Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบหัวใจ - Coggle Diagram
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบหัวใจ
โรคหัวใจแต่กำเนิด (Congenital Heart Disease)
โรคที่มีความผิดปกติของโครงสร้างในหัวใจและหลอด
เลือด เนื่องจากการเจริญที่ผิดปกติของโครงสร้างในหัวใ0และหลอดเลือดขณะทารกอยู่ในครรภ์ระยะอ่อนๆ
สาเหตุ
ทางพันธุกรรม
สาเหตุทางสภาพแวดล้อม ที่เห็นชัดเจนคือการติดเชื้อหัดเยอรมันของมารดาในระหว่าง ตั้งครรภ์
โรคหัวใจที่ไม่มีอาการตัวเขียว(A cyanotic Type)
Left to Right shunt เลือดผ่านจากหัวใจห้องซ้ายไปขวา
Atrial Septal Defect (ASD) รูรั่วระหว่างระหว่างหัวใจห้องบน
Patent Ductus Arteriosus(PDA)
Ventricular Septal Defect (VSD) รูรั่วที่ระหว่างหัวใจห้องล่าง
Obstructive Lesion มีการอุดกั้น
Pulmonary Stenosis (PS)
Coarctation of the Aorta (CoA)
โรคหัวใจที่มีอาการตัวเขียว (Cyanotic Type)
Deceased Pulmonary Blood Flow เลือดไปปอดลดลง
Tetralogy of Fallot (TOF)
Increased Pulmonary Blood Flow เลือดไปปอดเพิ่มขึ้น
Transposition of the Great Arteries (TGA)
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด(Congenital Heart Disease)
โรคหัวใจที่ไม่มีอาการตัวเขียว
( A Cyanotic Type)
ผนังกั้นหัวใจห้องล่างรั่ว
Ventricular Septal Defect (VSD)
ทำให้เลือดแดงจากหัวใจห้องล่างซ้ายผ่านรูรั่วไปยังห้องล่างขวา ออกสู่หลอดเลือดแดงของปอดปริมาณเลือดที่ไปยังปอดมีมากขึ้น เลือดที่กลับเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้ายและล่างซ้ายก็เพิ่มมาก
อาการและอาการแสดง
มีเหงื่อออกมากโดยเฉพาะเวลาดูดนม ตัวเล็กเลี้ยงไม่โต ติดเชื้อระบบหายใจได้บ่อย และมีอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจวาย เช่น หัวใจเต้นเร็ว
ขนาดเล็กมักไม่มีอาการผิดปกติ แต่ฟังเสียงหัวใจได้ยินเสียงฟู่ตั้งแต่อายุ 1-2 สัปดาห์
ขนาดกลาง จะมีอาการหายใจเร็ว หายใจลำบาก เหนื่อยหอบและเหงื่อออกบวมน้ำ
ขนาดใหญ่ มีอาการเหนื่อยง่ายเวลาดูดนม ดังนั้นเวลาให้นมต้องให้แบบหยด (Dropper) มีเหงื่อออกมาก หายใจเร็ว
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะหัวใจวาย เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุด
การดูแลรักษา
การดูแลรักษาในระหว่างที่ ยังไม่ได้รับการผ่าตัด
การดูแลเพื่อป้องกันภาวะหัวใจวาย =ไม่หยุดยาหรือเปลี่ยนยาเอง รับประทานนมและน้ำตามปริมาณที่แพทย์กำหนด รับประทานอาหารหรือนมในปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง ใช้หัวนมที่มีรูใหญ่เพื่อลดการใช้แรงดูดนม ดูแลให้เด็กนอนหลับอย่างเพียงพอ ไม่ควรให้เด็กร้องไห้นาน งดการเล่นที่ต้องใช้แรงมากและมีการแข่งขัน ป้องกันไม่ให้เด็กท้องผูกโดยให้รับประทานผัก ผลไม้ เช็ดตัวลดไข้ให้เด็กทุกครั้งเมื่อมีไข้และควรพาไปพบแพทย์ ป้องกันการติดเชื้อที่ปอด โดยดูแลไม่ให้เด็กอยู่ใกล้ผู้ที่เป็นหวัดหรือไอเรื้อรัง ป้องกันการติดเชื้อที่หัวใจ ด้วยการรักษาความสะอาดปากและฟันเมื่อมีฟันผุควรปรึกษาทันตแพทย์
การดูแลรักษาด้วยการผ่าตัด
การรักษาด้วยการสวนหัวใจ วิธีนี้สามารถรักษาได้เฉพาะในรายที่มีรูรั่วขนาดเล็กเท่านั้น
Atrial Septal Defect (ASD)
ทำให้เลือดไหลผ่านจากหัวใจห้องบนซ้ายผ่านรูรั่วไปห้องบนขวา พบได้จากเสียงฟู่ที่หัวใจและผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยง่าย
สาเหตุ
ผนังกั้นหัวใจบนรั่วเป็นความผิดปกติตั้งแต่กำเนิดในระบบไหลเวียนโลหิตของทารก ในครรภ์ปกติจะมีรูเปิดอยู่ เพื่อให้เลือดนั้นไม่ต้องผ่านปอด
อาการและอาการแสดง
อายุต่ำกว่า 5 ปี มักไม่มีอาการ ASD มีขนาดใหญ่ มักจะมีอาการเหนื่อยง่าย เหงื่อออกมาก มีอาการของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ตรวจร่างกาย คลำได้หัวใจห้องล่างขวาโตและเต้นแรงกว่าปกติ
ภาวะแทรกซ้อน
โรคหัวใจล้มเหลว -การติดเชื้อแบคทีเรียในหัวใจ -ลิ้นหัวใจรั่ว -การเติบโตช้า -หัวใจบีบตัวผิดจังหวะ -ความดันในปอดสูง
การรักษา
จำเป็นต้องใช้ยารักษา เพื่อประคับประคองอาการ หากไม่ดูแลรักษาอาจเกิด Infective
Patent ductus ateriosus (PDA)
ทารกแรกเกิดทุกคนจะมีช่องเปิดระหว่างหลอดเลือดหัวใจสองเส้น (Aorta และ Pulmonary Artery) และจะปิดเองภายในหนึ่งชั่วโมงหรือไม่เกิน 24 ชั่วโมงหลังคลอด ในกรณีผิดปกติช่องเปิดนี้จะไม่ปิด ส่งผลให้เลือดแดงกับเลือดดำผสมกัน ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
สาเหตุ
การคลอดก่อนกำหนด
มีภาวะขาดออกซิเจนขณะคลอด
มารดาที่มีการติดเชื้อหัดเยอรมันหรือการได้รับสารต่างๆ เช่น ยาแอมเฟตามีน ยากันชัก
อาการ
ในเด็กที่มีเส้นเลือดเกินขนาดเล็ก มักไม่มีอาการผิดปกติ บางรายอาจมีอาการเหนื่อยง่ายเวลาเล่นเมื่อเทียบกับเด็กอื่น
ในเด็กที่มีเส้นเลือดเกินขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ มักมีอาการหัวใจวาย โดยมีอาการเหนื่อยหอบ กระสับกระส่าย หายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นเร็ว
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะหัวใจวาย -ภาวะความดันภายในหลอดเลือดที่ปอดสูง -ภาวะติดเชื้อที่ปอด -ภาวะติดเชื้อที่หัวใจ
การดูแล
ป้องกันการเกิดภาวะหัวใจวาย โดยเฉพาะการดูแลผู้ป่วยให้รับประทานยาครบถ้วน
ป้องกันการเกิดภาวะหัวใจวาย โดยเฉพาะการดูแลผู้ป่วยให้รับประทานยาครบถ้วน
การรักษา
การให้ยาเพื่อปิดเส้นเลือด PDA ยาที่ใช้รักษาเพื่อปิดเส้นเลือดเกิน คือ ยาอินโดเมทาซิน (Indomethacin)
การรักษาด้วยการทำสวนหัวใจ
การรักษาด้วยการผ่าตัด
ภาวะ Eisenmenger
มีอาการไอเป็นเลือด (Hemoptysis ) เจ็บหน้าอก(Chest pain )หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ (Arrhythmia ) หอบเหนื่อย เป็นลม หมดสติ และอาจถึงแก่ความตาย
Coarctation of Aorta (CoA)
อาการสำคัญ
ความดันโลหิตที่แขนสูงมากกว่าขา มีอาการเขียวเฉพาะส่วนล่างของร่างกาย หัวใจวาย เลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ
การดูแลรักษา
ป้องกันภาวะเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ แพทย์จะให้ยาพรอสต้า
แกลนดิน ควบคุมภาวะหัวใจวาย ทำผ่าตัด เมื่อสามารถควบคุมอาการ
หัวใจวาย
โรคหัวใจที่มีอาการตัวเขียว ( Cyanotic Type)
Tetra logy of Fallot (TOF)
ลักษณะที่มีความผิดปกติ 4 อย่าง
VSD หรือ ผนังกั้นช่องติดต่อระหว่าง Ventricle ซ้ายและขวา
ตำแหน่งของลิ้นหัวใจที่ aortic เลื่อนไปทางด้านขวา Aortic Overriding
Pulmonary artery ตีบ
การหนาตัวของ Ventricle ข้างขวา Right ventricular hypertrophy
อาการและอาการแสดง
ระยะปลายขวบแรก คือขณะเริ่มเดิน มีอาการเหนื่อยง่าย ในเด็กที่เดินได้แล้วนั้นจะได้ประวัติว่าเด็กชอบนั่งยองๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้สึกเหนื่อย
สำคัญได้แก่ อาการเขียวมากขึ้นทันที อาการตัวแข็ง ตาเหลือก ไม่รู้สึกตัว ชัก และอาจตายได้ เรียกภาวะนี้ว่า ภาวะ Cyanotic spell หรือ ภาวะ Anoxic Spell
การแก้ปัญหา ภาวะ Cyanotic spell
squatting หรือการนั่งยองๆ เป็นการทำเพื่อให้เกิดการพับของ
femoral arteries
ในทารกอาจจัดให้นอนท่า knee chest position
ภาวะแทรกซ้อน
สมองพิการ จาก cyanotic spells
Infective endocarditis
การดูแลรักษา
ดูแลให้เด็กได้รับยาโพรพาโนโลน (propranolol) ตามที่แพทย์สั่ง
ลดปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดภาวะเขียวกะทันหัน -ไม่ปล่อยให้เด็กร้องไห้นานๆ -จัดกิจกรรมการเล่นที่ใช้แรงน้อย -ป้องกันเด็กขาดน้ำ -ดูแลให้เด็กนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ -ป้องกันภาวะซีด -ป้องกันไม่ให้เด็กท้องผูก
บันทึกการเกิดอาการเขียวกะทันหันของเด็กทุกครั้งและแจ้งให้แพทย์
Transposition of the Great Vessels (TGV)
มีการสลับกันของหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจ โดย Aorta เป็นหลอดเลือดที่ออกจาก ventricle ข้างขวา และ pulmonary artery ออกจาก ventricle ข้างซ้าย
ผู้ป่วยมักมีทางติดต่อทำให้ร่างกายมีโอกาสได้รับเลือดแดไปเลี้ยงร่างกาย การรักษามักให้ Prostaglandin เพื่อเปิด PDA หรือผ่าตัดเปลี่ยนทางไหลเวียนเลือด
โรคหัวใจพิการที่เกิดขึ้นภายหลัง (Acquired Heart Disease)
Rheumatic Heart Disease (RHD)
โรคหัวใจรูห์มาติก เป็นโรคหัวใจที่เกิดจากการเป็นไข้รูห์มาติกซ้ำ ๆ กัน
หลายครั้ง โรคไข้รูห์มาติก เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการติดเชื้อเบต้าฮีโมไลติก
อาการ
อาการไข้ เด็กจะมีไข้ติดกันอย่างน้อย 3 วัน ปวดบวมตามข้อ โดยเฉพาะข้อใหญ่ ๆ มีผื่นแดงที่ผิวหนังรูปร่างคล้ายแผนที่ มีขอบหยัก ๆ มีตุ่มแข็งที่สามารถจับเคลื่อนไหวได้ใต้ชั้นผิวหนัง เป็นก้อนรี ๆ
เกณฑ์หลัก (Main criteria)
ข้ออักเสบหลายข้อหลายตำแหน่ง (Migratory polyarthritis)
หัวใจอักเสบ (Carditis)
ตุ่มใต้ผิวหนัง (Subcutaneous nodules)
อีริทีมา มาร์จินาตัม (Erythema marginatum)
ซิดแนม โคเรีย (Sydenham's chorea)
การรักษา
เก็บเสมหะจากคอส่งตรวจหาเชื้อเบต้าฮีโมไลติก สเตปโตคอคคัส
ตรวจเลือดเพื่อตรวจหาการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกาย
ตรวจพิเศษอื่น ๆ เพื่อหาความผิดปกติของหัวใจ
ให้การรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อเบนซาตินเพนนิซิลลิน (Benzathine penicillin) ชนิดฉีดยาเพนนิซิลลิน วี (Penicillin V)
รายที่มีหัวใจวายร่วมด้วย แพทย์จะให้รับประทานยาไดจ็อกซิน ยาขับปัสสาวะ และยาขยายหลอดเลือด
รายที่มีการอักเสบที่หัวใจและข้อ แพทย์จะให้รับประทานยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone)
เด็กต้องนอนพักและงดการออกแรงเพื่อลดการอักเสบของหัวใจ
ภาวะแทรกซ้อน
ไข้รูห์มาติกบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ จะทำให้เป็นโรคหัวใจรูห์มาติก โรคนี้จะทำให้เด็กมีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และลิ้นหัวใจถูกทำลาย
ป้องกันไม่ให้เด็กเป็นไข้รูห์มาติก
ดูแลความสะอาดของร่างกาย รับประทานอาหารที่สะอาดและมีประโยชน์ พักผ่อนอย่างเพียงพอและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยให้สะอาดถูกสุขลักษณะ
หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วยที่เป็นหวัด คออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ
ฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะครบตามจำนวนที่แพทย์สั่ง
ภาวะหัวใจวาย Heart failure
อาการ
หัวใจเต้นเร็วมากขึ้นในขณะพัก
ชีพจรอาการของเด็ก
อายุแรกเกิด ถึง 1 ปี มีชีพจร มากกว่า 160 ครั้ง/นาที
อายุ 1 ปีขึ้นไป ถึง 3 ปี มีชีพจร มากกว่า140 ครั้ง/นาที
อายุ 3 ปีขึ้นไป ถึง 6 ปี มีชีพจร มากกว่า 120 ครั้ง/นาที
อายุ 6 ปีขึ้นไปถึง10 ปี มีชีพจร มากกว่า100 ครั้ง/นาที
อายุ 10 ปีขึ้นไป มีชีพจร มากกว่า 90 ครั้ง/นาที
หายใจเร็วมากขึ้น ในขณะพัก
อายุแรกเกิด ถึง 1 ปี หายใจ มากกว่า 60 ครั้ง/นาที
อายุ 1 ปีขึ้นไป ถึง 3 ปี หายใจ มากกว่า 45 ครั้ง/นาที
อายุ 3 ปีขึ้นไป ถึง 6 ปี หายใจ มากกว่า 35 ครั้ง/นาที
อายุ 6 ปีขึ้นไปถึง10 ปี หายใจ มากกว่า 30 ครั้ง/นาที
อายุ 10 ปีขึ้นไป หายใจ มากกว่า 25 ครั้ง/นาที
อาการ
ปัสสาวะออกน้อย เหงื่อออกมาก บวม มือและเท้าเย็น ซีด รับประทานอาหารได้น้อย
สาเหตุ
มักเกิดจากโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ส่วนในผู้ใหญ่มักเกิดจากโรคของหลอดเลือดที่นำเลือดมาเลี้ยงหัวใจ
การช่วยเหลือเบื้องต้น
ดูแลให้เด็กนอนในท่าศีรษะสูง
ดูแลให้เด็กอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
ดูแลให้เด็กพักผ่อน ถ้าเด็กร้องไห้ต้องปลอบให้สงบ
โทรศัพท์ปรึกษาแพทย์หรือนำเด็กไปพบแพทย์ที่อยู่ใกล้มากที่สุด
การป้องกัน
ดูแลให้เด็กรับประทานยาตามขนาดและเวลาที่แพทย์สั่งไม่หยุดยาหรือเปลี่ยนยาเอง ดูแลให้เด็กรับประทานนมและน้ำในปริมาณที่แพทย์แนะนำ
ดูแลให้เด็กรับประทานอาหารที่มีประโยชน์งดอาหารรสเค็ม ดูแลให้เด็กรับประทานอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง ดูแลให้เด็กได้พักผ่อนอย่างเพียงพอไม่ปล่อยให้เด็กร้องนาน
จัดกิจกรรมการเล่นที่ใช้แรงน้อย งดการเล่นที่มีการแข่งขัน สังเกตการขับถ่ายของเด็กทุกวัน ต้องป้องกันไม่ให้ท้องผูก ป้องกันการติดเชื้อที่หัวใจด้วยการรักษาความสะอาด โดยเฉพาะช่องปากและฟัน
ยาที่ใช้ในโรคหัวใจ
Antibiotic ยาปฏิชีวนะ
Indomethacin ช่วยปิดรูเปิดของ PDA
Diuretic: ยาขับปัสสาวะ
Aspirin ลดความหนืดของเลือด
Vasodilator ยาขยายหลอดเลือด
Digitalis, Lanoxin ยาทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวแรงขึ้น