ระบบอวัยวะ

ระบบกระดูก

หน้าที่

ค้ำจุนโครงสร้างของร่างกายและทำหน้าที่รองรับอวัยวะต่าง ๆ ให้คงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม

ป้องกันอวัยวะภายในร่างกายที่สำคัญ เช่น สมอง หัวใจ และปอด รวมไปถึงหลอดเลือดและเส้นประสาทที่ทอดยาวอยู่ภายในแนวกระดูก จากอันตรายและการกระทบกระเทือนต่าง ๆ

เป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อและเอ็นที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว

สร้างเม็ดเลือด ไขกระดูกที่อยู่ภายในกระดูกจะทำหน้าที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว

เป็นแหล่งสะสมสำคัญของธาตุแคลเซียมละฟอสฟอรัส

ช่วยสลายพิษในร่างกายเนื้อเยื่อกระดูกมีความสามารถในการดูดซึมและเก็บสะสมโลหะหนักที่เป็นพิษต่อร่างกายในกระแสเลือดเพื่อลดความเป็นพิษให้แก่ร่างกายและเมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะปกติกระดูกจึงค่อยๆปลดปล่อยโลหะหนักเหล่านั้นออกมาและกำจัดออกโดยระบบขับถ่ายต่อไป

การดูเเล

ออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก อย่างสม่ำเสมอ ควรออกกําลงกายสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาทีโดยเฉพาะผู้สูงอายุและวัยหมดประจําเดือน เน้นการออกกำลังกายที่ลงน้ำหนัก เช่น เดินไกล วิ่งเหยาะๆ เพื่อป้องกันการสูญเสียกระดูก อีกทั้งยังทําให้กล้ามเนื้อและระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้นด้วย

หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับกระดูก ได้แก่ การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การดื่มเครื่องดื่มที่ผสมคาแฟอีน เนื่องจากทำให้การดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ลดลง ระวังการใช้ยาเสตียรอยด์ ยาลูกกลอน ซึ่งมีผลทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน

ปรึกษาแพทย์เมื่อมีข้อสงสัย เพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสม ส่งตรวจมวลกระดูกหรือความหนาแน่นของมวลกระดูกในกรณีที่มีปัจจัยเสี่ยง และให้การรักษาเมื่อตรวจพบโรค

รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง ผู้ใหญ่อายุน้อยกว่า 50 ปีต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม อายุมากกว่า 50 ปี ต้องการแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัม แหล่งที่มาของแคลเซียมได้จากอาหารหลายประเภท เช่น นม โยเกิร์ต ชีส ปลาตัวเล็กทอด กุ้งแห้ง กะปิ ผักคะน้า ใบยอ ดอกแค เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง และงาดําโดยทั่วไปการรับประทานอาหารไทยจะได้รับแคลเซียมประมาณ 400 –500 มิลลิกรัมต่อวัน หรือน้อยกว่าครึ่งหนึ่งที่ร่างกายได้รับ จึงควรดื่มนมเสริม

พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง

การสูบบุหรี่ นิโคตินในบุหรี่จะขัดขวางร่างกายในการนำแคลเซียมไปใช้ มวลกระดูกลดลงและเปราะบางมากขึ้น

การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมที่ลำไส้ เกิดการสลายกระดูกเพิ่มขึ้น เพิ่มความเสี่ยงให้กระดูกพรุนและหักได้ง่ายขึ้น และผู้ที่ดื่มชา กาแฟ
น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนจะทำให้มวลกระดูกลดลง ทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น

ทานยาสเตียรอยด์ และยาลูกกลอน มีผลทำให้เกิดความเสี่ยงของภาวะกระดูกพรุนมากขึ้นได้

ไม่ออกกำลังกาย ไม่ขยับตัว เสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน

ระบบผิวหนัง

ระบบย่อยอาหาร

ระบบไหวเวียนโลหิต

หน้าที่

ระบบกล้ามเนื้อ

พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง

การดูเเล

นอนไม่ดึก และนอนให้พอ เพื่อให้ฮอร์โมนช่วยสร้างและซ่อมแซมร่างกาย (growth hormone) หลั่งออกมามากพอ

ออกกำลังต้านแรง เช่น เล่นเวท ยกน้ำหนัก ดึงสปริง ดึงยางยืด พิลาทิส

ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ เช่น เดิน วิ่ง รวมเวลากันให้ได้อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน (อย่างต่ำควรเป็น 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์) ติดต่อกัน 20 สัปดาห์ หรือ 5 เดือนขึ้นไป

หน้าที่

กล้ามเนื้อเรียบ ทำงานภายใต้ระบบประสาทอัตโนมัติเช่นกัน พบได้ในทางเดินอาหาร

กล้ามเนื้อหัวใจ ทำงานภายใต้ระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งเราไม่สามารถควบคุมได้

กล้ามเนื้อลาย ทำงานภายใต้ความคิดของเรา คือเราสามารถสั่งการได้ เช่นกล้ามเนื้อ แขน ขา

หากได้รับโปรตีนไม่เพียงพอที่ร่างกายต้องการก็จะไม่สามารถสร้างกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถ้าลดน้ำหนักก็จะสูญเสียกล้ามเนื้อมากกว่าปกติ

ถ้ากล้ามเนื้อไม่ได้รับการกระตุ้นร่างกายก็จะไม่สร้างกล้ามเนื้อขึ้นมา และถ้าไม่ได้ออกกำลังกายแบบมีแรงต้านกล้ามเนื้อก็จะไม่เพิ่มขึ้นแถมยังอาจสูญเสียไปบางส่วนด้วย

การนอนหลับไม่เพียงฮอร์โมนก็จะทำงานผิดปกติ ระดับคอร์ติซอลก็จะสูงขึ้นและทำให้โอกาสที่จะเก็บสะสมคาร์โบไฮเดรตเป็นไขมันสูงขึ้นตามไปด้วย และเมื่อเหนื่อยก็จะไม่สามารถออกกำลังกายได้ร่างกายก็ไม่สามารถสร้างกล้ามเนื้อรวมถึงอาจสูญเสียกล้ามเนื้อบางส่วนไปด้วย

การดูเเล

พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง

หน้าที่

การดูเเล

พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง

การดูเเล

พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง

หน้าที่

หนังกำพร้าเป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของผิวหนังที่ปกคลุมไปเกือบทั้งหมดของร่างกาย หนังกำพร้านั้นไม่มีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยง จึงต้องรับสารอาหารจากหนังแท้เท่านั้น ในชั้นหนังกำพร้ามีเซลล์ที่ชื่อ เมลาโนไซด์ มีหน้าที่ในการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ทำให้สีผิวของแต่ละคนมีสีที่แตกต่างกัน หน้าที่หลักของหนังกำพร้าคือ การป้องกันอวัยวะ ภายในจากแสงแดด น้ำ และสารพิษต่างๆ รวมถึงเชื้อโรค ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งยังมีหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายด้วยการขับเหงื่ออีกด้วย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกายด้วย

บำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ เช่น ทาครีมบำรุงที่เหมาะสมกับสภาพผิวทุกเช้าเย็น และอย่าลืมทาครีมกันแดดในทุกเช้า เพื่อป้องกันรังสียูวีที่จะมาทำร้ายผิวได้

การดื่มน้ำสะอาดน้ำป็นส่วนประกอบที่สำคัญต่อร่างกาย การดื่มน้ำจะช่วยรักษาความชุ่มชื่น และความสมดุลให้แก่ผิวได้เป็นอย่างดี

การออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที เป็นการขับสารพิษออกจากร่างกายทางเหงื่อ ทำให้ระบบไหลเวียนต่างๆ ทำงานดีขึ้น ผิวพรรณก็จะสวยงาม ระบบขับถ่ายดีขึ้น

การสครับผิวจะช่วยให้เซลล์ที่ตายแล้วหลุดลอกออกไป เพื่อให้เซลล์ใหม่ได้เข้ามาแทนที่ ซึ่งผิวควรสครับ
อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งก็เพียงพอ หากมากกว่านั้นอาจทำให้ผิวหนังของเกิดการคายเคือง และแพ้ได้ง่าย

นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอในเวลากลางคืนร่างกาย ฟื้นฟูซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ รวมไปถึงผิวหนัง ควรนอนวันละไม่ถึง 6 ชั่วโมง ก็อาจเป็นการทำร้ายผิวทางอ้อม สังเกตได้ว่าผิวหน้าจะแห้ง แต่งหน้าไม่ติด ผิวพรรณไม่เต่งตึงไม่สดชื่น

การอาบน้ำร้อนนานจนเกินไปผิวหนังของเราอาจแห้งเสีย แตกลอก และขุมขนกว้าง

ชั้นใต้ผิวหนัง มีอีกชื่อเรียกว่า “ชั้นไขมัน” ประกอบไปด้วยเซลล์ไขมันเป็นหลัก ชั้นใต้ผิวหนังแต่ละคนมีขนาดไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจำนวนปริมาณไขมันสะสมของคนแต่ละคน ชั้นใต้ผิวหนังทําหน้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย อีกทั้งยังทำหน้าที่ช่วยลดแรงกระแทกจากภายนอกอีกด้วย ชั้นไขมันจะพบเจอได้มากในบริเวณสะโพก เอว ต้นขา หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “เซลลูไลต์” โดยเซลลูไลต์ก็สามารถพบเจอได้ในบุคคลที่มีรูปร่างผอมด้วยเช่นกัน

นอกจากจะมีหน้าที่ในการปกป้องร่างกายจากอันตรายภายนอก และขับถ่ายออกเสียแล้ว ผิวหนังยังมีหน้าที่ในการรับความรู้สึกอีกด้วย โดยผิวหนังจะรับความรู้สึกแล้วส่งข้อมูลไปยังสมอง เพื่อให้สมองสั่งการให้ร่างกายตอบสนองอีกทีหนึ่ง นอกจากนี้ผิวหนังยังสามารถทำหน้าที่ดูดซึมสารบางชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้อีกด้วย เช่น ยาทาบรรเทาอากาศแก้ปวด อีกทั้งผิวหนังยังทำหน้าที่รายงานความผิดปกติของร่างกายอีกด้วย โดยจะแสดงออกมาให้เห็นได้ทางผิวหนัง เช่น อาการหน้าแดง ผืนแดงขึ้นเนื่องจากการแพ้ยาหรือการแพ้อาหาร

การทาครีมกันแดด เพราะรังสียูวีจากแดดเป็นศัตรูของผิว ทำให้ผิวไหม้ คล้ำเสีย หยาบกร้าน แถมยังเสี่ยงต่อโรคมะเร็งผิวหนัง

หนังแท้เป็นชั้นผิวหนังที่อยู่ถัดจากชั้นหนังกำพร้า มีความหนามากกว่าหนังกำพร้า ในชั้นหนังแท้จะประกอบไปด้วยโปรตีน 2 ชนิด ได้แก่ เนื้อเยื่อคอลลาเจน (Collagen) และเนื้อเยื่ออีลาสติน (Elastin)

การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยสร้างกระบวนการฟื้นฟู และซ่อมแซมเซลล์ผิวใหม่ให้ได้ผลดีที่สุด

เลือกรับประทานอาหารที่ีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันหรือคอเลสเตอร์รอลสูง

ออกกำลังกายอย่างสม่าเสมอและให้เหมาะสมกับวัย ซึ่งจะทำให้การทำงานของหัวใจดีขึ้น และแข็งแรง

หมั่นตรวจสอบสุขภาพตนเอง โดยไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทุกปี

นำอาหารและสารอื่นๆ ไปเลี้ยงเซลล์ของร่างกาย

หายใจ นำคาร์บอนไดออกไซด์ไปขับออกทางปอดเพื่อแลกเปลี่ยนออกซิเจนกลับมาใช้

การคงปริมาณน้ำของร่างกาย ช่วยควบคุมและรักษาดุลของน้ำภายในร่างกาย

ขับถ่ายนำของเสียซึ่งเกิดจากเมแทบอลิซึม
เพื่อขับออกภายนอกร่างกาย

Cigna_5-behavior-should-stop-prevent-hypertension_01

ทานอาหารรสเค็มจัด

น้ำหนักเกิน

ดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก

ความเครียด

สูบบุหรี่

Physiology-Skin-layer

ปาก คือจุดเริ่มต้นของระบบย่อยอาหาร โดยฟันทำหน้าที่บดอาหารให้มีชิ้นเล็กลงและง่ายต่อการย่อยนอกจากนี้ ในน้ำลายยังมีเอนไซม์แอลฟาอะไมเลส
ที่ช่วยย่อยอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต

กระเพาะอาหาร อวัยวะลักษณะคล้ายถุงซึ่งมีผนังกล้ามเนื้อที่
แข็งแรง ทำหน้าที่เป็นจุดพักอาหารและคลุกเคล้าอาหาร นอกจากนี้ ยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยอาหารให้มีลักษณะกึ่งเหลวก่อนจะส่งต่อไปยังลำไส้เล็ก

ลำไส้เล็ก คืออวัยวะลักษณะคล้ายท่อกลวงขดไปมาในช่องท้อง มีความยาวประมาณ 20 ฟุต และเป็นบริเวณที่มีการย่อยและดูดซึมสารอาหารมากที่สุด แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ลำไส้เล็กส่วนต้นหรือดูโอเดนัม สำไส้เล็กส่วนกลางหรือเจจูนัม และสำไส้เล็กส่วนปลายหรือไอเลียม โดยมีเอนไซม์จากตับอ่อนมาช่วยย่อยสารอาหารประเภทโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต รวมถึงน้ำดีจากตับที่ช่วยย่อยไขมันและกำจัดของเสียในเลือด

หลอดอาหาร เป็นกล้ามเนื้อที่มีลักษณะเป็นท่อกลวงยาวเชื่อมระหว่างคอหอยกับกระเพาะอาหาร ช่วยส่งอาหารไปยังกระเพาะอาหารด้วยการหดและคลายกล้ามเนื้อเป็นจังหวะ ส่วนบริเวณล่างของหลอดอาหารซึ่งเชื่อมต่อกับกระเพาะอาหารนั้นมีกล้ามเนื้อหูรูด ทำหน้าที่ป้องกันอาหารและกรดภายในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นมาที่หลอดอาหาร

ลำไส้ใหญ่ คืออวัยวะลักษณะคล้ายท่อกลวง ยาวประมาณ 5-6 ฟุต ได้แก่ ซีกัม โคลอน ลำไส้ตรงป็นลำไส้ใหญ่ส่วนสุดท้ายที่เชื่อมต่อกับทวารหนักกากอาหารที่เหลือจากกระบวนการย่อยอาหารในลำไส้เล็กจะถูกส่งมายังลำไส้ใหญ่ มีหน้าที่ดูดซึมน้ำ วิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารที่ตกค้างกลับเข้าสู่กระแสเลือด โดยกากอาหารจะถูกพักไว้ที่ส่วนซิกมอยด์จนกว่าลำไส้จะบีบตัวเพื่อส่งกากอาหารไปยังลำไส้ตรง จากนั้นลำไส้ตรงจึงส่งสัญญาณไปยังสมองให้ตัดสินใจว่าสามารถขับกากอาหารออกมาได้หรือไม่ หากสมองสั่งการให้ขับกากอาหาร กล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักก็จะคลายตัวเพื่อขับกากอาหารออกมาเป็นอุจจาระ

คอหอย อาหารที่กลืนลงไปจะเดินทางผ่านคอหอยและส่งต่อไปยังหลอดอาหาร ซึ่งในระหว่างกระบวนการนี้ หลอดลมจะปิดลงเพื่อป้องกันอาหารหลุดเข้าไปยังปอด

ทวารหนัก เป็นอวัยวะสุดท้ายของระบบย่อยอาหาร ประกอบด้วยส่วนหลัก ๆ

กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน มีหน้าที่ควบคุมการกลั้นอุจจาระ

กล้ามเนื้อหูรูดชั้นนอก เป็นกล้ามเนื้อใต้อำนาจจิตใจ จึงควบคุมการเคลื่อนไหวได้ โดยสามารถคลายกล้ามเนื้อเมื่อต้องการถ่ายอุจจาระ และหดกล้ามเนื้อเพื่อกลั้นอุจจาระ

กล้ามเนื้อหูรูดชั้นใน คอยควบคุมไม่ให้เกิดการขับถ่ายขณะนอนหลับ

การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงอาจส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหารสี่ยงเกิดอาการท้องผูก

การรับประทานอาหารเผ็ด หากรับประทานแล้วเกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง แสบร้อนกลางอก

การสูบบุหรี่ สารในบุหรี่อาจก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารคลายตัวและอาจก่อให้เกิดกรดไหลย้อน และอลกอฮอล์ยังอาจไปขัดขวางการดูดซึมสารอาหาร ส่งผลให้เยื่อบุกระเพาะอักเสบ

รับประทานอาหารให้ตรงเวลา ควรรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ในเวลาที่เหมาะสม โดยพยายามรับประทานอาหารแต่ละมื้อในเวลาเดียวกันทุกวัน

รับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ควรรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมกับระดับการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย โดยคำนวณปริมาณสารอาหารและแคลอรี่ของอาหารแต่ละชนิดก่อนรับประทาน

ดื่มน้ำให้เพียงพอ น้ำจะช่วยพาของเสียไหลผ่านระบบย่อยอาหารและทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น นอกจากนี้ เส้นใยอาหารยังต้องดูดซึมน้ำ จึงจะมีคุณสมบัติป้องกันอาการท้องผูกได้

7ad850_34e4f641fd5a4208a3ed214a8e95bb82

pngtree-human-skeleton-illustration-image_2249090

The_Digestive_System_450x531

download