Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ, image, image, image, image -…
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
โรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบหายใจส่วนบน
โรคหวัด (Common cold)
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัส พบบ่อยที่สุดrhinovirus
มักพบในฤดูกาลที่มีอากาศเย็น และความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ
อาการ
มีไข้ น้ำมูก เจ็บคอหรือ ระคายคอ ต่อมามีน้ำมูกคัดจมูก ไอ เด็กโตมักไม่มีไข้
อาการแสดง เยื่อบุจมูกบวมแดง อาจพบเยื่อบุตาแดง ต่อม น้ำเหลืองที่คอโต มีpost nasal drip
การรักษา
รักษาตามอาการ -การลดไข้ การเช็ดตัว ยา เช่น paracetamol ไม่แนะนำให้ใช้แอสไพริน
การพยาบาล
ลดไข้ โดยการการเช็ดตัว กระตุ้นให้ดื่มน้ำ การระบายน้ำมูก
ลดอาการไอ กระตุ้นดื่มน้ำอุ่น
ดูแลร่างกายให้อบอุ่น ให้อาหารอ่อนย่อยง่าย ดูแลให้พักผ่อน
สังเกตอาการที่ต้องพาไปพบแพทย์ หายใจหอบ หายใจเสียงดัง ชายโครงบุ๋ม ซึม ไม่ดื่มนมหรือน้ำ อาการป่วยมากขึ้น
โรคคออักเสบ / ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัส ที่พบบ่อย ได้แก่adenovirus, influenza virus ,parainfluenzavirus, rhinovirus, respiratory syncytial virus (RSV)
อาการ
ที่สำคัญ มีไข้และเจ็บคอแต่ในเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถบอกอาการได้จะมาพบด้วยอาการน้ำลายไหลผิดปกติ
อาการทางคลินิก -ทอนซิลอักเสบเป็นหนอง บวมแดงจัด ต่อมน้ำหลืองทที่คอส่วนหน้าบวมและกดเจ็บ ไข้สูง > 38 ไม่มีอาการไอ
การรักษา
การรักษาตามอาการ -ลดไข้ในกรณีมีไข้ให้ยาลดไข้และเช็ดตัว -บรรเทาอาการเจ็บคออาจให้เป็นน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งมะนาว
การให้ยาต้านจุลชีพ
ภาวะแทรกซ้อน
ชั้นกลางอักเสบ, peritonsillar abscess(Quinsy)
ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน (Acute rhinosinusitis)
สาเหตุ
การอักเสบของ maxillarysinus และ ethmoidsinusเกิดได้ตั้งแต่วัยทารก
frontal sinus พบการอักเสบได้ในช่วงวัยเรียน
อาการ
แบบต่อเนื่อง มีน้ำมูกและไอที่ไม่ดีขึ้นติดต่อกันนานกว่า 10 วัน น้ำมูกมักข้นเหลือง ไอแห้งหรือมีเสมหะจากน้ำมูกไหล
แบบรุนแรง มีไข้สูงกว่า39 องศา น้ำมูกข้นเป็นหนองโดยเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน บวมบริเวณรอบตาหรือกดเจ็บบนใบหน้า ปวดศรีษะร่วมด้วย
การตรวจร่างกาย
พบน้ำมูกเขียว แต่ในเด็กเล็กอาจพบว่ามีน้ำมูกใส มักตรวจพบเสมหะขุ่น เป็นหนองที่ด้านหลังคอ
เด็กโตอาจกดเจ็บบริเวณไซนัสหรือ เคาะเจ็บที่บริเวณฟันกรามบน และอาจพบมีการบวมรอบตา
การรักษา
การรักษาประคับประคองตามอาการ -Antihistamine กรณีที่มีภูมิแพ้ร่วมด้วย -Decongestant ช่วยลดการบวมของเยื่อบุจมูก - Intranasal corticosteroids มีฤทธิ์ลดการอักเสบและการบวม
การรักษาจำ เพาะ -ในผู้ใหญ่และเด็ก amoxicillin -กรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาให้amoxicillin-clavulanate ขนาดสูง
ภาวะแทรกซ้อน
periorbitalcellulitis ทำ ให้มีอาการไข้รอบตาบวม
โรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (Acute otitis media)
สาเหตุ
เชื้อไวรัส เด็ก เชื้อที่พบบ่อย ได้แก่ respiratorysyncytialvirus(RSV), influenzavirus, adenovirus, rhinovirus
เชื้อแบคทีเรีย ที่พบเป็น S. pneumoniae, H. influenzae, S. pyogenes, M. catarrhalis
อาการ
ที่สำคัญ คือ การปวดหูในเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถพูดได้อาจมีดึงหู ทุบหูร่วมกับ ร้องกวน งอแงผิดปกติหรือไม่ยอมนอน เด็กโตอาจมาด้วย อาการปวดหูเฉียบพลัน กินได้น้อย
การรักษา
การรักษาตามอาการ ในเด็กเล็ก แนะนำ ให้บรรเทาอาการปวดด้วยการใช้ยาแก้ปวด paracetamol หรือ ibuprofen
การรักษาจำเพาะ จากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งหายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านจุลชีพ
วิธีป้องกันหูชั้นกลางอักเสบ
ควรให้ทารกกินนมมารดาอย่างน้อย 6 เดือน ระมัดระวังอย่าให้เกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุกับหู
หลีกเลี่ยง -การใช้จุกนมปลอม -การส่งเด็กไปเลี้ยงที่ศูนย์เลี้ยงเด็ก -การอยู่ในที่ที่มีควันบุหรี่
โรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบหายใจส่วนล่าง (LRI)
กล่องเสียงและหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน
สาเหตุ
ไวรัสที่พบบ่อยที่สุด คือ parainfluenza viruses
เชื้อแบคทีเรียอาจเป็นสาเหตุของ croup ได้แต่พบน้อย ได้แก่ Mycoplasma pneumoniae
อาการ
น้ำมูก ไอเล็กน้อย และไขต่ำๆ ไอเสียงก้อง เสียงแหบ
อาการรุนแรง หายใจเร็ว, หัวใจเต้นเร็ว, จมูกบาน
Downes score (croup score)
croup score < 4 ระดับความรุนแรงน้อย (mild croup)
croup score 4-7 ระดับความรุนแรงปานกลาง (moderate croup)
croup score > 7 ระดับความรุนแรงมาก (severe croup)
การรักษา
รักษาทั่วไปและการใช้ยาเพื่อลดการบวมของทางเดินหายใจ
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะพร่องออกซิเจน, ภาวะหายใจล้ม เหลว, ภาวะขาดน้ำ
การป้องกัน
หลีก เลี่ยงไม่ให้เด็กเล็กอยู่ในที่แออัด การสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วย
สมาชิกในครอบครัวติดเชื้อในระบบหายใจควรให้ใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกและล้างมือทุกครั้งก่อน สัมผัสเด็ก
ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบเฉียบพลัน (Acute epiglottitis)
สาเหตุ
เชื้อ Haemophilus influenzae type b
อาการ
มีไข้สูงเฉียบพลัน เจ็บคอมาก กลืนลำบาก น้ำลายไหล พูดไม่ชัด กระสับกระส่าย
ทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้นตามมา อย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง ได้แก่ หายใจลำบาก บางครั้งลักษณะคล้ายถอน หายใจ
อาการหายใจ เสียงดัง (stridor) มักพบในระยะที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการรุนแรง
การรักษา
การรักษาแบบประคับประคอง
ให้ออกซิเจนที่มีความชื้น งดให้อาหารทางปาก หลีกเลี่ยงการตรวจช่องคอโดยไม่จำเป็น เตรียมท่อช่วยหายใจให้พร้อมขนาดเล็กกว่าปกติ 0.5-1 มม.
การรักษาแบบจำเพาะ
ยาต้านจุลชีพ ควรให้ยาที่เหมาะ สม และรวดเร็วที่สุด ยากลุ่ม cephalosporin เช่น cefuroxime
ภาวะแทรกซ้อน
ปอดอักเสบ, ปอดแฟบ,ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน
การป้องกันโรค
acute epiglottitis ในครอบครัว ดังนั้นเพื่อกำจัด พาหะของโรคจึงแนะนำให้ยาต้านจุลชีพชนิดกิน คือ rifampicin
หลอดลมคอติดเชื้อแบคทีเรีย
สาเหตุ
Bacterial tracheitis พบได้ ในเด็กอายุ 1-7 ปี
ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดมีการติดเชื้อไวรัสในระบบหาใจมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง croup และไข้หวัดใหญ่
เชื้อก่อโรคที่พบบ่อยที่สุด คือ Staphylococcus aureus1-5
อาการ
อาการ croup ไอเสียงก้อง เสียงแหบ ต่อมามีไข้สูง ไอ มี
เสมหะจำนวนมากหายใจลำบาก
การรักษา
สำคัญ การดูแลทางเดิน หายใจให้เปิดโล่ง ร้อยละ 50-90 จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเจาะคอ
ควรให้ออกซิเจนและสารน้ำให้เพียงพอ ติดตาม อาการใกล้ชิด
เลือกใช้ยาต้านจุลชีพขึ้นกับเชื้อที่สงสัย ได้แก่ cloxacillin, vancomycin หรือ clindamycin
หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (Acute bronchitis)
สาเหตุ
เชื้อไวรัส respiratory syncytial virus (RSV) และ parainfluenza virus type
สาเหตุส่วนใหญ่ (ร้อยละ 90) เกิดจากไวรัส ได้แก่ influenza A, influenza B
อาการ
มีไข้ หรืออาจไม่มีไข้ก็ได้ มีน้ำมูก คัดจมูกนำมาก่อนในช่วง 3-5 วัน โดยมีอาการ ไอเป็นอาการที่สำคัญที่สุด
อาการระยะแรกจะไอแห้งๆ ผู้ป่วยบางรายมีไอเสียงก้อง ต่อมาไอมากขึ้นและ มีเสมหะ โดยเสมหะมีลักษณะสีขาว หรือใสเหนียว
การรักษา
การรักษาตามอาการ -ดื่มน้ำมากๆ อาจให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว เพื่อทำให้ชุ่มคอและ บรรเทาอาการไอ ไม่แนะนำให้ใช้ยากด อาการไอในผู้ป่วยเด็ก
การรักษาประคับประคอง -การทำกายภาพบำบัดทรวงอกเพื่อระบายเสมหะ
การรักษาจำเพาะ -ในรายที่มีลักษณะบ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย ควรให้ยาต้าน
ภาวะแทรกซ้อน
ปอดแฟบใน รายที่มีการระบายเสมหะไม่ดี มีเสมหะคั่งค้างอาจเกิดเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
การพยาบาล แนะนำผู้ดูแล ดูแลเด็ก
พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ ดูแลรักษาตามอาการ เช่น ถ้ามีไข้ อาจรับประทานยาลดไข้
หลีกเลี่ยง ควัน, กลิ่นฉุน, ควันบุหรี่, สารเคมี, ฝุ่น, สารระคายเคืองต่างๆ หลีกเลี่ยงอากาศเย็น และแห้ง ซึ่งจะทำให้ไอมากขึ้น
ควรให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายขณะนอนให้เพียงพอ
ปอดบวม (Pneumonia)
สาเหตุ
ไวรัส ที่พบบ่อยได้แก่ respiratory syncytial virus, influenza
แบคทีเรียที่พบบ่อยที่สุดในทุกกลุ่มอายุ (ยกเว้นทารกแรกเกิด) คือ Streptococcus pneumoniae
อาการ
อาการสำคัญ คือ ไข้ ไอ หอบ ยกเว้นปอดบวมที่เกิดจากเชื้อ C. trachomatis ก็อาจไม่มีไข้ หายใจเร็วกว่าปกติตามเกณฑ์อายุ
ทางคลินิก มีอาการหายใจลำบาก หายใจอกบุ๋ม จมูกบาน ตรวจพบริมฝีปากเขียวหรือหายใจมีเสียง grunting ฟังเสียงปอด มักได้ยินเสียง fine
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
-การตรวจนับจำนวนเม็ดเลือด (CBC) -การตรวจ acute phase reactants -ภาพรังสีทรวงอก -การตรวจหาเชื้อแบคทีเรียการเพาะเชื้อแบคทีเรียจากเลือด (hemoculture) การเก็บเสมหะส่งตรวจ ควรทำในเด็กโต การย้อมสีแกรมและเพาะเชื้อจาก pleural fluid การตรวจหา PCR ในเลือด น้ำในเยื่อหุ้มปอดและสิ่งคัดหลั่งต่างๆ
-การตรวจหาเชื้อ atypical bacteria - การตรวจหา viral antigen ใช้ชุดทดสอบ rapid test -การทดสอบทูเบอร์คูลิน (tuberculin test)
การรักษา
การรักษาแบบประคับประคอง -มีภาวะหายใจล้มเหลวต้องพิจารณาช่วยการหายใจด้วยวิธี การต่างๆ -ที่ได้รับออกซิเจนควรได้รับการเฝ้าระวังและติดตามอย่าง ใกล้ชิด
การรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาแก้ปวดลดไข้ ในรายที่มีอาการ เจ็บหน้าอก ปวดข้อ ปวดท้อง เจ็บหู ผู้ป่วยที่มี pleural pain อาจไม่ยอมหายใจ ลึกๆทำให้ไอได้ไม่มีประสิทธิภาพ
การรักษาจำเพาะ -Oseltamivir -Zanamivir เลือกใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยแพ้ยา oseltamivir
ภาวะแทรกซ้อน
น้ำหรือหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด
ฝีในปอด (lung abscess)
การป้องกัน
ควรได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในระบบหายใจ ได้แก่
conjugated pneumococcal vaccine
เด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี
น้ำในเยื่อหุ้มปอดจากการติดเชื้อ
สาเหตุ
เชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococcus pneumoniae, Staphylococcus aureus, Haemophilus influenzae
หากเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ในโรงพยาบาลอาจเป็นกลุ่ม gram negative นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากไวรัส, mycobacteria หรือเชื้อราได้
ลักษณะเป็นน้ำหรือหนองได้ ซึ่งมี การเปลี่ยนแปลงเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 exudative stage มีการอักเสบของเยื่อหุ้มปอด ทำให้เกิดน้ำใส
ระยะที่ 2 fibrinopurulent stage มี fibrin สะสมในเยื่อหุ้มปอด ทำให้เกิด ผนังกั้นน้ำเป็นส่วนๆ
ระยะที่ 3 organisational stage มี fibroblast มาสะสมที่เยื่อหุ้มปอด และภายในน้ำทำให้เยื่อหุ้มปอดหนาตัวขึ้น ไม่ยืดหยุ่น ปอดไม่สามารถขยายตัวได้ เต็มที่
อาการ
มีไข้ ไอ หอบเหนื่อย ถ้ามีน้ำใน เยื่อหุ้มปอดปริมาณมากอาจทำให้เจ็บหน้าอกขณะหายใจเข้าลึกๆ แน่นหน้าอก นอนราบไม่ได้
การตรวจร่างกาย ทรวงอกด้านที่มีน้ำในเยื่อหุ้มปอดเล็กน้อยอาจได้ยิน เสียง pleural rub
การรักษา
การรักษาแบบประคับประคอง -ให้ออกซิเจน หากมีอาการหอบเหนื่อย -ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำหากมีภาวะขาดน้ำ -ให้ยาลดไข้และยาแก้ปวด -หลีกเลี่ยงการทำกายภาพบำบัดทรวงอกในขณะที่ผู้ป่วยมีอาการหอบ เหนื่อย
ยาต้านจุลชีพ -Streptococcus pneumoniae และ Staphylococcus aureus
การเจาะระบายน้ำในเยื่อหุ้มปอดใช้อัลตร้าซาวด์ทรวงอกช่วยระบุตำแหน่งที่จะเจาะ ระหว่างทำหัตถการ ควรมีการติดตามสัญญาณชีพ
การใส่ท่อระบายน้ำในเยื่อหุ้มปอด ใช้อัลตร้าซาวด์ทรวงอกช่วยในการระบุตำแหน่งที่จะใส่ ระหว่างทำหัตถการควรมีการติดตามสัญญาณชีพ
การใส่ยาละลายไฟบริน (fibrinolytic agent) ในเยื่อหุ้มปอด
การฆ่าตัด
การนัดติดตามอาการ ควรติดตามอาการหลังผู้ป่วยกลับบ้าน ภายใน 2-4 สัปดาห์ ภาพรังสีทรวงอกมักดีขึ้นหลังการรักษา 4-6 สัปดาห์ และใกล้เคียงปกติ ภายใน 3-6 เดือน
โรคหอบหืดในเด็ก(Asthma)
เกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคหืด
ภาวะการอุดกั้นของหลอดลมดังกล่าวอาจจะหายไปได้หรือดีขึ้นเอง หรือหลังจากได้รับการ รักษา
ได้วินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของการอุดกั้นของทางเดินระบบหายใจอื่นๆ
ออกไปแล้ว
มีภาวะการอุดกั้นของหลอดลม
การวินิจฉัยโรคหืดในเด็ก
ประวัติ มีอาการไอ หอบ เหนื่อย แน่นหน้าอก หรือหายใจมีเสียงวี้ด (wheeze)
การตรวจร่างกาย ไอ เหนื่อยหอบ หายใจลําบาก หายใจมีเสียงวี้ด (wheeze) โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอน หายใจเข้าหรือหายใจออกแรง ๆ หน้าอกโป่ ง ถ้าเป็นเรื้อรังมานาน มีอาการแสดงของโรคภูมิแพ้อื่นๆ ได้แก่ อาการของ allergic rhinitis
การตรวจพิเศษเพื่อสนับสนุนการวินิจฉัย -การตรวจภาพรังสีทางทรวงอก (chest X-ray) -การวัดสมรรถภาพการทํางานของปอด -การตรวจเพื่อหาภาวะภูมิแพ้ -การตรวจความไวของหลอดลมต่อ methacholine
การรักษา
รักษาขณะมีอาการหอบ
ให้ออกซิเจน ให้ยาขยายหลอดลม ให้ยา corticosteroid ควรให้ทันทีขณะที่หอบมาก รักษาภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ ปอดแฟบ
รักษาโรคหืดระยะยาว
ควบคุมสิ่งกระตุ้นให้เกิดการแพ้ ให้ยาเพื่อรักษาภาวะหลอดลมหดเกร็ง กายภาพบำบัดทรวงอก เช่น การฝึกการหายใจ การไออย่างมีประสิทธิภาพ การออกกำลังกาย
เสียงหวีด (Wheeze)
สาเหตุ โรคหืด (asthma) เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด
หลอดลมฝอยอักเสบเฉียบพลัน
สาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เชื้อที่พบบ่อยที่สุด คือ respiratory syncytial virus (RSV)
อาการ ไอ มีน้ำมูก หายใจเร็ว หายใจลำบาก
รักาษา การให้ออกซิเจน ควรพิจารณาให้ออกซิเจน เมื่อ SpO2 < 95% การให้สารน้ำ (hydration) การให้สารน้ำเพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำ การให้ยาพ่น การดูดน้ำมูก ไม่ควรดูดน้ำมูกโดยการใส่สายดูดลึกเกินไป
ภาวะแทรกซ้อน การหยุดหายใจ ภาวะหายใจล้มเหลว ภาวะปอดแฟบ ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
เสียงหวีดที่เกิดร่วมกับการติดเชื้อไวรัส
สาเหตุ Intraluminal airway obstruction การเกิดการอุดกั้นของทางเดิน หายใจขนาดเล็ก -Bronchospasm การติดเชื้อบางชนิดกระตุ้นให้เกิดการหดเกร็งของ กล้ามเนื้อหลอดลม
อาการหรืออาการแสดงที่รุนแรง ได้แก่ ภาวะซึม, พูดเป็นคำๆ ฟังเสียงปอดได้เบา หรือไม่ได้ยิน มีภาวะขาดน้ำชนิดปานกลางรุนแรงร่วมด้วย โดยเฉพาะเด็กเล็ก
การส่งเสริมประสิทธิภาพการหายใจในเด็ก : การทำกายภาพบำบัดทรวงอก
ท่าที่ 2 ปอดกลีบซ้ายบนด้านหลัง จัดท่าให้เด็กนั่งคร่อมตัวมาทางด้านหน้าเล็กน้อย (30°) บนแขนของผู้ให้การบำบัด เคาะบริเวณด้านหลังตอนบนเหนือกระดูกสะบัก ระหว่างกระดูกต้นคอและหัวไหล่
ท่าที่ 3 ปอดกลีบซ้ายบนด้านหน้า จัดท่านอนหงายราบ เคาะบริเวณเหนือราวนมต่ำจากกระดูกไหปลาร้าเล็กน้อย
ท่าที่ 4 ปอดกลีบซ้ายส่วนกลาง จัดท่าให้ศีรษะต่ำลงประมาณ 15° และตะแคงด้านซ้ายขึ้นมาจากแนวราบ และเคาะบริเวณราวนมด้านซ้าย
ท่าที่ 5 ปอดกลีบซ้ายล่างส่วนชายปอดด้านหน้า จัดให้เด็กนอนตะแคงกึ่งคว่ำหน้า ศีรษะต่ำ 30°ประคองทรวงอกบริเวณชายโครงด้านซ้ายหงายขึ้นมา เล็กน้อยเคาะบริเวณเหนือชายโครงด้านข้างตอนหน้าต่ำจากราวนมลงมาเล็กน้อย
ท่าที่ 6 ปอดกลีบซ้ายล่างส่วนชายปอดด้านข้าง จัดท่าศีรษะต่ำ 30o นอนตะแคงเกือบคว่ำเคาะบริเวณด้านข้างเหนือชายโครงระดับเดียวกับท่าที่ 5 ใต้ต่อรักแร้ของเด็ก
ท่าที่ 1 ปอดกลีบซ้ายบนส่วนยอด จัดให้เด็กอยู่ในท่านั่งเอนตัวมาข้างหลังประมาณ 30°เคาะบริเวณด้านบน เหนือทรวงอกด้านซ้าย ระหว่างกระดูกไหปลาร้าและกระดูกสะบัก
ท่าที่ 7ปอดกลีบซ้ายล่างส่วนหลัง จัดท่าศีรษะต่ำ 30°นอนคว่ำ เคาะบริเวณด้านหลังต่ำจากกระดูกสะบักลงมาในระดับเดียวกับชายโครงด้านหน้า
การพยาบาลเด็กป่วยที่ได้รับออกซิเจน(Oxygen therapy)
การให้การรักษาด้วยออกซิเจนในโรงพยาบาล (Acute care setting) ชนิดของอุปกรณ์การให้ออกซิเจน, flow rate, FiO2 ที่ได้และ humidifier
การให้การรักษาด้วยออกซิเจนที่บ้าน (Home oxygen therapy)
การเตรียมผู้ป่วย ติดตามวัดค่า SpO2 ด้วยเครื่อง pulse oximeter อย่างต่อเนื่องในผู้ป่วยที่ให้ออกซิเจนทาง nasal cannula อย่างน้อย 6-12 ชั่วโมง/วัน ควรให้ผู้ป่วยมีค่า SpO2 มากกว่าหรือเท่ากับ 92 % ตลอดเวลา
การเตรียมครอบครัวและผู้ดูแลผู้ป่วย ควรได้รับการฝึกฝนทักษะการใช้และดูแลเครื่องผลิตออกซิเจนและถังออกซิเจน วิธีการต่อ เครื่องทำความชื้น ผู้ดูแลต้องฝึกทักษะการสังเกตเมื่ออุปกรณ์เกิดขัดข้องในกรณีต่างๆที่สำคัญ ก่อนกลับบ้าน
การติดตามผู้ป่วย ทีมบุคลากรทางการแพทย์ควรมีการติดตามประเมินผลหลัง กลับบ้านโดยการเยี่ยมบ้านและการติดต่อทางโทรศัพท์ แพทย์ควรนัดผู้ป่วยกลับมาตรวจที่โรงพยาบาลตาม ความจำเป็น เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วยมากขึ้น
การลดออกซิเจน เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้น สามารถลดปริมาณการให้ออกซิเจนได้ โดยการติดตามระดับ SpO2 และอัตรา การเต้นของหัวใจ ให้ระดับ SpO2 ≥ 92%