Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 1 การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ - Coggle Diagram
บทที่ 1 การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
โรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบหายใจส่วนบน (URI)
โรคหวัด (Common cold)
สาเหตุ
ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส เชื้อที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยทุกอายุคือ rhinovirus ซึ่งมีมากกว่า100 ชนิด
อาการ
ขึ้นกับอายุและชนิดของเชื้อไวรัส เด็กเล็กอาจมีไข้ และน้ำมูกเป็นอาการเด่น เด็กโตมักไม่มีไข้แต่อาจเริ่มด้วยอาการเจ็บคอหรือ ระคายคอ ต่อมามีน้ำมูกคัดจมูก ไอ อาการไอพบได้ประมาณสองในสามของผู้ป่วยเด็ก
การรักษา
การลดไข้
การเช็ดตัว
ยา เช่น paracetamol
ระมัดระวังการใช้ibuprofen โดยเฉพาะช่วงที่มีโรคไข้เลือดออก ระบาด
ไม่แนะนำให้ใช้แอสไพริน เนื่องจากมีรายงานการเกิด Reye’ssyn-drome ในเด็กที่เป็นไข้หวัดใหญ่หรือสุกใสและได้รับยาแอสไพริน
โรคคออักเสบ / ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน(Acute pharyngitis/ tonsillitis/ pharyngotonsillitis)
สาเหตุ
ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ที่พบบ่อย ได้แก่adenovirus, influenza virus,parainfluenzavirus, rhinovirus, respiratory syncytial virus (RSV)
อาการ
ทอนซิลอักเสบเป็นหนอง หรือทอนซิลบวมแดงจัด
ต่อมน้ำหลืองบริเวณคอส่วนหน้าบวมและกดเจ็บ
ไข้สูง > 38 องศาเซลเซียส
ไม่มีอาการไอ
อายุ3-14 ปี
กการรักษา
การรักษาตามอาการ
การให้ยาต้านจุลชีพ
ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน (Acute rhinosinusitis)
อาการ
เจ็บคอ หูอื้อ ลมหายใจมีกลิ่น (halitosis) เสียงขึ้นจมูก เยื่อบุจมูกแดง กดเจ็บบริเวณไซนัส post nasal drip ไม่ได้กลิ่น และปวดฟัน เป็นต้น
การรักษา
การรักษาประคับประคองตามอาการ
การรักษาจำ เพาะ (specific treatment) ได้แก่ ยาต้านจุลชีพ
ภาวะแทรกซ้อน
periorbitalcellulitis ทำ ให้มีอาการไข้รอบตาบวม
ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้แก่ การติดเชื้อในเบ้าตา มีอาการตาบวม ตาโปน ไม่สามารถกลอกตาได้ตามปกติมีฝีหนองภายในกะโหลกศีรษะ ทำให้มีความดันในกะโหลกศีรษะสูง
การป้องกัน
การป้องกันโดยการดูแลไม่ให้ติดหวัด
แนะนำผู้ปกครองของเด็กเล็กให้เลือกสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อนที่สะอาด และไม่แออัดเกินไป
ครอบครัวที่มีเด็กโตอยู่ด้วยต้องเน้นให้ล้างมือเมื่อกลับจากโรงเรียน
เลี่ยงควันบุหรี่ มลพิษ และสารที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้เนื่องจากมีผล ต่อเยื่อบุจมูก และโพรงไซนัส
ควบคุมอาการในผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาการแพ้อากาศ
ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ใช้ยาต้านจุลชีพเพื่อการป้องกัน เนื่องจากพบว่ามี ปัญหาเชื้อดื้อยามากขึ้น
โรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (Acute otitis media)
สาเหตุ
เชื้อไวรัส เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ30-50 ของการเกิด AOM ในเด็ก เชื้อที่พบบ่อย ได้แก่ respiratorysyncytialvirus(RSV), influenzavirus, adenovirus, rhinovirus, coronavirus, enterovirus, parainfluenzavirus type 1-3, human metapneumovirus
เชื้อแบคทีเรีย ที่พบเป็นสาเหตุของ AOM บ่อย ได้แก่ S. pneumoniae, H. influenzae, S. pyogenes, M. catarrhalis
ปัจจัยเสี่ยง
ประวัติมีการ
เจ็บป่วย ทางระบบหายใจ มีประวัติครอบครัวป่วยเป็นหูชั้นกลางอักเสบ การเลี้ยงดูใน สถานเลี้ยงเด็กอ่อน กลุ่มที่มีภาวะกรดไหลย้อน ปากแหว่งเพดานโหว่ กลุ่มอาการ ดาวน์การใช้จุกนมปลอม รวมถึงการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีควันบุหรี่
อาการ
การปวดหูในเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถพูดได้อาจมีดึงหู ทุบหูร่วมกับ ร้องกวน งอแงผิดปกติหรือไม่ยอมนอน
การรักษา
การรักษาตามอาการ อาการที่สำคัญ คือ อาการปวดหูโดยเฉพาะในระยะเวลา 24 ชั่วโมง แรก
การรักษาจำ เพาะ ปัจจุบันพบว่าสาเหตุของการเกิด AOM ในเด็กนั้น ส่วนหนึ่งเกิด จากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งหายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านจุลชีพ
การป้องกัน
คือ วัคซีนป้องกันเชื้อปอดอักเสบ (Pneumococcal vaccine), วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Influenza vaccine) และการให้ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส RSV-IGIV ในกลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เป็นต้น
ทำให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ
ถ้าเจ็บป่วยเป็นโรคนี้ ควรดูแลรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่าปล่อยให้เป็นเรื้อรัง
ควรให้ทารกกินนมมารดาอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบ
ระมัดระวังอย่าให้เกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุกับหู
โรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบหายใจส่วนล่าง (LRI)
กล่องเสียงและหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (Acute laryngotracheobronchitis, viral croup)
สาเหตุ
เชื้อที่พบเป็นสาเหตุส่วนใหญ่คือไวรัสที่พบบ่อยที่สุด คือ parainfluenza viruses
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะพร่องออกซิเจน, ภาวะหายใจล้ม เหลว, ภาวะขาดน้ำ, bacterial tracheitis, ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema), มีลมในช่องเยื่อหุ้มปอด, หัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิต
การป้องกัน
หลีก เลี่ยงไม่ให้เด็กเล็กอยู่ในที่แออัด หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มี อาการหวัดหรือติดเชื้อ
ในระบบหายใจ
ถ้ามีสมาชิกในครอบครัวมีอาการหวัด หรือติดเชื้อในระบบหายใจควรให้ใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกและล้างมือ
ทุกครั้งก่อน สัมผัสเด็ก
การรักษา
รักษาทั่วไปและการใช้ยาเพื่อลดการบวมของทางเดินหายใจ ได้แก่ corticosteroids และ nebulized epinephrine
อาการ
น้ำมูก ไอเล็กน้อย และไขต่ำๆ (บางราย อาจมีไข้สูงถึง 40 องศาเซลเซียส) นำมาก่อนประมาณ 12-48 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะมีอาการ ไอเสียงก้อง เสียงแหบ และหายใจได้ยินเสียง stridor ซึ่งมักเกิดในช่วงหายใจเข้า อาการมักเป็นมากขึ้นในเวลากลางคืน ขณะกระสับกระส่ายหรือร้องไห้มาก
ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบเฉียบพลัน (Acute epiglottitis)
สาเหตุ
ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ Haemophilus influenzae type b
อาการ
ผู้ป่วยมักมีไข้สูงเฉียบพลัน เจ็บคอมาก กลืนลำบาก น้ำลายไหล พูดไม่ชัด กระสับกระส่าย
การรักษา
การรักษาแบบประคับประคอง
ให้ออกซิเจนที่มีความชื้น
งดให้อาหารทางปากและพิจารณาให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
รบกวนผู้ป่วยให้น้อยที่สุด หลีกเลี่ยงการตรวจช่องคอโดยไม่จำเป็น
เตรียมท่อช่วยหายใจให้พร้อม โดยเตรียมขนาดเล็กกว่าปกติ 0.5-1 มม.
การรักษาแบบจำเพาะ
การให้ยาต้านจุลชีพ ควรให้ยาที่เหมาะ สม และรวดเร็วที่สุด
ภาวะแทรกซ้อน
ปอดอักเสบ, ปอด
แฟบ, pulmonary edema, ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน
หลอดลมคอติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial tracheitis)
สาเหตุ
เชื้อก่อโรคที่พบบ่อยที่สุด คือ Staphylococcus aureus1-5 ทั้งที่ดื้อและ ไม่ดื้อต่อ methicillin (MRSA)
เชื้ออื่นๆ ได้แก่ Streptococcus pneumoniae, group A streptococcus (Streptococcuspyogenes, GAS), alpha-
อาการ
ไอเสียงก้อง เสียงแหบ ต่อมามีไข้สูง ไอ มี
เสมหะจำนวนมากหายใจลำบาก
การรักษา
การรักษาที่สำคัญมากและต้องพิจารณาเร่งด่วน คือ การดูแลทางเดิน หายใจให้เปิดโล่ง
ผู้ป่วยร้อยละ 50-90 จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเจาะคอ หลังจากใส่ท่อช่วยหายใจส่วนใหญ่จำเป็นต้องดูดเสมหะบ่อย
ควรให้ออกซิเจนและสารน้ำให้เพียงพอ ติดตาม อาการใกล้ชิด
หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (Acute bronchitis)
สาเหตุ
เชื้อไวรัส respiratory syncytial virus (RSV) และ parainfluenza virus type เป็นสาเหตุที่พบ
บ่อย โดย RSV มัก พบในเด็กเล็ก
สาเหตุส่วนใหญ่ (ร้อยละ 90) เกิดจากไวรัส ได้แก่ influenza A, influenza B, parainfluenzavirus, RSV, coronavirus, adenovirus, rhinovirus และhuman metapneumovirus (hMPV)
อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายหวัด ได้แก่ มีไข้ หรืออาจไม่มีไข้ก็ได้ มีน้ำมูก คัดจมูกนำมาก่อนในช่วง 3-5 วัน
การรักษา
การรักษาตามอาการ
การดื่มน้ำมากๆ อาจให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว เพื่อทำให้ชุ่มคอและ บรรเทาอาการไอ
ไม่แนะนำให้ใช้ยากด อาการไอในผู้ป่วยเด็ก (cough suppression) เพราะทำให้ เกิดอาการง่วงซึม เสมหะแห้งเหนียวมากขึ้น และอาจเป็นอันตราย ถึงขั้นเสียชีวิตได้
การให้ยากลุ่ม antihistamine, decongestant และ beta-2 agonist
การรักษาประคับประคอง
การทำกายภาพบำบัดทรวงอกเพื่อระบายเสมหะ
การรักษาจำเพาะ
เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่ของหลอดลมอักเสบเฉียบพลันเกิดจาก ไวรัส ดังนั้นการให้ยาต้านจุลชีพจึงไม่มีประโยชน์ ยกเว้น ในรายที่มีลักษณะบ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย ควรให้ยาต้าน จุลชีพที่ครอบคลุมเชื้อที่น่าจะเป็นสาเหตุ
ภาวะแทรกซ้อน
การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ปอดแฟบใน รายที่มีการระบายเสมหะไม่ดี มีเสมหะคั่งค้างอาจเกิดเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง หรือโรคปอดเรื้อรังตามมาได้
การป้องกัน
การได้รับวัคซีนที่จำเพาะเจาะจงกับเชื้อ ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ (influenza) และไอกรน (pertussis) มีประโยชน์ในการช่วยลด อาการของผู้ป่วยในระหว่างที่มีการติดเชื้อได้
ปอดบวม (Pneumonia)
สาเหตุ
ไวรัส ที่พบบ่อยได้แก่ respiratory syncytial virus, influenza, parainfluenza และ human metapneumoviru
เชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยที่สุดในทุกกลุ่มอายุ (ยกเว้นทารกแรกเกิด) คือ Streptococcus pneumoniae
อาการ
ไข้ ไอ หอบ มีอาการหายใจลำบาก หายใจอกบุ๋ม จมูกบาน ในรายที่เป็นมากอาจ ตรวจพบริมฝีปากเขียวหรือหายใจมีเสียง grunting
การรักษา
การรักษาแบบประคับประคอง
ให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่มีมีอาการเขียว
ให้สารน้ำอย่างเพียงพอ แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ หรือให้น้ำผ่านทาง สายให้อาหารทางจมูก ควรหลีกเลี่ยงวิธีการนี้ในเด็กเล็กที่ มีรูจมูกเล็ก ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากหากจำเป็นต้องใส่ควรเลือกสายที่มี ขนาดเล็กที่สุด
ให้ยาพ่นขยายหลอดลมในรายที่ฟังปอดได้ยินเสียง wheeze หรือ rhonchi
พิจารณาให้ยาขับเสมหะหรือยาละลายเสมหะในกรณีที่ให้สารน้ำเพียงพอแล้ว
การทำกายภาพบำบัดทรวงอก
การรักษาตามอาการ
การให้ยาแก้ปวดลดไข้ ในรายที่มีอาการ เจ็บหน้าอก ปวดข้อ ปวดท้อง เจ็บหู ผู้ป่วยที่มี pleural pain
การรักษาจำเพาะ
ปอดบวมจากไวรัสไม่มียารักษาจำเพาะ ยกเว้นไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza virus) ในกรณีที่สงสัยว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นเชื้อก่อโรค ควรให้ยา ต้านไวรัส ได้แก่
Oseltamivir
Zanamivir
ภาวะแทรกซ้อน
น้ำหรือหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด
ฝีในปอด
การป้องกัน
เด็กควรได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในระบบหายใจ
พ่อ แม่ และผู้เลี้ยงดูเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ควรได้รับวัคซีน ไข้หวัดใหญ่และ
วัคซีนป้องกันโรคไอกรน
น้ำในเยื่อหุ้มปอดจากการติดเชื้อ (Parapneumonic effusion)
สาเหตุ
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococcus pneumoniae, Staphylococcus aureus, Haemophilus influenzae, Streptococcus pyogenes, Mycoplasma pneumoniae เป็นต้น
การรักษา
การรักษาแบบประคับประคอง
ควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาล
ให้ออกซิเจน หากมีอาการหอบเหนื่อยหรือ SpO2 น้อยกว่า 92%
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำหากมีภาวะขาดน้ำหรือกินได้น้อย
ให้ยาลดไข้และยาแก้ปวด
หลีกเลี่ยงการทำกายภาพบำบัดทรวงอกในขณะที่ผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อย
ยาต้านจุลชีพ
ผู้ป่วยทุกคนควรได้รับยาต้านจุลชีพเข้าหลอดเลือดดำที่ครอบคลุมเชื้อ แบคทีเรียเป็นวงกว้างในช่วงแรกและครอบคลุม
การเจาะระบายน้ำในเยื่อหุ้มปอด
การเจาะระบายน้ำในเยื่อหุ้มปอดควรทำโดยวิธีมาตรฐาน
การใส่ท่อระบายน้ำในเยื่อหุ้มปอด
การใส่ยาละลายไฟบริน (fibrinolytic agent) ในเยื่อหุ้มปอด
การผ่าตัด
การนัดติดตามอาการ
โรคหอบหืดในเด็ก(Asthma)
การรักษา
การรักษาขณะมีอาการหอบ
ให้ยาขยายหลอดลม ให้ผลเร็วกว่าการฉีด ถ้าไม่สามารถพ่นยาได้อาจใช้ยาฉีด
ให้ยา corticosteroid ควรให้ทันทีขณะที่หอบมาก เป็นยาลดการอักเสบจะได้ผลหลังให้ยา 6-8 ชั่วโมง
รักษาภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ ปอดแฟบ
ให้ออกซิเจน
การรักษาโรคหืดระยะยาว
การควบคุมสิ่งกระตุ้นให้เกิดการแพ้
ให้ยาเพื่อรักษาภาวะหลอดลมหดเกร็ง
กายภาพบำบัดทรวงอก เช่น การฝึกการหายใจ การไออย่างมีประสิทธิภาพ
การออกกำลังกาย
การวินิจฉัยโรค
ประวัติ มีอาการไอ หอบ เหนื่อย แน่นหน้าอก หรือหายใจมีเสียงวี้ด (wheeze)
การตรวจร่างกาย
การตรวจพิเศษเพื่อสนับสนุนการวินิจฉัย