Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีที่ใช้ทางสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวช - Coggle Diagram
ทฤษฎีที่ใช้ทางสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวช
ทฤษฎีทางจิตเวชศาสตร์
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic theory)
แนวคิดหลักของทฤษฎี
ระดับของจิตใจ (Level of mind)
ระดับจิตสำนึก
ระดับจิตกึ่งสำนึก
ระดับจิตไร้สำนึก
โครงสร้างของจิต
(The structure of mind)
สัญชาตญาณ (Id)
ตัวตนแห่งบุคคล (Ego or Self)
มโนธรรม (Superego)
สัญชาตญาณ (Instinct)
สัญชาตญาณทางเพศ
สัญชาตญาณความก้าวร้าว
กลไกทางจิต
(Defense mechanism)
ความกังวลใจ (Anxiety)
พัฒนาการของบุคลิกภาพ
การเกิดพฤติกรรมแปรปรวนตามแนวคิดจิตวิเคราะห์
ผู้ที่จะป่วยทางจิตใจอารมณ์ ได้รับประสบการณ์ชีวิตที่ไม่ดีมาก่อน
ประสบการณ์ชีวิตที่บาดเจ็บ
ความคิดที่ขัดแย้งกันและ Neurotic conflict
แนวคิดการบำบัด
การวิเคราะห์ความฝัน (Dream interpretation)
การวิเคราะห์ความรู้สึกต่อต้าน
การระบายความรู้สึกอย่างเสรี (Free Association)
การวิเคราะห์การถ่ายโยงความรู้สึก (Analysis of transference)
ทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคมของอีริคสัน (Psychosocial development)
แนวคิด
เน้นความสำคัญ ของทางด้านสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมทางจิตใจ (Psychological environment) ว่ามีบทบาทในการ พัฒนาบุคลิกภาพมาก โดยช่วยให้มีการพัฒนาด้านบทบาท ให้บรรลุถึงซึ่งความเป็นตัวของตัวเอง และให้โอกาสได้แสดงออกของอารมณ์อย่างเหมาะสม
พัฒนาการของบุคลิกภาพ
อายุ 20-40 ปี
ขั้นสร้างความรู้สึกที่ใกล้ชิดกับความโดดเดี่ยวอ้างว้าง
อายุ 40-60 ปี
ขั้นหาประโยชน์ให้สังคมกับการหมกมุ่นใส่ใจแต่ตัวเอง
อายุ 20 ปี
ขั้นพบอัตลักษณ์ของตนเองกับความสับสนไม่เข้าใจ
อายุ 60+ ปี
ขั้นที่แสดงถึงความมั่นคงสมบูรณ์กับหมดอาลัยตายอยาก
อายุ 6-12 ปี
ขั้นสร้างความรู้สึกขยันหมั่นเพียรกับความรู้สึกด้อย
อายุ 3-6 ปี
ขั้นที่มีการสร้างความคิดริเริ่มกับความรู้สึกผิด
อายุ 18 เดือน - 3 ปี
ขั้นที่สร้างความรู้สึกที่เป็นอิสระกับความรู้สึกที่สงสัยไม่แน่นอน
0 – 18 เดือน
ขั้นที่สร้างความรู้สึกไว้ใจกับไม่ไว้ใจ
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล (Interpersonal relationship theory
แนวคิดหลัก
ความวิตกกังวลสามารถอธิบายและสังเกตได้
บุคคลพยายามที่จะดิ้นรนเพื่อขจัดความวิตกกังวลและเพิ่มความมั่นคงให้กับตนเอง
ความวิตกกังวลที่เริ่มจากสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
ลักษณะของทฤษฎี
เพื่อไปสู่ความมั่นคง (Security)
เพื่อไปสู่ความพึงพอใจ (Satisfactions)
ระบบแห่งตน (Self – system)
ไม่ใช่ฉัน (Not me)
ฉันเลว (Bad me)
ฉันดี (Good me)
การพัฒนาบุคลิกภาพ
ขั้นวัยผู้ใหญ่ (Adulthood) อายุระหว่าง 20 - 30 ปี
ขั้นวัยรุ่นตอนปลาย (Late Adolescence) อายุ 17 - 19 ปี
ขั้นวัยรุ่นตอนต้น (Early Adolescence) อายุระหว่าง 13 - 17 ปี
ขั้นก่อนวัยรุ่น (Pre- Adolescence) อายุ 11 - 13 ปี
ขั้นวัยเยาว์ (Juvenile Era) อายุระหว่าง 5 - 12 ปี
ขั้นวัยเด็ก (Childhood) อายุ 18 เดือน - 5 ปี
ขั้นทารก (Infancy) อายุแรกเกิด -18 เดือน
ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
ทฤษฎีบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพพัฒนาจากกระบวนการเรียนรู้
พฤติกรรมแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ พฤติกรรมที่กระทำต่อสิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมที่ถูกเร้าโดยสิ่งแวดล้อม
บุคลิกภาพที่เกิดจากการเสริมแรง ดำรงอยู่ได้เพราะได้รับตัวเสริมแรงอย่างสม่ำเสมอ
การเลียนแบบมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพ
พฤติกรรมสามารถทำให้แผ่วลงหรือหยุดแสดงได้
บุคลิกภาพพัฒนาจากการได้รับตัวเสริมแรง
ตัวแปรทางสิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนดการแสดงพฤติกรรม
แนวคิดที่สำคัญ
การวางเงื่อนไขแบบลงมือกระทำ (Operant conditioning)
การเรียนรู้ทางสังคม (Social learning)
การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Classical conditioning)
ความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์
พฤติกรรมเกิดจากการเรียนรู้
บุคลิกภาพของมนุษย์ไม่ได้ประกอบด้วย ลักษณะนิสัย
ธรรมชาติมนุษย์ที่ควรเน้นคือ ปัจจุบันที่นี่ ขณะนี้
เมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ควรให้ความสำคัญกับพฤติกรรมภายนอก
ธรรมชาติของการเสริมแรง
รางวัล
ให้สิ่งเร้าทางบวก เรียก Positive reinforcement เช่น ให้คำชม ให้ความสนใจ
ระงับสิ่งเร้าทางลบ เรียกว่า Negative reinforcement เช่น ปิดวิทยุที่รบกวนการอ่านหนังสือ หยุดนินทา หยุดบ่น
การลงโทษ
ให้สิ่งเร้าทางลบ เช่น การตี การผูกมัด เรียกว่า Positive punishment ให้สิ่งที่ไม่พึงพอใจ
งดสิ่งเร้าทางบวก เช่น งดการออกไปร่วมกิจกรรมที่ชอบ งดเงินประจำสัปดาห์ เรียกว่า Negative punishment เป็นการถอดถอนสิ่งที่พึงพอใจออกไป
วิธีการบำบัด
การลดภาวะ (Extinction)
การลงโทษ (Punishment)
วิธีการบำบัดที่อาศัยการเรียนรู้แบบคลาสสิก
ทฤษฎีทางชีววิทยา
แนวคิดหลักของทฤษฎีชีวภาพทางการแพทย์
บุคคลมีความแปรปรวนทางด้านอารมณ์และจิตใจ
สาเหตุการเจ็บป่วย เชื่อว่าเกิดจากความผิดปกติของการทำงานของสมอง
ความเจ็บป่วยจะมีลักษณะของโรคและมีอาการแสดงที่นำมาวินิจฉัยและจำแนกโรคได้
โรคทางจิตเวชมีการดำเนินโรคที่แน่นอนและสามารถพยากรณ์โรคได้
โรคทางจิตเวชสามารถรักษาได้โดยการรักษาแบบฝ่ายกาย เช่น การรักษาด้วยยา
โรคจิตมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางชีวภาพ ช่วยลดความรู้สึกเป็นตราบาป (Stigma) ของผู้ป่วยและครอบครัว
สาเหตุของความผิดปกติทางจิต
พันธุกรรม (Genetic)
สารสื่อประสาท (Neurotransmitters)
ความผิดปกติของโครงสร้างและการทำงานของสมอง
พัฒนาการของเซลล์ประสาท (Neural development)
แนวคิดอัตถิภาวนิยมและมนุษยนิยม (Existentialism and Humanism)
ทฤษฎีกลุ่มอัตถิภาวะนิยม (Existential Theory)
ความเชื่อเกี่ยวกับมนุษย์
คุณค่าของปัจเจกบุคคล
เสรีภาพ (Free will)
ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น (Relationship with others)
ความผิดปกติทางพฤติกรรม
บุคคลไม่รู้จักตนเองและสิ่งแวดล้อม ทำให้สร้างข้อจำจัดให้กับตนเองจนเกินความจำเป็น
ผู้ที่ไม่รู้จักตนเองและไม่พอใจในสภาพของตนเอง จะรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวขาดกำลังใจและเศร้า สิ้นหวังและอับจนปัญญา ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นได้
กระบวนการบำบัด
Gestalt therapy
Reality therapy
Rational Emotive Therapy
Logo therapy
ทฤษฎีกลุ่มมนุษยนิยม
ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการพื้นฐานของมาสโลว์
(Maslow’s Hierarchy of needs Theory)
ควรจะศึกษาจิตวิทยาจากบุคคลที่มีสุขภาพจิตดี บุคลิกภาพมั่นคง ประสบความสำเร็จและมีความสุขในชีวิต เพื่อค้นหาว่าคุณลักษณะของบุคลิกภาพที่ดีนั้นต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง มีแนวทางพัฒนามาอย่างไร
พื้นฐานของสมมติฐาน
มนุษย์มีความต้องการอยู่เสมอและไม่มีที่สิ้นสุด
ความต้องการของบุคคลจะถูกเรียงลำดับตามความสำคัญ
ความต้องการที่ได้รับการตอบสนองแล้ว จะไม่เป็นสิ่งจูงใจของพฤติกรรมนั้นๆ
ลำดับความต้องการของมนุษย์
ขั้นที่ 2 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety and security needs)
ขั้นที่ 3 ความต้องการความรัก และความเป็นเจ้าของ (Belonging and love needs)
ขั้นที่ 4 ความต้องการการได้รับการยกย่องนับถือ (Esteem needs)
ขั้นที่ 5 ความต้องการที่จะเข้าใจประจักษ์ตนเองอย่างแท้จริง (Self-actualization needs)
ขั้นที่ 1 ความต้องการทางด้านร่างกาย (Physiological needs)
ทฤษฎีทางการพยาบาล
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเพบพลาว
มโนทัศน์หลักทางการพยาบาล (Nursing metaparadigm)
สิ่งแวดล้อม (Environment)
สุขภาพ (Health)
คน คือ บุคคล (Person)
การพยาบาล (Nursing)
เน้นความสำคัญของกระบวนการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดระหว่างพยาบาลกับผู้รับบริการ โดยมีเป้าหมายให้ผู้รับบริการได้มีการพัฒนาทักษะในการสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ทำความเข้าใจตนเองและพฤติกรรมตนเอง
บทบาทของพยาบาล
ผู้ให้การสนับสนุน (Resource person): ช่วยตอบคำถาม ให้ความรู้
ครู (Teacher): ช่วยให้ผู้รับบริการเกิดความรู้การเรียนรู้
คนแปลกหน้า (Stranger): ในการพบกันครั้งแรก
ผู้นำ (Leader): ช่วยให้ผู้รับบริการเกิดความคิดริเริ่ม
ผู้ทดแทน (Surrogate): ช่วยเป็นตัวแทนที่ทำหน้าที่ทดแทน
ผู้ให้คำปรึกษา (Counselor): ช่วยให้เกิดความเข้าใจและบูรณาการเป้าหมายของชีวิต
ทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็ม
การที่บุคคลจะมีสุขภาพดีได้นั้น จะต้องมีการดูแลตนเองที่เหมาะสม โดยบุคคลจะมีการดูแลตนเองที่เหมาะสมได้ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมีความสามารถในการดูแลตนเองในระดับที่เพียงพอกับความต้องการการดูแลตนเอง ซึ่งการดูแลตนเองของบุคคลจะเป็นการกระทำที่จงใจและมีเป้าหมายเพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิต สุขภาพ และสวัสดิภาพ
กระบวนทัศน์หลักเกี่ยวกับทฤษฎีการดูแลตนเอง
บุคคล เป็นผู้ที่มีความสามารถในการกระทำอย่างจงใจ(Deliberate action) และมีลักษณะเป็นองค์รวม
สุขภาพ เป็นภาวะที่มีความสมบูรณ์ ไม่บกพร่อง
สิ่งแวดล้อม คนกับเรื่องสิ่งแวดล้อมไม่สามารถแยกออกจากกันได้ และมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน
การพยาบาล เป็นบริการการช่วยเหลือบุคคลอื่นให้สามารถดูแลตนเองได้อย่างต่อเนื่อง และเพียงพอกับความต้องการในการดูแลตนเอง
มโนทัศน์หลักในทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็ม
ทฤษฎีการดูแลตนเอง
(The theory of self - care)
อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเงื่อนไขต่างๆทางด้านพัฒนาการ และการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลกับการดูแลตนเอง
ทฤษฎีความพร่องในการดูแลตนเอง
(The theory of self – care deficit)
ความสามารถเพื่อตอบสนองต่อความต้องการการดูแลตนเองทั้งหมดของบุคคลที่อยู่ในวัยเจริญเติบโต หรือเติบโตอย่างเต็มที่ สามารถจะถูกกระทบได้เนื่องจากภาวะสุขภาพ หรือองค์ประกอบทั้งภายในและภายนอก ซึ่งทำให้บุคคลนั้นใช้ความสามารถของตนเองได้เพียงบางส่วน หรือไม่สามารถจะใช้ได้เลย หรือปริมาณ หรือคุณภาพของความสามารถในการดูแลตนเองไม่เพียงพอที่จะตอบสนองต่อความต้องการการดูแลตนเองทั้งหมด ดังนั้นบุคคลจึงต้องการการพยาบาล
ทฤษฎีระบบการพยาบาล
(The theory of nursing system)
ระบบทดแทนทั้งหมด
ระบบทดแทนบางส่วน
ระบบสนับสนุนและให้ความรู้
วิธีการให้ความช่วยเหลือตามทฤษฎีการดูแลตนเอง
การกระทำให้หรือกระทำแทน (Acting for or doing for)
การชี้แนะให้แนวทาง (Guiding another)
การสนับสนุน (Supporting another)
การจัดสิ่งแวดล้อม
การสอน (Teaching)
ทฤษฎีการปรับตัวของรอย (Roy’ s Adaptation model)
การปรับตัวและการให้ความช่วยเหลือบุคคลที่มีปัญหาในการปรับตัวเมื่อมีเหตุการณ์หรือการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาในชีวิต
สิ่งเร้า (Stimuli)
สิ่งเร้าตรง (Focal stimuli)
สิ่งเร้าร่วม (Contextual stimuli)
สิ่งเร้าแฝง (Residual stimuli)
ความสามารถในการปรับตัว (Adaptive level)
ระดับปกติ (Integrated level)
ระดับเสียสมดุล (Compromised level)
ระดับชดเชย (Compensatory level)
การปรับตัว (Adaptation)
การปรับตัวสำเร็จ (Adaptive response)
การปรับตัวที่ไม่มีประสิทธิภาพ (Ineffective response)
พฤติกรรมการปรับตัว
การปรับตัวด้านบทบาทหน้าที่ (Role function model)
การปรับตัวด้านพึ่งพาซึ่งกันและกัน (Interdependence model)
การปรับตัวด้านร่างกาย (Physiologic model)
การปรับตัวด้านอัตมโนทัศน์ (Self – concept model)
กระบวนการเผชิญปัญหา (Coping process)
กลไกการคิดรู้ (Cognator subsystem)
กลไกการควบคุม (Regulator subsystem)
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีทางการพยาบาลในการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช
ทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็ม (Orem’s self-care theory)
ใช้กับบุคคลที่ไม่สนใจในการดูแลตนเอง เช่น ความปลอดภัย สุขวิทยา การผ่อนคลาย และอาหาร เนื่องจากการเจ็บป่วย
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ของเพบพราว (Peplau’s theory)
พยาบาลจะต้องประเมินถึงระดับความวิตกกังวลและให้การพยาบาลที่เหมาะสมตามระดับความรุนแรง
ทฤษฎีการปรับตัวของรอย (Roy’s Adaptation Theory)
พยาบาลควรจะประเมินถึงพฤติกรรมของผู้ป่วยและวางแผนการดูแลให้ผู้ป่วยปรับใน 4 มิติ
นางสาวศศิกานต์ ชูแก้ว
รหัสนักศึกษา 62122301080