Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่5การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบประสาท กล้ามเนื้อและกระดูก - Coggle…
บทที่5การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบประสาท กล้ามเนื้อและกระดูก
febrile Convulsion
โรคไข้ชัก หมายถึง อาการชักแบบเกร็ง หรือกระตุกทั้งตัวเกิดขึ้นขณะมีไข้สูงมากกว่า 38.5 องศาเซลเซียส โดยไม่มีการติดเชื้อในระบบประสาทหรือความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกาย และไม่เคยมีประวัติชักโดยไม่มีไข้ร่วมด้วยมาก่อน พบได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 3 ปี ในเด็กที่อายุมากกว่า 7 ปีแล้วพบได้น้อยมาก
อาการ
มีอาการน้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ เบื่ออาหาร อาเจียน ถ่ายอุจจาระบ่อย ซึมลง มีไข้สูงและชัก ลักษณะของการชัก คือตัวจะแข็งเกร็ง มือเท้ากระตุก ตาเหลือก กัดฟันแน่น น้ำลายฟูมปาก ไม่รู้สึกตัว อาจมีอาเจียน หรือถ่ายปัสสาวะ อุจจาระขณะที่กำลังชัก อาการชักมักจะนานไม่เกิน 15 นาที ในรายที่ชักอยู่นาน ใบหน้า ริมฝีปาก และมือเท้าจะเขียวจากการขาดออกซิเจน
การป้องกัน
การสังเกตอาการของบุตรหลาน ถ้าพบว่าไข้สูงมาก ควรให้ยาพาราเซตามอล และเช็ดตัวลดไข้ทันที และควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของไข้ และให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นในเด็กที่กำลังชัก
จับให้เด็กนอนตะแคง ไม่หนุนหมอน หันศีรษะไปด้านใด ด้านหนึ่ง เพื่อป้องกันการสำลัก
คลายเสื้อผ้าให้หลวม
ห้ามใช้ช้อนหรือวัตถุอื่นใด หรือนิ้วมืองัดปาก และห้ามป้อนยาหรือน้ำทางปาก ในขณะที่เด็กไม่รู้สึกตัว
เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น ไม่ควรเช็ดตัวด้วยน้ำเย็น หรือแอลกอฮอล์
นำเด็กส่งโรงพยาบาล หรือพบแพทย์ เพื่อให้แน่ใจว่าสาเหตุของการชักเกิดจากไข้สูง หรือสาเหตุอื่น เช่นการติดเชื้อในสมอง ซึ่งต้องรักษาที่ต้นเหตุด้วย
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ในเด็กที่มีไข้สูง
รับประทานยาลดไข้กลุ่มพาราเซตามอล
ให้เด็กดื่มน้ำบ่อยๆ
เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นและขณะเช็ดตัว ควรปิดพัดลม หรือปิดเครื่องปรับอากาศ
Epilepsy
สาเหตุของโรคลมชัก
กลุ่มอาการที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้แน่ชัด (Idiopathic หรือ Primary Epilepsy)
มีการสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือมีความผิดปกติของยีนในร่างกาย
กลุ่มที่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้ (Symptomatic หรือ Secondary Epilepsy)
อาจเกิดจากโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมอง เนื้องอกในสมอง เกิดจากอุบัติเหตุที่ศีรษะอย่างรุนแรง การติดยาเสพติด หรือพิษสุราเรื้อรัง โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือเกิดจากการขาดออกซิเจนขณะคลอด
การวินิจฉัยโรคลมชัก
แพทย์จะทำการซักถามข้อมูลเกี่ยวกับอาการชักจากตัวผู้ป่วยเองถึงสิ่งที่สามารถจดจำได้ในขณะที่เกิดอาการ
แพทย์จะซักถามเกี่ยวกับประวัติการรักษาและประวัติส่วนตัวต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วย
จากนั้นแพทย์จะนำข้อมูลที่ได้จากผู้ป่วยและคนใกล้ชิดไปพิจารณาควบคู่กับการทดสอบทางการแพทย์ เช่น
การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalogram: EEG)
การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography: CT)
การเอกซเรย์เอ็มอาร์ไอ (Magnetic Resonance Imaging: MRI)
อาการโรคลมชัก
อาการชักที่มีผลต่อทุกส่วนของสมอง (Generalized Seizures)
อาการชักแบบเหม่อลอย (Absence Seizures) อาการที่โดดเด่นคือการเหม่อลอย หรือมีการขยับเขยื้อนร่างกายเพียงเล็กน้อย
อาการชักแบบชักเกร็ง (Tonic Seizures) เป็นอาการชักที่ทำให้เกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ มักเกิดบริเวณหลัง แขนและขา จนทำให้ผู้ป่วยล้มลงได้
อาการชักเฉพาะส่วน (Partial หรือ Focal Seizures)
โรคลมชัก (Epilepsy)คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมการทำงานของร่างกาย จนทำให้เกิดอาการชัก โรคลมชักนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาด
การรักษาโรคลมชัก
การใช้ยา
การใช้ยาต้านอาการชักอาจมีผลข้างเคียงหลายอย่าง ได้แก่
อาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ น้ำหนักขึ้น มวลกระดูกลดลง ผื่นขึ้น เสียการทรงตัว มีอาการเหงือกบวม มีปัญหาเรื่องการพูด ความจำ และความคิด
การผ่าตัดสมอง
ในกรณีที่การใช้ยาไม่สามารถควบคุมอาการชักได้
การกระตุ้นเส้นประสาทสมอง (Vagus Nerve Stimulation: VNS) เป็นการผ่าตัดฝังอุปกรณ์ไว้ใต้ผิวหนังบริเวณกระดูกไหปลาร้
การกระตุ้นสมองส่วนลึก (Deep Brain Stimulation: DBS) เป็นการผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้าไว้ที่บริเวณสมองเพื่อลดการทำงานที่ผิดปกติของกระแสไฟฟ้าในสมอง
ภาวะแทรกซ้อนของโรคลมชัก
เกิดภาวะสมองถูกทำลายอย่างถาวร อาทิ โรคหลอดเลือดสมอง
ความบกพร่องในการเรียนรู้ (Learning Disabilities) ในผู้ป่วยที่เป็นเด็ก
เกิดภาวะปอดอักเสบจากการสำลัก (Aspiration Pneumonia) ในขณะที่เกิดอาการชัก
อาการบาดเจ็บของสมองที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากศีรษะถูกกระทบกระเทือนซ้ำขณะที่เกิดอาการชัก
อุบัติเหตุที่เกิดจากอาการชัก อาทิ หกล้ม ลื่นล้ม บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
จมน้ำ ผู้ป่วยโรคลมชักมีแนวโน้มจะจมน้ำขณะว่ายน้ำมากกว่าคนปกติถึง 15-19 เท่า
การป้องกันโรคลมชัก
รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง
นอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับไม่เพียงพอสามารถกระตุ้นอาการชักได้ ดังนั้นจึงควรนอนหลับวันละ 6-8 ชั่วโมง
สวมป้ายข้อมือทางการแพทย์ ที่ระบุว่าเป็นโรคลมชัก สามารถช่วยให้คนรอบข้างช่วยผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงทีเมื่ออาการกำเริบ
ออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงมากขึ้น
Hydrocephalus
Hydrocephalus หรือภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ เป็นภาวะที่มีน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังในโพรงสมองมากเกินไป ทำให้โพรงสมองมีขนาดใหญ่ เกิดการกดทับและทำลายเนื้อสมอง
อาการภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ
ปวดคอ
คลื่นไส้ พะอืดพะอม โดยมีอาการรุนแรงขึ้นในตอนเช้า
สับสนมึนงง
มีปัญหาด้านการจำ การควบคุมสมาธิ และทักษะการคิด
มีปัญหาในการเดิน และการทรงตัว
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ บางรายอาจกลั้นอุจจาระไม่ได้ด้วย
ตื่นยาก ง่วงซึม อาจร้ายแรงถึงขั้นโคม่า หรือหมดสติขั้นรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นใด ๆ ได้
สาเหตุของภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ
การบาดเจ็บที่ศีรษะ
เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน
ภาวะเลือดออกในสมอง เช่น เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง
เกิดลิ่มเลือดอุดตันในสมอง
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
มีเนื้องอกในสมอง
ทางผ่านของน้ำในสมองแคบตั้งแต่กำเนิด ทำให้กีดขวางการไหลเวียนของน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง
การวินิจฉัยภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ
การวินิจฉัย Hydrocephalus ในเด็กและผู้ใหญ่
แพทย์มักตรวจวินิจฉัยด้วย ซีที สแกน (CT Scan)
คอมพิวเตอร์ หรือเอ็มอาร์ไอ สแกน (MRI Scan)
การรักษาภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ
การผ่าตัดใส่สายระบายน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง
การผ่าตัดโดยใช้กล้องส่องในโพรงสมอง
ภาวะแทรกซ้อนของภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ
ความบกพร่องทางสติปัญญา
ความบกพร่องทางร่างกาย
ความบกพร่องทางพัฒนาการด้านต่าง ๆ
ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด ได้แก่ปวดศีรษะ มีไข้สูง อาเจียน อาเจียน ง่วงซึม มีปัญหาในการมองเห็น คอแข็งเกร็ง
การป้องกันภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ
ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่ศีรษะ
รักษาควบคุมอาการของโรคในกลุ่มเสี่ยง
สังเกตอาการที่เป็นสัญญาณของ Hydrocephalus
ป้องกันโรคติดเชื้อ
Encephalitis
:star:
ไข้สมองอักเสบ (Encephalitis) คือโรคซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่สมอง หรือปัญหาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีอาจเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนได้
อาการไข้สมองอักเสบ
อ่อนแรง มีไข้สูง ปวดศีรษะ
ปวดข้อและกล้ามเนื้อ
มีผื่นหรือตุ่มน้ำพองใสขึ้นที่ผิวหนัง
สาเหตุของไข้สมองอักเสบ
สมองอักเสบจากการติดเชื้อโดยตรง (Primary Encephalitis) เมื่อสมองติดเชื้อไวรัสหรือเชื้ออื่น ๆ เชื้อจะทำให้สมองอักเสบและทำลายสมองโดยตรง
สมองอักเสบจากระบบภูมิคุ้มกัน (Secondary (Postinfectious) Encephalitis) คืออาการอักเสบที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ผิดพลาดในการต่อสู้กับเชื้อในร่างกาย
การวินิจฉัยไข้สมองอักเสบ
การตรวจสมอง ทำได้ 2 วิธี คือ การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือทีซีสแกน (X-Ray Computerized Tomography) หรือการทำเอ็มอาร์ไอ (Magnetic Resonance Imaging)
การเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture)
การตรวจในรูปแบบอื่น ๆ เช่น
การตรวจเลือด ปัสสาวะ หรือของเหลวอื่นในร่างกาย
การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง หรือการตรวจอีอีจี (Electroencephalogram)
การผ่าตัดส่งชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยา (Brain Biopsy)
การรักษาไข้สมองอักเสบ
การใช้ยาต้านไวรัส ใช้ในกรณีที่มีสาเหตุจากไวรัสเริม (Herpes simplex virus) หรือไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ หรือไวรัสวีซีววี (Varicella Zoster Virus)
การฉีดสเตียรอยด์ ใช้ในกรณีที่มีสาเหตุเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
การบำบัดด้วยอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin Therapy)
การฟอกเลือด (Plasmapheresis) เพื่อกำจัดพิษออกจากร่างกาย หรือเชื้อที่แฝงอยู่ในเลือดซึ่งจะไปทำลายสมอง
การใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านเชื้อรา
ภาวะแทรกซ้อนของไข้สมองอักเสบ
ปัญหาด้านความจำ
ปัญหาด้านบุคลิกภาพ หรือพฤติกรรมเปลี่ยน
ปัญหาด้านการพูดและการใช้ภาษา
ปัญหาด้านการกลืน
ปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจ เช่น เครียด วิตก ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน เป็นต้น
ปัญหาด้านสมาธิ ความสนใจ การวางแผน การแก้ปัญหา
ปัญหาด้านการเคลื่อนไหว การทรงตัว การเกร็งของกล้ามเนื้อ ความพิการ การเป็นอัมพาต
อาการชัก
Meningitis
:star:
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) เป็นโรคที่เกิดการติดเชื้อที่อาจเกิดจากเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อราบริเวณเยื่อหุ้มที่หุ้มรอบสมองและไขสันหลังจนทำให้บริเวณดังกล่าวอักเสบบวม
อาการของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
คอแข็ง
มีอาการสับสน ไม่มีสมาธิในการจดจ่อ
ไข้ขึ้นสูงเฉียบพลัน
ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
ชัก
แพ้แสงหรือไวต่อแสง
ไม่มีความกระหายหรืออยากอาหาร
ปวดหัวอย่างรุนแรงผิดปกติ
ง่วงนอน หรือตื่นนอนยาก
ผิวหนังเป็นผื่น
สาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
สาเหตุจากเชื้อไวรัส
สาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย
สาเหตุจากเชื้อรา
การวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
การเก็บตัวอย่างโรค
การถ่ายภาพด้วย CT scans (Computerized Tomography) หรือ MRI (Magnetic Resonance Imaging)
การเจาะน้ำไขสันหลัง
การรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับชนิดของการติดเชื้อ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบคทีเรียแบบเฉียบพลันจำเป็นต้องได้รับการรักษาทันที โดยรับยาปฏิชีวนะเข้าเส้นเลือดดำ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
อาการชัก
ปัญหาด้านความทรงจำและการจดจ่อสมาธิ
ปัญหาด้านการเคลื่อนไหว การประสานงาน และความสมดุลของร่างกาย
ปัญหาด้านพฤติกรรม
ปัญหาในการเรียนรู้เรื่องที่ยาก
สูญเสียการได้ยิน อาจได้ยินเพียงบางส่วนหรือไม่ได้ยินเลย
สูญเสียการมองเห็นเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด
สูญเสียแขนขา ผู้ป่วยอาจต้องตัดแขนขา ป้องกันการติดเชื้อไปสู่ร่างกาย
ปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและข้อต่อ เช่น ข้ออักเสบ
ปัญหาเกี่ยวกับไต
มีปัญหาในการนอนหลับ เช่น อาการนอนไม่หลับ
มีปัญหาในการพูด
การป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อฮิบ (Haemophilus Influenzae Type B)
วัคซีน IPD (Pneumococcal Vaccine)
วัคซีนป้องกันโรคหัด โรคคางทูม และโรคหัดเยอรมัน (MMR)
วัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น (Meningitis ACWY Vaccine)
Cerebral palsy
Cerebral Palsy หรือสมองพิการโดยเกิดขึ้นเมื่อสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเกิดความผิดปกติ ได้รับความเสียหาย หรือมีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะส่งผลต่อการควบคุมกล้ามเนื้อ การทรงตัว และการเคลื่อนไหวร่างกายไปตลอดชีวิต
อาการของ Cerebral Palsy
อาการของ Cerebral Palsy
ปัญหาทางการมองเห็นและการได้ยิน หรืออาจมีอาการตาเหล่ร่วมด้วย
ปัญหาทางการสื่อสาร การพูดและการใช้ภาษา
การรับรู้ความรู้สึกผิดปกติ อย่างความรู้สึกเจ็บ
พัฒนาการล่าช้า
สาเหตุ
เกิดขึ้นเมื่อเซเรบรัลคอร์เทกซ์ (Cerebral Cortex) ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวได้รับความเสียหายหรือมีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์
การวินิจฉัย
การสแกนสมอง
การตรวจเลือด
การตรวจอื่น ๆ
การรักษา
การบำบัดรักษา
กายภาพบำบัด
กิจกรรมบำบัด
นันทนาการบำบัด
อรรถบำบัด
การปรับปรุงวิธีรับประทานอาหาร
การรักษาอาการน้ำลายไหล
การรักษาโดยใช้ยา
ยาคลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย เช่น ยาไดอาซีแพม ยาบาโคลเฟน ยาไตรเฮกซีเฟนิดิล เป็นต้น
ยาอื่น ๆ เช่น ยานอนหลับ ยากันชัก ยาระบาย ยาบรรเทาอาการปวด เป็นต้น
การผ่าตัด
การผ่าตัดข้อและกระดูก
การตัดรากเส้นประสาท
การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น แว่นตา แว่นขยาย เครื่องช่วยฟัง อุปกรณ์ช่วยพยุง วีลแชร์ เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อน
การรับรู้ความรู้สึกผิดปกติ
ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
ความผิดปกติทางการมองเห็น
ความบกพร่องของช่องปาก
ความผิดปกติของกระดูก
ปัญหาทางจิต
กลั้นปัสสาวะไม่ได้
การป้องกัน
การป้องกันตั้งแต่ในครรภ์มารดา
รับวัคซีนให้ครบ
ฝากครรภ์และไปพบแพทย์ตามกำหนด
ดูแลสุขภาพขณะตั้งครรภ์
การป้องกันในเด็ก
ป้องกันการกระทบกระเทือนต่อสมอง
ดูแลสุขภาพเด็ก