Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การวินิจฉัยการตั้งครรภ์ F5A339E4-19E8-4D4D-92E4-587FAA0FB465, นศพต.อาทิตยา…
การวินิจฉัยการตั้งครรภ์
อาการและอาการแสดงที่คาดว่าจะตั้งครรภ์
(Presumptive signs of pregnancy)
1.การขาดประจำเดือน (cessation of menstruation or Amenorrhea)
มีประวัติประจำเดือนที่ปกติ และการขาดประจำเดือนนั้นนานกว่า 10 วันขึ้นไปหรือ ประจำเดือนขาดนับจากประจำเดือนครั้งสุดท้ายมากกว่า 45 วัน
2.อาการคลื่นไส้ (nausea with or without vomiting) เป็นอาการที่มักจะเป็นอาการแรกของการตั้งครรภ์พบได้ในสัปดาห์ที่ 4-14 ของการตั้งครรภ์ และพบมากในช่วยสัปดาห์ที่ 8-12 ของการตั้งครรภ์ มักเรียกว่าอาการแพ้ท้อง (morning sickness หรือ nausea gravidarum) ซึ่งอาจเกิดขึ้นในเวลาไหนของวันก็ได้ เป็นอาการที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน estrogen และเป็นกลไกที่ร่างกายจะป้องกันทารกในครรภ์จากสารพิษในระยะแรกของการตั้งครรภ์
3.อาการถ่ายปัสสาวะบ่อย (frequent urination or disturbance in urination) เป็นการถ่ายปัสสาวะบ่อยโดยไม่มีอาการปวดแสบหรือมีไข้ เกิดเนื่องจากมีการกรองน้ำปัสสาวะที่ไตเพิ่มขึ้น ในขณะที่มดลูกที่โตขึ้นกดเบียดกระเพาะปัสสาวะทำให้แรงดันกระเพาะปัสสาวะเพิ่มขึ้นจนรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย
4.อาการเหนื่อยล้ามาก (fatigue) เป็นอาการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และการเผาผลาญสารอาหารที่เปลี่ยนไป มักปรากฏในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์
5.ความรู้สึกว่าเด็กดิ้นครั้งแรก (quickening) เป็นความรู้สึกว่ามีสิ่งเคลื่อนไหวภายในครรภ์ สำหรับสตรีครรภ์แรกจะรู้สึกถึงการดิ้นครั้งแรกประมาณอายุครรภ์ 18-20 สัปดาห์ และสตรีครรภ์หลังจะรู้สึกประมาณอายุครรภ์16-18 สัปดาห์ ทั้งนี้การรับรู้ว่าลูกดิ้นเป็นเพราะมดลูกที่โตขึ้นพ้นอุ้งเชิงกรานทำให้ผนังมดลูกชิดผนังหน้าท้อง เมื่อทารกดิ้นกระทบผนังมดลูกจึงทำให้รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวดังกล่าว ดังนั้นการรู้สึกลูกดิ้นครั้งแรกขึ้นกับความเอาใจใส่ของสตรีมีครรภ์ด้วยเช่นกัน
6.การเปลี่ยนแปลงของเต้านม (changes in the breast) เป็นการเปลี่ยนแปลงที่พบได้ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ โดยจะมีอาการเจ็บคัดตึง (tenderness) มีอาการคัน รู้สึกแปลบเหมือนถูกของมีคมเล็กๆ ทิ่มแทงภายในเต้านม (breast tingling) หัวนมจะไวต่อการกระตุ้น ซึ่งเป็นอาการคล้ายกับอาการก่อนมีประจำเดือน บริเวณลานนมจะมีสีเข้มขึ้นและเส้นผ่าศูนย์กลางขยายออก มีต่อมไขมันขยายขนาดโตขึ้นเป็นตุ่มเล็กๆ (Montgomery’s glands) เส้นเลือดสีดำเห็นได้ชัดเจนใต้ชั้นผิวหนังและเต้านมขยายขนาด ประมาณเดือนที่ 3-4 ของการตั้งครรภ์อาจมีน้ำนมใสคล้ายน้ำนมเหลืองออกทางหัวนม
7.การเปลี่ยนแปลงของสีผิวและการเกิดรอยแตกของผิวหนัง (increased skin pigmentation and appearance of abdominal striae) โดยจะมีอาการชัดขึ้นในไตรมาสที่สองและสามของการตั้งครรภ์ สตรีที่ตั้งครรภ์ร้อยละ 90 จะพบเส้นกลางหน้าท้องมีสีคล้ำ (linea nigra) ตั้งแต่บริเวณเหนือหัวหน่าวถึงสะดือ สตรีบางรายมีฝ้าบริเวณใบหน้า (melasma หรือ choasma gravidarum) ซอกพับของรักแร้และขาหนีบมีสีคล้ำขึ้น สตรีที่ตั้งครรภ์ยังอาจเกิดผิวหนังแตกเป็นริ้วบริเวณหน้าท้อง (striae gravidarum) เนื่องจากการยืดขยายของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissues) และการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน cortisol
8.การเปลี่ยนสีของเยื่อบุช่องคลอด (discoloration of the vaginal mucosa) ในระยะตั้งครรภ์ vaginal mucosa จะสีคล้ำเกือบม่วงแดง (Chadwick ‘ sign) เกิดจากการมีเลือดเลี้ยงบริเวณเยื่อบุช่องคลอดมากซึ่งพบได้ประมาณอายุครรภ์ 6-10 สัปดาห์
อาการแสดงว่าอาจตั้งครรภ์
(probable signs of pregnancy)
1.หน้าท้องโตขึ้น (enlargement of the abdomen) เมื่อตั้งครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ มดลูกจะโตพ้นเชิงกราน ทำให้หน้าท้องโตขึ้น แต่สตรีที่อ้วนอาจไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ และสำหรับสตรีบางรายอาจมีหน้าท้องโตขึ้นจาก pelvic tumor
2.การหดรัดตัวของมดลูก (Braxton Hicks contractions) เป็นการหดรัดตัวที่เกิดขึ้นไม่สม่ำเสมอ ไม่เจ็บปวดและเกิดขึ้นได้ตลอดระยะการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการไหลเวียนของโลหิตที่มดลูก และสนับสนุนการทำงานของรก สตรีมีครรภ์จะรู้สึกชัดขึ้นเมื่ออายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์ การหดรัดตัวอาจเพิ่มขึ้นหากมีการกระตุ้นบริเวณยอดมดลูก แม้ว่าการหดรัดตัวของมดลูกจะไม่ใช่สิ่งแสดงแน่นอนของการตั้งครรภ์ แต่สามารถยืนยันได้ว่าการตั้งครรภ์นั้นไม่ใช่การตั้งครรภ์นอกมดลูก (ectopic pregnancy) อย่างไรก็ตามสตรีที่ไม่ได้ตั้งครรภ์แต่มีเนื้องอกมดลูก (myoma uteri) ก็อาจรู้สึกถึงการหดรัดตัวของมดลูกได้เช่นกัน
3.การเปลี่ยนแปลงของมดลูกและปากมดลูก (changes in the uterus and the cervix) เป็นผลจาก vascular congestion ได้แก่อาการดังนี้
3.1 Goodell’s sign คลำพบปากมดลูกนุ่ม แต่อาการนี้สามารถตรวจพบได้เช่นกันในรายที่รับประทานยาคุมชนิด estrogen-progestin ส่วนสตรีที่มีการติดเชื้อของปากมดลูกหรือเป็นมะเร็งปากมดลูกนั้น ปากมดลูกอาจยังแข็งอยู่เหมือนก่อนตั้งครรภ์
3.2 Hegar’s sign เป็นความนุ่มของ isthmus สามารถตรวจได้ด้วยการทำ bimanual examination สามารถตรวจพบเมื่อตั้งครรภ์ 6-8 สัปดาห์
3.3McDonald’s sign เป็นการตรวจพบว่ามดลูกจะยืดหยุ่นได้มากและสามารถหักพับงอกับปากมดลูก (uterocervical junction) ได้ง่าย ตรวจพบได้เมื่อตั้งครรภ์ 7-8 สัปดาห์
3.2 Ladin’s sign พบบริเวณตรงกลางของมดลูกด้านหน้าตำแหน่งที่เป็นจุดต่อระหว่างมอลูกกับปากมดลูกจะมีความอ่อนนุ่ม พบเมื่ออายุครรภ์ 6 สัปดาห์
4.การขยับคลอนทารก (ballottement) การออกแรงกดกระตุ้นมดลูกทารกจะลอยมากระทบมือผู้ตรวจ เนื่องจาขนาดของทารกยังเล็กและมีนํ้าครํ่ามาก ทําให้โยกคลอนทารกได้ เมื่ออาครรภ์ระหว่า16-18 สัปดาห์ (
-external ballottement ตรวจพบได้เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 14 สัปดาห์ วางมือทั้งสองขวางตัวมดลูก ใช้มืออีกข้างหนั่งกดแรงและเร็ว แรงกดจะผ่านน้ำคร่ำกระทบตัวทารกให้ลอยมากระทบมือตรวจอีกข้างหนึ่ง
-internal ballottement ตรวจพบได้เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 14 สัปดาห์ โดยใช้นิ้วสอบเข้าไปสัมผัสที่ anterior fornix และใช้มืออีกข้างกดที่ยอมมดลูก(fundus) กระตุ้นมือที่อยุ่ในช่องคลอดเบาๆ จะรู้สึกว่าตัวทารกลอยขึ้นลงกระทบมืองทั้ง2 ข้าง
5.คลำขอบเขตตัวทารกได้ (palpation of fetal outline) อายุครรภ์ประมาณ 24 สัปดาห์ อาจคลำขอบเขตของลำตัวทารกได้ทางหน้าท้อง อย่างไรก็ตามอาจคลำได้คล้ายคลึงกันในรายที่เนื้องอกมดลูกมีก้อนโต
6.ได้ยินเสียงของหลอดเลือดมดลูก (uterine soufflé) อายุครรภ์ประมาณ 14-16 สัปดาห์ จะได้ยินเสียงฟู่เบาๆ เป็นจังหวะ มีอัตราเท่ากับชีพจรสตรีมีครรภ์ เกิดจากการที่มีเลือดไหลผ่านตัวมดลูก แต่เสียงของหลอดเลือดมดลูกก็อาจพบได้เช่นกันในรายที่มีเนื้องอกของมดลูก และระยะหลังคลอดที่มดลูกยังอยู่สูงเหนือหัวหน่าว
7.การตรวจพบฮอร์โมน human chorionic gonadotropin (hCG) โดยทั่วไปเรียกว่า pregnancy test ฮอร์โมน hCG เป็น glycoprotein ในระยะแรกสร้างโดยตัวอ่อน ต่อมาสร้างโดยรกจากส่วน syncytiotrophoblast แล้วถูกขับเข้ากระแสเลือดและขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ประกอบด้วย b และa subunit โดยที่ a subunit อาจพบใน pituitary gonadotropin (LH, FSH) ดังนั้นการตรวจที่แน่นอนจึงเป็นการตรวจหา b subunit ฮอร์โมน hCG จะเพิ่มขึ้นตั้งแต่วันแรกของการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมและเพิ่มสูงสุดประมาณวันที่ 60-70 ของการตั้งครรภ์ สามารถตรวจหา hCG ได้ประมาณวันที่ 6-12 หลังการตกไข่ (ovulation) ซึ่งเป็นระยะที่มีการฝังตัวของตัวอ่อนและตลอดการตั้งครรภ์จนกระทั่งภายหลังคลอด 4 วัน การตรวจพบ hCG ยืนยันการตั้งครรภ์ได้แม่นยำร้อยละ 95 แต่อาจพบ hCG ได้เช่นกันในรายที่เป็นการตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก และการเป็นมะเร็งครรภ์ไข่ปลาอุก (gestational trophoblastic tumor หรือ choriocarcinoma) รวมทั้งรายที่มีการตั้งครรภ์นอกมดลูก ปัจจุบันมีการผลิตอุปกรณ์ตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตนเอง (pregnancy test kits) ที่สามารถตรวจหา hCG ได้สะดวกและมีประสิทธิภาพ
อาการแสดงว่าตั้งครรภ์แน่นอน
(positive signs of pregnancy)
ได้ยินเสียงหัวใจทารก (fetal heart sound) โดยการฟังเสียงผ่านผนังหน้าท้องสตรีมีครรภ์ ถ้าใช้ fetoscope จะได้ยินเสียงประมาณสัปดาห์ที่ 17-20 ของการตั้งครรภ์ หากใช้ Doppler สามารถได้ยินเสียงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 12-14 ของการตั้งครรภ์ เสียงหัวใจทารกที่ปกติจะเป็นเสียงคู่ อัตราเต้นประมาณ 120-160 ครั้งต่อนาที สม่ำเสมอ ในบางรายอาจได้ยินเสียง funic soufflé เป็นเสียงเลือดที่สายสะดือทารกในครรภ์ซึ่งเป็นเสียงแผ่วเบาดังฟู่คล้ายเสียง uterine soufflé แต่มีอัตราเท่ากับเสียง fetal heart sound
เห็นการเคลื่อนไหวและคลำส่วนต่างๆ ของทารกได้ (fetal movement and fetal parts) เป็นการคลำส่วนต่างๆ ของทารกได้ และเห็นการเคลื่อนไหวของทารกทางผนังหน้าท้องซึ่งจะเริ่มชัดเจนเมื่ออายุครรภ์ 20 สัปดาห์
เห็นทารกผ่านทางคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound) การใช้ ultrasound สามารถวินิจฉัยการตั้งครรภ์ได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 5-6 สัปดาห์ และเห็นการทำงานของหัวใจเมื่ออายุครรภ์ 6-7 สัปดาห์
การใช้รังสีเอกซเรย์ (radiological demonstration) จะเห็นรูปร่างของกระดูกของทารกประมาณสัปดาห์ที่ 16 วิธีนี้ควรหลีกเลี่ยงในการวินิจฉัยการตั้งครรภ์ เนื่องจากอันตรายของรังสีที่มีต่อทารกในครรภ์
นศพต.อาทิตยา ชัยมี เลขที่ 77