆ หมายถึง ข้อมูลที่ได้มีการรวบรวมอย่างเป็นระบบระเบียบต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลานานพอสมควร เป็นข้อมูลสถิติที่เป็นตัวเลข เป็นเรื่องราวเหตุการณ์เช่น บันทึกประจำวัน ประวัติบุคคล เป็นต้น
เอกสาร หมายถึง ข้อมูลในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีอยู่เป็นลายลักษณ์อักษรหรืออาจเป็นแผนผัง รูปภาพ ข้อมูลเหล่านี้ได้แก่ ข่าวหรือบทความในหนังสือ จดหมายโต้ตอบระหว่างบุคคล คำขวัญ อัตชีวประวัติ ตำนาน เป็นต้น ซึ่งข้อมูลทั้งสองประการดังกล่าว จะเป็นทั้งของทางราชการและส่วนตัว
การใช้ข้อมูลเอกสาร
ข้อมูลเอกสาร เป็นข้อมูลที่นำมาใช้ประโยชน์ได้มาก เพราะมีความพร้อมมูลบางประการที่ข้อมูลบุคคลอาจไม่มีเท่าหรือไม่ครอบคลุมเท่า แต่นักวิจัยก็ต้องอดทนในการใช้ข้อมูลเหล่านี้ เพราะมักเสียเวลาในการตรวจสอบและการวิเคราะห์ดีความ นักวิจัยต้องฝึกฝนในการใช้ข้อมูลเอกสาร คือการหัดตรวจสอบและตีความเอกสาร ซึ่งโดยปกติข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์ในการให้ร่องรอยหรือเพื่อสืบสาวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และให้รายละเอียดเกี่ยวกับค่านิยม ความรู้สึก ความเชื่อ อุดมการณ์ตลอดจนการให้ความหมายแก่สิ่งต่างๆ ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล
การสัมภาษณ์
ประเภทของการสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์แบบเจาะจง (Focused Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่เจาะจง หัวข้อเรื่ององที่ต้องการข้อมูล เช่น การสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวกับสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งโดยเฉพาะจากการดูภาพยนตร์การสัมภาษณ์ประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละบุคคลในเรื่องทัศนคติค่านิยม ในเรื่องที่ต้องการศึกษา
การสัมภาษณ์ที่ไม่กำหนดคําตอบล่วงหน้า (Non – directive Interview) เป็นวิธีการสัมภาษณ์ที่ผู้ให้สัมภาษณ์สามารถตอบได้ตามอิสระที่ต้องการ โดยผู้สัมภาษณ์เป็นเพียงผู้ฟังมากกว่าเป็นผู้ซักถาม เช่น การสัมภาษณ์ของนักจิตวิทยาต่อผู้ป่วย
การสัมภาษณ์แบบลึกซึ้ง หรือแบบเจาะลึก (Indepth Interview) เป็นวิธีการสัมภาษณ์ที่ต้องการรายละเอียดมากที่สุดในเรื่องที่ผู้ศึกษาต้องการ การสัมภาษณ์แบบลึกซึ้งจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ให้สัมภาษณ์มีความคนเคยและให้คําตอบมากที่สุด และมีมากกว่าที่ผู้สัมภาษณ์ได้เตรียมข้อมูลเพื่อที่จะสัมภาษณ์ เช่น การสัมภาษณ์ชีวประวัติบุคคลต่าง ๆ
การสัมภาษณ์ซํ้า (Repeated Interview) เป็นวิธีการศกษาแบบการศึกษาซ้ำ (Panel study) จึงต้องมีการสัมภาษณ์ซํ้าเป็นครั้งที่สอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะศึกษาความเปลี่ยนแปลง
เทคนิคการสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์อย่างมีโครงสร้าง (Structured Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ถามคําถามต่าง ๆ ที่มีไว้ในแบบสัมภาษณ์
1.1 การสัมภาษณ์ตามแบบสอบถาม
1.2 การสัมภาษณ์ตามแบบคําถามที่กําหนดไว้
การสัมภาษณ์อย่างไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่ไม่มีขอบเขตของคําถามที่แน่นอน มีเพียงแต่แนวทางกว้าง ๆ เป็นแนวทางการสัมภาษณ์ (Interview guide) ซึ่งสร้างขึ้นเป็นประเด็นหรือหัวข้อในการสัมภาษณ์
หลักการสัมภาษณ์
การแนะนําตัว (Introduction) ผู้สัมภาษณ์จะต้องแนะนําตัวเองเสียก่อน เพื่อให้ผู้ให้สัมภาษณ์ได้ทราบและคุ้นเคย
การสร้างความสมพันธ์ที่ดี(Good Relationship)
การเข้าใจวัตถุประสงค์ (Objectives) ผู้สัมภาษณ์จะต้องมีความเข้าใจวัตถุประสงค์ของคําถามที่กำหนดขึ้นเพื่อที่จะทำให้เกิดความเข้าใจในการซักถามประกอบการสัมภาษณ์
การจดบันทึก (Take Note)
การสัมภาษณ์ (Interview) ผู้สัมภาษณ์จะต้องมีการเตรียมการล่วงหน้าในการสัมภาษณ์
การกล่าวขอบคุณ (Thanks) เมื่อเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ควรจะกล่าวขอบคุณแก่ผู้ให้สัมภาษณ์เป็นการอำลา
การสนทนากลุ่ม
องค์ประกอบในการจัดสนทนากลุ่ม
1.บุคคลที่เกี่ยวข้อง
1.1 ผู้ดำเนินการสนทนา (Moderator) ผู้ดำเนินการสนทนาจะต้องเป็นผู้ที่พูดและฟังภาษาท้องถิ่นได้ เป็นผู้มีบุคลิกดี สุภาพ อ่อนน้อม และมีมนุษย์สัมพันธ์ดี ผู้ดำเนินการสนทนาจะต้องเป็นผู้รู้ความต้องการและวัตถุประสงค์ของการศึกษาชุมชนในแต่ละครั้งเป็นอย่างดี
1.2 ผู้จดบันทึกการสนทนา (Notetaker) ผู้จดบันทึกการสนทนาจะต้องรู้วิธีว่าทำอย่างไรจึงจะจดบันทึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะจะต้องจดบันทึกบรรยากาศที่เกิดขึ้นในระหว่างการสนทนาด้วย
1.3 ผู้ช่วย (Assistant) ผู้ช่วยจะเป็นผู้ทำหน้าที่ช่วยเหลือทั่วไปในขั้นเตรียมการ การจัดสนทนากลุ่ม เช่นเตรียมสถานที่ จัดสถานที่ บันทึกเสียง เป็นต้น
แนวทางในการเตรียมการสนทนากลุ่ม ควรต้องจัดแนวทางในการสนทนากลุ่มและการจัดลำดับหัวข้อในการสนทนา ในทางปฏิบัติอาจยืดหยุ่นได้ จากบรยากาศในการสนทนาที่เกิดขึ้นซึ่งผู้ดำเนินการสนทนา อาจจะได้ประเด็น ซึ่งไม่ได้คาดคิดเอาไว้ก่อน จากผู้เข้าร่วมสนทนาผู้ดำเนินการสนทนา สามารถซักต่อได้
สถานที่และระยะเวลา อาจจะเป็นบ้าน ศาลาวัด ใต้ร่มโพธิ์ ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกห่างไกล จากความพลุกพล่าน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสนทนาได้มีสมาธิในเรื่องต่าง ๆ ที่กำลังสนทนาส่วนระยะเวลาในการสนทนาโดยทั่วไปไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมงต่อ 1 กลุ่ม
แบบฟอร์มสำหรับคัดเลือกผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ม ควรจัดเตรียมแบฟอร์มสำหรับคัดเลือกผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่มไว้ด้วย
อุปกรณ์สนาม อุปกรณ์สนามที่ควรเตรียม ได้แก่ เครื่องบันทึกเสียง เทปเปล่า ถ่านวิทยุ สมุดบันทึก และดินสอ เป็นต้น
ส่งเสริมสร้างบรรยากาศ ส่งเสริมสร้างบรรยากาศ เช่น เครื่องดื่ม ของขบเคี้ยว บุหรี่ดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่เมสร้างบรรยากาศความเป็นกันเอง ระหว่างผู้มีส่วนสนทนาได้ รวดเร็วยิ่งขึ้น
ของสมนาคุณแก่ผู้ที่ร่วมสนทนา เพื่อเป็นการตอบแทนผู้เข้าร่วมสนทนาแม้จะเป็นสิ่งที่เล็กน้อย แต่ในทางจิตวิทยาแล้ว เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการแสดงออกซึ่งความมีน้ำใจของผู้ที่ทำการสนทนา
การเข้าสนาม
การเข้าสนามเริ่มต้นที่การพิจารณาเลือกสนามในการวิจัยชุมซน โดยพิจารณาว่า ชุมชนนั้นสามารถตอบโจทย์ปัญหาของการศึกษาวิจัยได้หรือไม่ พิจารณาความเหมาะสมของชุมชนในด้านต่างๆ เช่น ขนาดของหมู่บ้าน ความซับซ้อน เป็นต้น รวมถึงการจัดเตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการศึกษาวิจัย และการเรียนรู้เกี่ยวกับประเพณี ภาษา วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ เป็นต้น
นอกจากนี้การวางตัวตามบทบาทยังหมายถึง การปฏิบัติสิ่งที่เป็นความคาดหวังและบรรทัดฐานของสังคมหมู่บ้านหรือชุมชน เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ของชุมชน
การสร้างความสัมพันธ์ เมื่อมีการแนะนำตัวแล้ว ขั้นต่อไปคือ การสร้างความสัมพันธ์ หมายถึง การผูกมิตรไมตรี จนกระทั่งชาวบ้านมีความไว้เนื้อเชื่อใจ โดยระวังมิให้ตนเองมีบทบาทเกินกว่าที่ควรเป็น และระวังมิให้เกิดความลำเอียงในการรวบรวมข้อมูลและตีความข้อมูล
ขั้นตอนต่อมา คือ การแนะนำตัว และการกำหนดสถานภาพและบทบาทที่เหมาะสมของผู้ศึกษา ในการเข้าสู่ชุมชน โดยอาจจะทำได้ใน 2 ลักษณะ คือ ไม่บอกว่าเป็นใคร และบอกว่าเป็นใครเพื่อจะได้ทราบถึงข้อมูลที่อาจจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อชุมชนในโอกาสต่อไป
การศึกษาแบบผสมผสาน
การศึกษาแบบผสมผสาน คือ การนำเอาวิธีการต่างๆ ในการศึกษาวิเคราะห์ชุมชนมาใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการศึกษาชุมชน โดยเริ่มต้นที่การเข้าสนามหรือการลงสู่ชุมชน จากนั้นใช้การสังเกตทั้งที่มีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม การสัมภาษณ์พูดคุยอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ การใช้ข้อมูลเอกสารมือสองในการศึกษาหาประวัติของชุมชน การสนทนากลุ่มเพื่อระดมความคิดร่วมกับชุมชน การจดบันทึกต่างๆ ในระหว่างการศึกษาชุมชน เทคนิค วิธีการแบบผสมผสานเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ศึกษาวิจัยได้รับทราบข้อมูล ข้อเท็จจริงของชุมชนได้มากในมุมมองที่หลากหลาย
จัดทำโดย
นางสาวอมรรัตน์ สะพานแก้ว เลขที่47 ห้องA