Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กโรคติดเชื้อที่ป้องกันด้วยวัคซีนโรคคางทูม - Coggle Diagram
การพยาบาลเด็กโรคติดเชื้อที่ป้องกันด้วยวัคซีนโรคคางทูม
เชื้อที่ทำให้เกิดโรค
เชื้อไวรัส Mumps virus เป็นเชื้อ RNA ไวรัสสายเดี่ยว มีเปลือกหุ้ม ลักษณะเป็นเกลียวที่สมมาตร
อาการของโรคคางทูม
มีไข้ อ่อนเพลีย
ปวดศีรษะ ปวดเมื่อตามตัว
เบื่ออาหาร
ปวดหูขณะเคี้ยวหรือกลืนอาหาร
1-3วันแรก จะมีอาการบวมที่ข้างหูหรือขากรรไกร
มีอาการปวดมากขึ้นเมื่อทานของเปรี้ยว
มีอาการบวมใต้คางเพราะต่อมน้ำลายอักเสบ
ปวดบวมขากรรไกร
การติดต่อ
ติดต่อโดยการ ไอ จาม หายใจรดกัน (ช่องทางหายใจหรือสูดดม)
ติดต่อโดยการสัมผัสถูกมือ ใช้สิ่งของร่วมกัน (ทางผิวหนัง ทางบาดแผล)
คางทูมเกิดจากการติดเชื้อไวรัสคางทูม (Mumps virus)ซึ่งเป็นไวรัสที่อยู่ในกลุ่ม Paramyxovirus (พารามิกโซไวรัส) เมื่อได้รับเชื้อ เชื้อจะแบ่งตัวในเซลล์เยื่อบุของทางเดินหายใจส่วนต้น หลังจากนั้นเชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดและแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ต่อมน้ำลายข้างหู
ระยะของโรค
ระยะแพร่เชื้อที่ติดต่อได้ง่าย : ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อติดต่อให้ผู้อื่นได้ ในช่วง 4 วันก่อนมีอาการจนถึง 9 วันหลังมีอาการคางทูม
การดำเนินโรค : ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่พบภาวะแทรกซ้อนและสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ อาการปวดและบวมส่วนใหญ่จะหายไปได้เองภายใน 4-8 วัน แต่บางรายอาจนานถึง 10 วัน ส่วนอาการไข้จะเป็นอยู่ประมาณ 3-4 วันและอาการโดยรวมจะหายสนิทภายใน 2 สัปดาห์
ระยะฟักตัวของโรค : ระยะฟักตัว 16–18 วัน มีอาการไข้ เจ็บคอ เบื่ออาหาร บริเวณข้างหูหรือขากรรไกรมีอาการปวด บวม และเจ็บ
การวินิจฉัย
การตรวจร่างกายทั่วไป : การตรวจร่างกายของผู้ป่วยจะพบว่าผู้ป่วยมักมีไข้ 38-40 องศาเซลเซียส (บางรายอาจไม่มีไข้) บริเวณขากรรไกรบวมข้างใดข้างหนึ่งหรือบวมทั้ง 2 ข้าง เมื่อกดจะรู้สึกเจ็บ ต่อมน้ำลายใต้คางบวม
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจเพาะเชื้อ โดยนำตัวอย่างจากน้ำลาย น้ำไขสันหลัง เลือด และปัสสาวะ ไปทำการเพาะเชื้อ โดยเฉพาะตัวอย่างจากน้ำลายข้างกระพุ้งแก้มที่ต่อมน้ำลายอักเสบ
การตรวจหาภูมิตุ้มกัน (IgM และ IgG) ต่อเชื้อไวรัส ควรตรวจให้เร็วที่สุดหลังผู้ป่วยแสดงอาการต่อมน้ำลายอักเสบ สามารถตรวจพย Igm ได้ในช่วง 2-3 วันแรกที่มีอาการต่อมน้ำลายอักเสบ ส่วนการตรวจ IgG จะพบค่าสูงขึ้นเป็น 4 เท่าในการตรวจครั้งที่ 2 ซึ่งควรตรวจห่างจากครั้งแรกอย่างน้อย 2 สัปดาห์
การตรวจทางห้องปฏิบัติการทั่วไป มักตรวจพบภาวะ เม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติ แต่มีลิมโฟซัยท์สูงได้เล็กน้อย
โรคแทรกซ้อน
อาจพบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ พบบ่อยในผู้ใหญ่ > เด็ก และพบในเพศชาย > เพศหญิง
รังไข่อักเสบ พบได้ประมาณ 7% ของผู้ป่วยเพศหญิงที่เข้าสู่วัยรุ่นไปแล้ว จะมีอาการไข้ และปวดท้องน้อย คล้ายอาการไส้ติ่งอักเสบ
อาจพบลูกอัณฑะอักเสบ อาจทำให้เป็นหมันในอนาคตเนื่องจากลูกอัณฑะจะมีการอักเสบจะบวมแดง ส่วนใหญ่อักเสบเพียงข้างเดียว อาจพบอาการลูกอัณฑะฝ่อได้ พบได้ในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ มักพบอาการในช่วง 4-8 วันแรก
ตับอ่อนอักเสบ พบได้น้อย ผู้ป่วยจะมีอาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย อาจคลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลียมาก
การพยาบาล
ประคบบริเวณที่ปวดบวมด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวดบวมของขากรรไกร
ดูแลความสะอาดของปากและฟัน
ให้อาการอุ่น อ่อน ย่อยง่าย รสไม่จัด งดอาหารเปรี้ยวจัด
ประเมินภาวะแทรกซ้อน เช่น ลูกอัณฑะอักเสบ
รักษาตามอาการ เช่น เมื่อมีไข้สูงให้ยา และเช็ดตัวลดไข้
ไม่มีการรักษาเฉพาะ
ไม่มียาต้านไวรัส
ดูแลให้ได้รับการพักผ่อนเพียงพอ
การป้องกัน
การฉีดวัคซีน MMR (M = measles (โรคหัด),M = Mumps (โรคคางทูม), R= Rubella (โรคหัดเยอรมัน))โดยเด็กทุกรายควรได้รับการฉีดวัคซีนMMR โดยเข็มเเรกให้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 9-12 เดือน และเข็มที่ 2 ซ้ำเมื่ออายุ 2ปี 6 เดือน ถึง 7 ปี และไม่จำเป็นต้องฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันอีก ซึ่งภูมิคุ้มกันต้านทานโรคคางทูมจะคงอยู่ไปได้ตลอดชีวิต
เมื่อเป็นโรคคางทูมควรรักษาตัวอยู่บ้าน หากอาการหนักให้ไปโรงพยาบาล เพื่อลดการแพร่กระจายโรคคางทูมสู่ผู้อื่น