Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

การพยาบาลเด็กและวัยรุ่นที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร, อ้างอิง…

- - - - ภาวะที่ได้รับสารอาหารลดลง เป็นสาเหตุการขาดสารอาหารที่พบบ่อยที่สุด การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังทำให้ไม่อยากรับประทานอาหาร หรือเบื่ออาหาร เด็กที่มีปัญหาด้านการดูดกลืน เด็กสมองพิการ เด็กที่มีปากแหว่งเพดานโห่ว
      - ภาวะที่มีการย่อยการดูดซึมผิดปกติ ได้แก่กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง ท่อน้ำดีตีบตัน ทำให้มีความผิดปกติของการดูดซึมอาหาร
      - ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำสารอาหารที่ได้รับไปใช้งานได้ เช่น ภาวะเลือดเป็นกรด ภาวะทีกระบวนการเผาผลาญล้มเหลวจากการที่อวัยวะล้มเหลว
      - ภาวะที่ร่างกายต้องการพลังงานมากกว่าปกติเช่น ตั้งครรภ์ ซีด มีไข้ไฟไหม้ ภาวะติดเชื้อร่างกายต้องการพลังงานเพิ่มเพื่อต่อสู้เชื้อโรค ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ร่างกายมีการเผาผลาญสูงขึ้น โรคมะเร็ง โรคปอด โรคหัวใจ
      - การขับถ่ายเร็ว ระยะเวลาที่อาหารอยู่ในระบบทางเดินอาหารน้อย
    - - ปัจจัยแวดล้อมด้านเศรษฐกิจ
      - ฐานะครอบครัว
      - สังคม
  - - - สาเหตุจากการได้รับอาหารไม่ครบถ้วนทั้งด้านคุณภาพและปริมาณ
        
        1) ทารกและเด็กได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
        
        2) การขาดความรู้ในการให้อาหารทารกและเด็ก ทารกไม่ได้รับการเลี้ยงดูด้วยนํ้านมมารดา
        
        3) สภาพแวดล้อมที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เด็กป่วยเป็นโรคติดเชื้อบ่อย ทำให้เบื่ออาหาร
        
        4) ปัจจัยอื่นๆ เช่น การเลี้ยงดู ความเชื่อของบิดามารดา ความเจ็บป่วย ถูกงดอาหารแสลงตามความเชื่อ
      - อาการและอาการแสดง
        
        ในช่วงแรกไม่พบอาการผิดปกติ นอกจากการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวค่อนข้างช้า ร้องกวน ไม่ร่าเริง ส่วนความสูงยังคงปกติ เมื่อเป็นนานขึ้นน้ำหนักตัวจะลดลง ตัวเล็ก ผอม ไม่สูงถ้าชั่งน้ำหนักและวัดความสูง เด็กจะเบาและเตี้ยกว่ามาตรฐานของเด็กเพศและวัยเดียวกัน ระยะนี้จะเริ่มซึม เบื่ออาหาร
        
        ภาวะขาดพลังงานรุนแรง (Marasmus) หรือโรคผอมแห้ง มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เกิดจากการได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ จึงมีการสลายไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงาน ทำให้กล้ามเนื้อและไขมันมีขนาดลดลง อาการเริ่มแรกไม่ชัด อาจซึมหรือมีอารมณ์หงุดหงิด ต่อมาเริ่มไม่โต ผอม ผิวหนังเหี่ยวย่น ขาดไขมันชั้นใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อฝ่อลีบ อ่อนแรง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง ร้องกวน หงุดหงิดง่าย เชื่องช้า ผมบาง ร่วง สีจาง เล็บอ่อน พัฒนาการช้า ตาแห้ง เมื่อเป็นนานมักพบอุณหภูมิกายต่ำ ความดันโลหิตต่ำ ชีพจรช้า
        
        ภาวะขาดโปรตีนรุนแรง (Kwashiorkor) เกิดจากการขาดโปรตีนขณะที่ยังได้รับพลังงานเพียงพอพบบ่อยในเด็กอายุ1-2 ปี ที่ได้รับอาหารตามวัยไม่เพียงพอ เกิดการสลายโปรตีนที่เก็บสะสมในร่างกาย ทำให้มีอาการบวม จาก Albumin ในเลือดต่ำ ในระยะแรกจะมีหลังเท้าเริ่มบวม ต่อไปแขนขาจะบวมทั้ง 2 ข้าง และอาจบวมทั้งตัว และอาจมีน้ำในช่องท้องพบตับโตจากการสะสมไขมันที่ตับ
        พบได้น้อยกว่า Marasmus แต่อัตราตายสูงกว่า
      - พยาธิสภาพ
        
        1) ต่อมไร้ท่อ ฮอร์โมน Insulin ต่ำ cortisol และ adrenaline เพิ่มขึ้น growth hormone และน้ำตาลกลูโคสในเลือดอาจต่ำหรือปกติ
        
        2) ภูมิคุ้มกัน ต่ำ ติดเชื้อง่าย มักมีการติดเชื้อที่รุนแรง และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตที่สําคัญ
        
        3) หัวใจและหลอดเลือด marasmus อาจมี cardiac output ลดลง ทำให้ความดันโลหิตต่ำ ชีพจรช้า หากมีภาวะโลหิตจาง ระดับโปแตสเซียมต่ำ หรือขาดวิตามินบี1 อาจมีปัญหาการทำงานของหัวใจ หัวใจเต้นผิดจังหวะจากเกลือแร่ผิดปกติส่วน kwashiorkor ต้องระวังเรื่องความสมดุลของน้ำอาจขาดหรือเกิน และพบ pericardial effusion ได้
        
        4) การหายใจ กล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจรวมทั้งกระบังลมลดลง มีผลต่อ vital capacity, minute ventilation, inspiratory pressure และลดการตอบสนองของร่างกายต่อภาวะขาดออกซิเจน หากฟอสเฟตหรือโปแตสเชียมในเลือดต่ำด้วยจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงมากขึ้น
        
        5) ทางเดินอาหาร การหลั่งกรดน้อยลง เยื่อบุลําไส้เล็กบาง villi สั้นลง ทําให้ขาดเอนไซม์ disaccharidase
        
        6) ระบบโลหิต ซีดหรือสร้างเม็ดเลือดแดงได้น้อยลง จากการขาดธาตุเหล็กและสารอาหารอื่นๆ เช่น โฟเลต ไรโบฟลาวิน วิตามินอี ทองแดง
        
        7) สมองและพัฒนาการ ขนาดสมอง จํานวนเซลล์ประสาทmyelination การเชื่อมต่อ และการสร้างสารสื่อประสาทลดลง ทําให้มีพัฒนาการช้าในทุกด้าน
        
        8) กระดูกและ ฟัน ฟันผุ ตัวเตี้ย อาจพบภาวะขาดวิตามินดีร่วมด้วย
        
        9) อิเล็กโทรไลต์ ผู้ป่วย PEM รุนแรงจะมีโปแตสเซียมในเลือดต่ำ ขณะที่โซเดียมในร่างกายและกล้ามเนื้อสูงขึ้น ส่วนแมกนีเซียม ฟอสเฟตและสังกะสีในเลือดมักจะต่ำ ภาวะฟอสเฟตในเลือดต่ำเป็นภาวะที่ต้องรีบรักษาเพราะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
        
        10) ไต มีการกรองลดลงโดยเฉพาะรายที่มีภาวะขาดน้ำ ไตขับโซเดียม กรดที่เกิน และน้ำที่ได้รับลดลง ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้บ่อย
        
        11) ผิวหนัง ขาดกรดอะมิโน tyrosine ซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดสีของผมและผิวหนัง ทำให้ผมสีอ่อน ผิวหนังบางลง ไขมันใต้ผิวหนังที่น้อยลงทำให้หนังเหี่ยว
      - การวินิจฉัยโรค
        
        การซักประวัติ
        
        การตรวจร่างกาย
        3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
        4.เกณฑ์การวินิจฉัยภาวะทุพโภชนาการ
      - การรักษา
        
        ระยะแรก เป็นการรักษาช่วยชีวิต จนมีอาการคงที่และเริ่มอยากอาหาร
        
        ระยะที่ 2 เป็นการรักษาฟื้นฟูโภชนาการหลังจากควบคุมอาการของโรคติดเชื้อและปัญหาทางเมตาบอลิกได้แล้ว
        
        ระยะที่ 3 การติดตาม ครอบครัวสามารถดูแลการให้อาหารแก่เด็กได้ถูกต้อง
    - - สาเหตุ
        
        1) ขาดโปรตีนและพลังงาน หรือขาด Retinol binding protein (REP) ซึ่งเป็นโปรตีนสำหรับขนส่งวิตามินเอจากตับไปสู่อวัยวะต่าง ๆ
        
        2) ได้รับอาหารที่มีวิตามินเอไม่เพียงพอ
        
        3) ปัญหาในระบบทางเดินอาหารหรือมีภาวะการดูดซึมไขมันบกพร่อง
        
        4) โรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น โรคหัดและโรคปอดอักเสบส่งผลทำให้ระดับวิตามินเอในเลือดต่ำลง
        
        5) ภาวะขาดสังกะสี มีผลต่อการสร้าง RBP ในตับลดลง
      - อาการและอาการแสดง
        
        1อาการทางตา (Xerophthalmia)
        
        1.2 เยื่อบุตาแห้ง (Xerophthalmia)
        
        1.3 ตาบอดกลางวัน(Hemeralopia)
        
        1.4 ตาบอดชนิดกระจกตาอ่อนหรือแก้วตาเป็นแผล(Keratomalacia)
        
        1.1 ตามัวในที่มืดหรือตาบอดกลางคืน (Nyctalopia/
        night blindness)
        
        การเจริญเติบโตหยุดชะงัก
        
        เยื่อบุต่างๆ ของร่างกายแห้ง ภูมิต้านทานเฉพาะที่ลดต่ำ เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจและทางเดินอาหารได้ง่าย ทําให้เป็นหวัด และมีน้ำมูกง่าย
        
        ผิวหนังแห้งเป็นเกล็ด (Dry Scaly skin)
        
        5) ฟัน ไม่เงา มีคราบจับทำให้เคลือบฟันไม่สมบูรณ์
      - การวินิจฉัยโรค
        
        ซักประวัติด้านโภชนาการ อาการและอาการแสดง และวิตามินเอในเลือด (serumretinol) ปกติมีค่ามากกว่า 20-50 mcg/dl ถ้าน้อยกว่า 10 mcg/dl แสดงว่าขาดวิตามินเอ หรือตรวจretinol binding protein ค่าปกติ 35-60 mg/L การตรวจความผิดปกติ เซลล์เยื่อบุตาขาว
      - การรักษา
        
        ต้องให้วิตามินเอทดแทน ทางปากหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดํา หรือกล้ามเนื้อ หากมีการอักเสบหรือมีแผล ให้ยาปฏิชีวนะหยอดตา
    - - สาเหตุ
        
        1) ได้รับอาหารที่มีวิตามินบี1 ไม่เพียงพอ เช่น การกินข้าวที่ขัดสีแล้ว
        
        2) ร่างกายมีความต้องการวิตามินบี1 เพิ่มขึ้น1 ได้แก่ การ
        กินคาร์โบไฮเดรตในปริมาณมาก
        
        3) รับประทานอาหารที่มีสารต้านฤทธิ์วิตามินบี 1 กลุ่มที่ถูกทำลายได้ด้วยความร้อน เช่น เอนไซม์ thiaminase ที่มีในปลาดิบ ปลาน้ำจืด
        
        4) สูญเสียวิตามินบี1 จากร่างกายจากการล้างไต และการได้รับยาขับปัสสาวะ
        
        5) ภาวะขาดโปรตีนและพลังงาน
      - อาการและอาการแสดง
        
        ทำให้เกิดโรคเหน็บชา (Beri-Beri)โรคเหน็บชาในเด็ก
        ทารก (Infantile Beri-Beri) อายุ2-6 เดือนทารกจะมีอาการเบื่อนม กระวนกระวาย อารมณ์หงุดหงิด ร้องกวน หอบ
        เหนื่อย ตัวบวม หัวใจเต้นเร็ว หัวใจโต ร้องเสียงแหบหรือไม่มีเสียง
      - การวินิจฉัยโรค
        
        ซักประวัติโภชนาการ การดื่มนมจากมารดาร่วมกับมารดามีอาการเหน็บชา หรือใน
        เด็กโตมีประวัติการได้รับวิตามินบี1 ต่ำ หรือได้รับสารต้านฤทธิ์ thiamine
      - การรักษา
        
        เด็กที่มีอาการรุนแรงให้การรักษาโดยให้วิตามินบี1 แบบฉีดเข้ากล้ามหรือฉีดทางหลอดเลือดดํา 10-25 มก./วัน นาน 2 สัปดาห์ จากนั้นให้กินวิตามินบี1 ต่อในขนาด 5-10 มก./วัน นาน 1 เดือน ในรายที่มีอาการไม่รุนแรงให้รักษาโดยให้กินวิตามินบี1 ขนาด 10 มก./วัน
    - - สาเหตุ
        
        รับประทานอาหารไม่เพียงพอ ดื่มนม < 1 แก้ว/วัน พบร่วมกับการขาดวิตามินบีตัวอื่น ๆ
      - อาการและอาการแสดง
        
        ถ้าขาดทําให้เกิดอาการ เจ็บคอ อักเสบที่ริมฝีปาก มุมปากจะแตกเป็นแผลทั้ง
        2 ข้าง เรียกว่า ปากนกกระจอก
      - การรักษา
        
        ให้วิตามินบี 2 รับประทานครั้งละ 2 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง นาน 2-3 สัปดาห์ และอาจให้วิตามินบีชนิดอื่นร่วมด้วย
    - - สาเหตุ
        
        รับประทานวิตามินบี 6 ไม่เพียงพอ
        
        ใช้ความร้อนในการปรุงอาหารนานเกินไป
        
        ลำไส้มีการดูดซึมที่ผิดปกติ
        
        รับประทานยาบางชนิดที่ออกฤทธิ์ต้านวิตามินบี 6
        
        มีภาวะที่ทำให้ต้องการ บี 6 เพิ่มขึ้น เช่น การติดสุราเรื้อรัง
      - อาการและอาการแสดง
        
        อาการชัก ปลายประสาทอักเสบ อาการทางผิวหนังและ
        อาการซีดชนิดเม็ดเลือดแดงเล็กติดสีจาง
      - การรักษา
        
        ให้วิตามินบี 6 ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 50-100 มิลลิกรัม
        
        รายที่ขาดแบบต้องอาศัยวิตามินนี้ (dependency)
        อาจฉีดเข้ากล้ามเนื้อวันละ2-10 มิลลิกรัม หรือรับประทานวันละ 10-100 มิลลิกรัม
    - - สาเหตุ
        
        การดื่มนมมารดาที่รับประทานอาหารมังสวิรัติหรือในกลุ่มบุคคลที่บริโภคอาหารมังสวิรัติอย่าง เคร่งครัดโดยไม่ดื่มนม
      - อาการและอาการแสดง
        
        เลือดจางชนิดร้ายแรง (pernicious anemia : PA) ความผิดปกติของต่อมไรท่ออาจเกิดขึ้นร่วมด้วย และอาจพบมีอาการของความบกพร่องทางภูมิคุ้มกันโรค
      - การรักษา
        
        cyanocobalamin hydroxo-B 12 ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือรับประทาน
    - - สาเหตุ
        
        ได้รับอาหารที่มีวิตามินซีไม่เพียงพอ
        
        ทารกได้รับนม โดยที่ไม่ได้กินอาหารอื่นที่มีวิตามินซีเป็นส่วนประกอบ
      - อาการและอาการแสดง
        
        เหงือกจะบวม มีสีม่วง เลือดออกตามไรฟัน หรือที่เรียกว่า “โรค
        ลักปิดลักเปิด” (Scurvy) แผลหายช้า
      - การวินิจฉัย
        
        จากอาการและอาการแสดงของโรคขาดวิตามินชีร่วมกับประวัติการกินอาหารที่ไม่มี
        วิตามินชีและภาพถ่ายรังสีกระดูก
      - การรักษา
        
        ให้วิตามินซี 100 มก.วันละ 3 เวลา กินหรือให้ทางหลอดเลือดดํา จนครบ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นให้ลด ขนาดเป็น 100 มก. วันละครั้งต่อเนื่องไปจนกว่าระดับวิตามินซีจะเป็นปกติ และการกิน
        อาหารที่มีวิตามินซีสูง
    - - สาเหตุ
        
        ภาวะการดูดซึมไขมันบกพร่อง
        
        โรคขาดโปรตีนและพลังงาน
        
        ทารกเกิดก่อนกำหนด และน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่า 1,500 กรัม
      - อาการและอาการแสดง
        
        ระดับฮีโมโกลบินต่ำ จำนวนเม็ดเลือดแดงตัวอ่อน (reticulocyte) สูง ไม่เกินร้อยละ 10 มี
        เกล็ดเลือดเพิ่มขึ้น ลักษณะของเม็ดเลือดแดงมีการแตกผิดปกติ บวม ที่ขา อวัยวะเพศ และเปลือกตา
      - การรักษา
        
        ให้วิตามินอีชนิดกินในขนาด 25 ยูนิต/กก./วัน ซึ่งภาวะเม็ดเลือดแดงแตกสามารถหายได้
        หลังจากได้รับการรักษา
    - - สาเหตุ
        
        รับประทานไม่เพียงพอ
        
        ผิวหนังสังเคราะห์ไม่พอจากถูกแสงแดดไม่เพียงพอ
        
        การดูดซึมลดลงจาก malabsorption syndrome สาเหตุต่าง ๆ
      - อาการและอาการแสดง
        
        ทำให้ห้เกิดโรคกระดูกอ่อน(rickets) ในเด็ก มักพบในเด็กอายุ 1- 3 ปี
      - การรักษา
        
        ให้รับประทานวิตามินดี 50-150 ไมโครกรัม/กิโลกรัม/วัน เมื่อกระดูกเชื่อมต่อและติดกันดีอาจให้ตามความต้องการประจำวัน คือ 10 ไมโครกรัม/วัน และได้จากอาหาร
    - - สาเหตุ
        
        การขาดในอาหาร เช่น การต้มสุกทำให้เสียโฟเลตไป
        
        การดูดซึมไม่ดี
        
        ยาที่มีผลยับยั้งการทำงานของเซลล์ใน s phase ทำ
        ให้การสร้าง DNA สร้างได้ไม่ด
      - อาการและอาการแสดง
        
        เกิดการเปลี่ยนแปลงเมทาบอลิซึมในหลายระดับ รวมถึง
        การแบ่งเซลล์ที่ผิดปกติ และภาวะเลือดจางชนิด megaloblastic anemia
    - - สาเหตุ
        
        ร่างกายได้รับอาหารที่มีสารไอโอดีนต่ำหรือไม่ได้เกลือที่เสริมสารไอโอดีน
      - อาการและอาการแสดง
        
        มีการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองหยุดชะงัก อาจเป็นคนเตี้ยแคระ หูหนวก เป็นใบ้ ตาเหล่ เดินกระตุกหรือมีปัญญาอ่อนแต่กําเนิดที่เรียกว่า โรคเอ๋อ
      - การวินิจฉัย
        
        ตรวจวัดระดับไอโอดีนในปัสสาวะ พบต่ำกว่า 20 ไมโครกรัม/เดซิลิตร
        
        ค่า T3:T4 ในพลาสม่า = 5:5 หรือ 6:4
        
        ขนาดของต่อมธัยรอยด์โต เกรด 0 ต่อมโตปกติ คือ มีขนาดเท่ากับหัวแม่มือของเจ้าของ
      - การรักษา
        
        ให้รับประทานเกลือไอโอดีน ให้ไอโอดีนผสมในน้ำดื่ม หรือชนิดเม็ด
- - - - Escherichia coli (E. coli) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
        
        Enterotoxigenic escherichia coli (ETEC) ทำให้เกิดอุจจาระร่วงรุนแรงที่มีอาการขาดน้ำ
        
        Enteropathogenic escherichia coli (EPEC) ทำให้เกิดอุจจาระร่วงของทารก
        
        Enteroadherent escherichia coli (EAEC) ทำให้เกิดอุจจาระร่วงได้ทุกกลุ่มอายุ
      - Shigella มี 4 แบบ คือ S.flexneri, S.sonnei, S.dysenteriae type 1 และ S.boydii
      - Vibrio cholerae (อหิวาตกโรค) ซึ่งประกอบด้วย V. cholerae 01 สร้างสารพิษ
    - - จากอาหาร เช่น ให้นมมากเกินไปหรือนมที่มีน้ำตาลมากเกินไป
      - ขาดน้ำย่อยแลคเตส มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
      - พิษของยา เช่น ได้รับยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะพวกเพนนิซิลลินนานๆ
      - มีความผิดปกติของต่อมธัยรอยด
      - ได้รับเคมีบําบัดหรือฉายรังสีรักษา ทําให้เกิดลําไส้อักเสบได้
      - มีความผิดปกติของลําไส้ อุดตัน อักเสบ ลําไส้สั้น การดูดซึมผิดปกต
      - สภาพอารมณ์ที่ไม่ปกติ เช่น ตื่นเต้น วิตกกังวล
  - - - โรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัส ในเด็กจะเกิดจากเชื้อ Rotavirus ผู้ป่วยอาจมีอาการไข้ ไอ หวัดเล็กน้อย เป็นอยู่ 1-2 วัน
      - โรคอุจจาระร่วงรุนแรง หรือ อหวาตกโรค จากเชื้อ Vibrio cholera ลักษณะของอุจจาระที่มีสีขาวขุ่นเหมือนน้ำซาวข้าว
      - โรคอุจจาระร่วงจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อสารพิษจากเชื้อแบคทีเรียอาการปวดท้องแบบตะคริว(cramping) ร่วมด้วย
      - ไข้ไทฟอยด์หรือไข้รากสาดน้อยอาการ ค่อยๆ มีไข้สูง หนาวสั่น อาจมีอาการคลื่นไล้ อาเจียน อ่อนเพลีย ถ่ายเหลวหรือท้องผูก
      - 5.โรคบิด อาการอ ปวดท้อง ปวดเบ่ง อุจจาระถุกเบ่งออกมาครั้งละน้อยๆ และบ่อย ตั้งแต่ 10-15ครั้งขึ้นไป
      - 6 การขาดน้ำย่อยแล็กเทส อาการอุจจาระร่วง ปวดท้อง มีลมมาก แน่นท้อง บางรายมีเฉพาะปวดท้อง แน่นท้อง ภายหลังดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง.
      - 7.การแพ้โปรตีนนมวัว อาการอุจจาระร่วงเรื้อรัง อุจจาระเหลวเป็นน้ำมีมูกหรือมูกเลือด อาเจียน ปวดท้อง
  - - - การให้สารน้ำทางปาก (oral rehydration therapy) การใช้สารละลายเกลือแร่
      - การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ (intravenous rehydration therapy)ผู้ป่วยที่อาเจียนมาก ไม่สามารถดื่มสารน้ำทางปากได
    - - การเริ่มกินอาหารเร็วจะช่วย
        กระตุ้นการสร้างใหม่ของเซลล์เยื่อบุลำไส้เล็ก และ brush border disaccharidases ให้ฟื้นตัว
    - - ยาแก้อุจจาระร่วง (Antidiarrheal drugs)
        
        ยาลดการหลั่งของสารน้ำและเกลือแร่จากลำไส้ (antisecretory drug) ได้แก่ Racecadotril
      - สารดูดซับ (adsorbents) ได้แก่ Diosmectite, Kaolin และ Activated charcoal ช่วยในการลดการอักเสบของเยื่อบุลำไส
      - ยาที่ลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ (Antimotility agents) ได้แก่ Ioperamide
      - ยาที่ลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ (Antimotility agents) ได้แก่ Ioperamide
      - ยาแก้อาเจียน (antiemetics) ใช้ในการรักษาอาการอาเจียนในผู้ป่วยเด็ก ได้แก่Ondansetron, Domperidone, metoclopramide
    - - ciprofloxacin 20 มก./กก./วัน แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง หรือ
        norfloxacin 15-20 มก./กก./วัน แบ่งให้วันละ 2 ครั้งหรือ ceftriaxone 50-100 มก./กก./วัน เป็นเวลา 3-5 วัน และปรับยาปฏิชีวนะเมื่อได้ผลเพาะเชื้อในอุจจาระหรือในเลือด
- - - - การซักประวัติ อาการและอาการและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
        ส่วนใหญ่จะอาศัยอาการและอาการแสดงเป็นหลัก