Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 4 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาทางโลหิตวิทยาและนีโอพลาสม, image, image …
บทที่ 4 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาทางโลหิตวิทยาและนีโอพลาสม
ภาวะโลหิตจาง (Anemia)
:fire:
ภาวะโลหิตจาง (Anemia) คือ ภาวะที่มีค่าฮีโมโกลบินต่ำกว่า 2 (standard deviation: SD) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในเด็กปกติแต่ละช่วงอายุและเพศเดียวกัน องค์การอนามัยโลกได้กำหนดเกณฑ์ดังนี้
ภาวะซีด แบ่งตามสาเหตุเป็น 3 ชนิด คือ
1. ภาวะที่มีการสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง
1.1 การขาดสารอาหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น ธาตุเหล็ก โฟเลต วิตามินบี6 วิตามินบี12 วิตามินซีและโปรตีน
1.2 การนำธาตุเหล็กในร่างกายไปใช้ไม่ได้ เช่น ภาวะโลหิตจางในโรคเรื้อรัง (anemia of chronic disease)
1.3 สภาพแวดล้อมในไขกระดูกไม่เหมาะแก่การสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น โรคไขกระดูกฝ่ อ (aplastic anemia)
หรือมีเซลล์ผิดปกติอยู่ในไขกระดูกมากจนไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดแดงได้ตามปกติ เช่นที่พบในโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว1.3 สภาพแวดล้อมในไขกระดูกไม่เหมาะแก่การสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น โรคไขกระดูกฝ่ อ (aplastic anemia)
หรือมีเซลล์ผิดปกติอยู่ในไขกระดูกมากจนไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดแดงได้ตามปกติ เช่นที่พบในโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
2. ภาวะที่มีการทำลายเม็ดเลือดแดงมากขึ้น(hemolysis)
2.1 เม็ดเลือดแดงปกติจะมีอายุประมาณ 120 วัน หลังจากนั้นจะถูกทำลายโดยระบบ reticulo endothelial system โดยม้ามเป็นแหล่งส าคัญในการท าลายเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดแดงที่มีความผิดปกติจะมีอายุสั้นลงเนื่องจากโดน2.1 เม็ดเลือดแดงปกติจะมีอายุประมาณ 120 วัน หลังจากนั้นจะถูกท าลายโดยระบบ reticulo endothelial system โดยม้ามเป็นแหล่งสำคัญในการทำลายเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดแดงที่มีความผิดปกติจะมีอายุสั้นลงเนื่องจากโดนหรือความผิดปกติของฮีโมโกลบิน เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย
2.2 อาจมีการสร้างแอนติบอดีย์ต่อเม็ดเลือดแดงในโรค autoimmune hemolytic anemia (AIHA) หรือโรค Systemic lupus erythematosus (SLE)
2.3 สาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอนติบอดีย์ เช่น hemolytic uremic syndrome (HUS) เป็นต้น
3.การเสียเลือด
3.1 การเสียเลือดแบบเฉียบพลัน เช่น มีเลือดออกมากจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม
3.2 การเสียเลือดแบบเรื้อรัง เช่น มีเลือดออกเรื้อรังจากระบบทางเดินอาหาร หรือมีประจ าเดือนออกมาก
ผิดปกติ เป็นต้น
อาการและอาการแสดงของภาวะโลหิตจาง
อาการและอาการแสดงขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาของการเกิด ผู้ป่ วยที่มีภาวะโลหิตจางอย่างช้าๆจะมีอาการน้อยกว่าคนที่มีภาวะโลหิตจางที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
อาการเฉพาะ ได้แก่ ผิวหนังซีด จะเห็นได้ชัดบริเวณริมฝีปาก เยื่อบุตา เล็บมือ ฝ่ามือ เหงือก ใบหูผู้ป่วยที่มีตัวเหลืองร่วมด้วยหรือซีดไม่มากจะเห็นไม่ชัด
อาการที่เกิดจากเนื้อเยื่อระบบต่างๆได้รับออกซิเจนไม้ดพียงพอ
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การรักษา
รักษาตามสาเหตุของภาวะโลหิตจาง แต่ละสาเหตุจะมียาและวิธีการรักษาเฉพาะที่แตกต่างกัน การวิเคราะห์เพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงจึงส าคัญ
การให้เลือดจะให้เฉพาะรายที่จ าเป็น โดยหลีกเลี่ยงอันตรายจากการให้เลือด จึงมักจะให้เม็ดเลือดแดงเข้มข้น(packed red cell) มากกว่าการให้เลือดครบส่วน (whole blood) การให้ PRC 10 มล/กก/ครั้ง จะเพิ่ม Hct ได้ 3-4 gm % หรือเพิ่ม Hb 10 -12 %
ข้อวนิจจฉัยการพยาบาลที่ 1 มีภาวะเนื้อ เยื่อในร่างกายพร่องออกซิเจนจากภาวะซีด
เป้าหมายการพยาบาล
ไม่มีภาวะเนื้อเยื่อในร่างกายพร่องออกซิเจน
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่มีอาการหอบเหนื่อย เขียวตามปลายมือปลายเท้า
สัณญาณชีพปกติตามวัย
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้พักผ่อนและก าหนดกิจกรรมที่ผู้ป่ วยท าได้ตามความรุนแรงของภาวะซีด เพื่อลดความต้องการการใช้ออกซิเจนในร่างกาย
ดูแลให้ได้รับอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น ธาตุเหล็ก โปรตีน วิตามินซี โฟลิอามีน และเป็นอาหารอ่อน ย่อยง่าย
ดูแลให้ได้รับยาครบถ้วนตามแผนการรักษา
วัดและบันทึกสัณญาณชีพ เพื่อประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
จัดกิจกรรมการเล่นที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายผู้ป่ วย
ป้องกันและลดภาวะติดเชื้อ ซึ่งท าให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น
สังเกตอาการผิดปกติต่างๆ ที่บ่งชี้ถึงภาวะพร่องออกซิเจน เช่น อาการเหนื่อยหอบ อ่อนเพลีย เขียวปลายมือปลายเท้า ภาวะหัวใจวาย เป็นต้น
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ข้อวนิจฉัยการพยาบาลที่ 2 ผู้ป่วยเด็กและบิดามารดาฝผู้เลี้ยงดูอาจขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะซีดและการปฏิบัติตน
เป้าหมายการพยาบาล
มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะซีด และการปฏิบัติตนเมื่อมีภาวะซีด
เกณฑ์การประเมินผล
อธิบายสาเหตุ อาการ ของภาวะซีดได้อย่างถูกต้อง
อธิบายการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำและภาวะแทรกซ้อนของภาวะซีดได้อย่างถูกต้อง
กิจกรรมการพยาบาล
อธิบายให้ผู้ป่ วยเด็กและบิดามารดา/ ผู้เลี้ยงดู เข้าใจเรื่องของโรค สาเหตุ อาการ แผนการรักษา และวิธีการ
ควบคุมโรค
ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตนในเรื่องการป้องกันการติดเชื้อ การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ การ
รับประทานยาตามแผนการรักษา การออกกำลังกาย การดำรงชีวิตประจำวัน การสังเกตอาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์และวิธีการดูแลเบื้องต้นก่อนมาพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น
โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
:fire:
โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคโลหิตจางที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบยีนด้อย ( autosomal recessive ) เกิดจากความผิดปกติในการสังเคราะห์โกลบิน ทำให้การสร้างฮีโมโกลบินลดลง ส่งผลให้เม็ดเลือดมีอายุสั้นและแตกง่าย เกิดปัญหาซีดเรื้อรังตั้งแต่ก าเนิด
สาเหตุ
เกิดจากความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการสร้างเส้นโพลีเพปไทด์ที่ประกอบกันเป็นฮีโมโกลบิน ยีนที่ผิดปกตินี้
ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal recessive กล่าวคือ ผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียจะมียีนผิดปกติ 2 ยีน ที่ได้รับจากเกิดจากความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการสร้างเส้นโพลีเพปไทด์ที่ประกอบกันเป็นฮีโมโกลบิน ยีนที่ผิดปกตินี้ ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal recessive กล่าวคือ ผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียจะมียีนผิดปกติ 2 ยีน ที่ได้รับจาก สามารถถ่ายทอดพันธุกรรมที่ผิดปกติต่อไปยังลูกหลานได้
พยาธิสภาพของโรค
เมื่อเกิดความผิดปกติของยีนในการสร้างสายโกลบินชนิดใดชนิดหนึ่งลดลงหรือสร้างไม่ได้เลย โดยเฉพาะอัลฟ่า
และเบต้า ซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบส าคัญในโมเลกุลของ Hb A ถ้ามีการสร้างสายอัลฟ่าโกลบินลดลงเรียกอัลฟ่ าธาลัสซีเมีย (α -thalassemia) ถ้าสร้างสาย เบต้าโกลบินลดลงเรียก เบต้าธาลัสซีเมีย (B-thalassemia) ทำให้สายโกลบินที่จับกันเอง ทำให้มีการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงลดลง เม็ดเลือดแดงถูกทำลายแตกง่าย เม็ดเลือดแดงมuขนาดเล็กลงและติดสีจาง เกิดการตกตะกอนในเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดแดงถูกทำลายตั้งแต่ระยะตัวอ่อนในไขกระดูก และระยะตัวแก่ในตับ ม้าม ทำให้เกิดภาวะซีดเรื้อรัง เกิดภาวะขาดออกซิเจน หัวใจโตเพราะทำงานหนัก ไขกระดูกจะสร้างเม็ดลือดแดงมาก โพรงกระดูกขยายตัวมากขึ้น ส่วน Cortex ของกระดูกบางลง ทำให้กระดูกหน้าเปลี่ยน เรียก thalassemic facies กระดูกแขนขาเปราะ หักง่าย และมีการสร้างเม็ดเลือดแดงนอกไขกระดูกเพิ่มขึ้นที่ม้าม ตับ ทำให้ม้ามและตับโตขึ้นเมื่อม้ามโตมากจะมีการทำลายเม็ดเลือดมากขึ้นด้วย เกิดภาวะ hypersplenism เด็กจะซีดมาก การที่เม็ดเลือดแดงถูกทำลายและตกตะกอนมากขึ้น ทำให้เพิ่มการสร้างบิลิรูบินมากขึ้นทำให้ตัวเหลือง และเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ และในระบบทางเดินอาหารมีการดูดซึมเหล็กมากขึ้น ประกอบกับมีการแตกของเม็ดเลือดแดง ท าให้มีธาตุเหล็กไปสะสม ตามอวัยวะต่างๆ เช่น สะสมที่ตับอ่อน จะทำให้เกิดโรคเบาหวาน สะสมที่ตับ จะทำให้เกิดโรคตับแข็ง สะสมที่หัวใจ จะเกิดcardiomyopathy หัวใจวาย สะสมที่ต่อมเพศ เด็กจะมีการพัฒนาทางเพศช้า สะสมที่ต่อมไร้ท่อ ทำให้เกิดการหลั่ง GH ลดลง เด็กแคระแกรน เป็นต้น
ชนิดของธาลัสซีเมีย
Hb Bart’shydrops fetalis หรือ Homozygous α-thalassemia (α-thal 1 /α-thal 1 หรือ- - / - -) เป็น
ชนิดที่รุนแรงที่สุดผู้ป่ วยจะเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์หรือหลังคลอด ปัญหาที่พบในแม่ระหว่างตั้งครรภ์ คือ ครรภ์เป็นพิษความดันเลือดสูง บวม การคลอดผิดปกติและมีการตกเลือดหลังคลอด
Homozygous β-thalassemia (β-thal /β-thal) จะเริ่มมีอาการซีดตั้งแต่ขวบปีแรก อาการอื่นๆ ที่พบได้คือ
ตับ ม้ามโต ใบหน้าเปลี่ยนเป็นแบบ thalassemic face ร่างกายแคระแกร็น การเจริญเติบโต ไม่สมอายุจ าเป็นต้องใหเลือดและมีภาวะแทรกซ้อนจากธาตุเหล็กเกิน ได้แก่ ตับแข็ง เบาหวาน และหัวใจล้มเหลว ส าหรับ β-thalassemia/Hb E(β-thal / Hb E) อาการทางคลินิกมีตั้งแต่น้อยปานกลางจนถึงรุนแรงมากเหมือน homozygous β-thalassemia (β-thal/β-thal)
Hb H disease (α-thal 1 /α-thal 2 หรือ - - / -α, or α-thal 1 / Hb CS หรือ - - /αCSα) ส่วนใหญ่ มีอาการ
น้อย ได้แก่ ซีด เหลือง ตับม้ามโตไม่มากแต่ถ้ามีไข้สูงจะมีภาวะซีดลงอย่างรวดเร็ว
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติ ได้แก่ ประวัติการซีดเรื้อรัง ประวัติครอบครัว
การตรวจร่างกาย อาการที่มักตรวจพบ ได้แก่ อาการซีด ตับ ม้ามโต เหลือง ใบหน้าแบบ thalassemia เป็นต้น
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การรักษา
การให้เลือด
การให้ยาขับเหล็ก
ให้ยาบำรุง
การผ่าตัดม้าม (spleenectomy)
การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกหรือการเปลี่ยนถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด
การเปลี่ยนยีน (gene therapy)
ให้คำปรึกษาทางพันธุศาสตร์
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 1 ผู้ป่วยเด็กมีภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจนจากภาวะซีด
เป้าหมายการพยาบาล
ไม่มีภาวะพร่องออกซิเจน
เกณฑ์การประเมินผล
สัญญาณชีพปกติเหมาะสมกับวัย
สามารถปฏิบัติกิจกรรมได้ตามปกติหรือใกล้เคียงปกติ ไม่มีอาการและอาการแสดง ภาวะพร่องออกซิเจน เช่นเหนื่อยหอบ
ระดับฮีมาโตคริตเพิ่มขึ้นจากเดิม ใกล้เคียงปกติ
ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการให้เลือด
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ออกซิเจน ตามความเหมาะสมตามแผนการรักษา ในกรณีที่เด็กซีดและหายใจ เหนื่อยหอบ และลดการใช้ออกซิเจนของร่างกายโดยให้นอนพักผ่อน ช่วยทำกิจวัตรประจำวันหรือกิจกรรมต่างๆตามความจำเป็น ตอบสนองความต้องการของเด็กเพื่อไม่ให้ร้องมาก ลดการใช้ออกซิเจนของร่างกายลง ไม่รบกวนเด็กโดยไม่จำเป็น
วัดสัญญาณชีพ ประเมินภาวะซีดจากสีของริมฝีปาก เยื่อบุตา ลิ้น เล็บมือเล็บเท้า อาการอ่อนเพลีย เหนื่อย หอบ ปวดศีรษะ และประเมินภาวะเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เช่น อาการหายใจเร็ว เหนื่อยหอบอกบุ๋ม ปีกจมูก บาน เขียว
ดูแลให้เลือดตามแผนการรักษา
ดูแลให้อาหารที่มีโฟเลต เช่น ผักใบเขียว เนื้อ นม ไข่ ยาโฟเลต และวิตามินรวมตามการรักษา
ติดตามผลการตรวจฮีมาโตคริต และฮีโมโกลบิน
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 2 มีโอกาสติดเชื้อในระบบต่างๆ ของร่างกายเนื่องจากภาวะซีด และภูมิต้านทานบางชนิดต่าภายหลังการผ่าตัดม้าม
เป้าหมายการพยาบาล
ไม่เกิดภาวะติดเชื้อในระบบต่างๆ ของร่างกาย
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่มีอาการแสดงของภาวะติดเชื้อในระบบต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่ อาการไข้ ไอมีเสมหะ แผลฝีหนองที่ผิวหนังปัสสาวะขุ่นหรือแสบขัดขณะถ่าย อุจจาระเหลว อาการเจ็บปวดที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย
สัญญาณชีพปกติตามวัย
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อ
กิจกรรมการพยาบาล
แยกเด็กออกจากผู้ป่วยโรคติดเชื้ออื่น โดยเฉพาะการติดเชื้อทางเดินหายใจ
ดูแลความสะอาดของร่างกาย ปาก-ฟัน อุปกรณ์เครื่องใช้ และสิ่งแวดล้อม
ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ ได้แก่ เยื่อบุปากอักเสบ อาการไอ หายใจเหนื่อยหอบ อุจจาระร่วง ปัสสาวะแสบขัด เป็นต้น รายงานแพทย์เมื่อพบอาการดังกล่าว
ล้างมือก่อนและหลังให้การพยาบาล ให้การพยาบาลโดยยึดหลักสะอาดปราศจากเชื้อ จำกัดผู้เข้าเยี่ยม ห้ามผู้เป็นโรคติดต่อเข้าเยี่ยมหรือดูแลเด็ก หากจำเป็นต้องสวมผ้าปิดปาก ปิดจมูก
เพิ่มความต้านทานให้กับร่างกาย โดยดูแลให้เด็กได้รับวัคซีนตามวัย เด็กที่ได้รับเลือด หรือผลิตภัณฑ์ของเลือดควรเลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อนนานอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 3 เดือน และให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสุกสะอาดนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา กรณีตัดม้ามอาจได้ยาปฏิชีวนะไปรับประทานต่อที่บ้านเป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปี แนะนำให้รับประทานยาอย่างต่อเนื่อง
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับเม็ดเลือดขาว และผลการเพาะเชื้อต่างๆ
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 3 มีภาวะธาตุเหล็กเกินและไปจับตามอวัยวะต่างๆ เนื่องจากมีการแตกของเม็ดเลือดแดงเรื้อรังและลำไส้มีการดูดซึมธาตุเหล็กมากขึ้น
เป้าหมายการพยาบาล
ไม่มีภาวะเหล็กเกินในระบบต่างๆ ของร่างกาย
เกณฑ์การประเมินผล
ระดับ ferritin ลดต่ำลงกว่า 1,000 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
ไม่มีอาการแสดงของภาวะเหล็กเกินจนเกิดพยาธิสภาพ เช่น เบาหวาน
กิจกรรมการพยาบาล
แนะนำบิดามารดาและเด็ก ให้หลีกเลี่ยงอาหารและยาที่มีส่วนประกอบของธาตุเหล็ก เช่น ยาบำรุงเลือด อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ ตับ เลือด เครื่องในสัตว์ แนะน าให้ดื่มน น้ําเต้าหู้ นม น้ําชาหลังรับประทานอาหาร หรือยอดกระถิ่น เพื่อลดการดูดซึมธาตุ กระเพาะอาหารเข้าไปในกระแสเลือด
ดูแลให้ได้รับยาขับธาตุเหล็กอย่างต่อเนื่อง ตามแผนการรักษา
ติดตามประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะเหล็กเกิน มีธาตุเหล็กไปจับตาม แวะต่างๆ เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ปวดใต้ชายโครงขวาจากมีนิ่วในถุงน้ำดี หัวใจเต้นผิดปกติ หายใจเหนื่อยหอบจากเหล็กไปสะสมที่กล้ามเนื้อหัวใจ เป็นต้น
ติดตามประเมินผลระดับธาตุเหล็กในร่างกายเป็นระยะๆ
โรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia)
:fire:
โรคฮีโมฟี เลีย (Hemophilia) หมายถึง โรคเลือดออกง่ายหยุดยาก เกิดจากการขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือด(coagulation factor) เมื่อมีการฉีกขาดของหลอดเลือดจึงไม่สามารถเกิดลิ่มเลือดเพื่ออุดรอยฉีกขาดได้
สาเหตุ
เกิดจากความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการสร้างปัจจัยการแข็งตัวของเลือด ชนิดที่พบบ่อยในเด็กไทย ได้แก่hemophilia A ,B ซึ่งขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือดตัวที่ 8 และ 9 ตามล าดับ ยีนที่ผิดปกตินี้ อาจได้รับการถ่ายทอดมาจากมารดา หรือมีการกลายพันธ์ที่ตัวผู้ป่วยเองก็ได้อุบัติการณ์ในเด็กไทยมีในอัตรา 1:13,000 ถึง 1:20,000 ของประชากร โดยชนิดที่พบมากที่สุด คือhemophilia A มากกว่า B 5 เท่า ส่วน C พบได้น้อย
อาการและอาการแสดง
ทารกที่เกิดโดยการท าหัตถการ เช่น ใช้เครื่องดูดหรือใช้คีม จะมีเลือดออกใต้ผิวหนังที่ศีรษะเรียกว่า cephalhematoma อาการเลือดออกนี้อาจรุนแรงมากจนซีดได้ หากขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศจะมีเลือดออกมากทั้งนี้อาการและอาการแสดงจะแตกต่างกันขึ้นกับความรุนแรงของโรค อาการและอาการแสดงที่มักพบมีดังนี้
จ ้าเลือดใหญ่ๆ ตามล าตัวและแขนขา (large ecchymosis) เป็นอาการที่พบมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อได้รับการกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อย
เลือดออกในข้อและในกล้ามเนื้อ เมื่อเริ่มหัดคลาน ตั้งไข่ หรือเดิน ข้อที่มักมีเลือดออกมากที่สุด ได้แก่ ข้อเข่ารองลงมา คือ ข้อเท้า ข้อศอก ข้อนิ้วเท้า การมีเลือดออกในข้อทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดรุนแรง และมักไม่ยอมเคลื่อนไหวข้อทำให้เกิดภาวะข้อพิการ เนื่องจากกการติดแข็งของข้อและไม่ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม
เลือดออกเมื่อฟันน้ำนมหลุด
เลือดออกที่อวัยวะอื่นๆ เช่น ในทางเดินอาหาร สมอง ซึ่งพบได้ไม่มาก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การทดสอบปัจจัยการแข็งตัวของเลือด
การรักษา
1.การดูแลอย่างองค์รวม
การรักษาเฉพาะที่
การรักษาทดแทนด้วยแฟคเตอร์เข้มข้นหรือส่วนประกอบเลือด
การรักษาด้วย DDAVP (1-deamino 8D-arginine vasopressin) หรือ desmopressin
5.การดูแลสุขภาพฟัน
การพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาทางนีโอพลาสม :fire:
มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
สาเหตุ
ไม่ทราบแน่นอน แต่พบว่าภาวะเหล่านี้มีอุบัติการณ์ท าให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว ได้แก่ พันธุกรรม การได้รับรังสี เคมี หรือไวรัสบางชนิด การติดเชื้อ
พยาธิสภาพ
เกิดจากมีเซลล์ต้นก าเนิด (stem cell) ในไขกระดูก กลายไปเป็นเซลล์มะเร็ง แล้วแบ่งตัวไม่หยุดและไม่มีการเจริญเป็นตัวแก่ มีผลให้การท างานของไขกระดูกผิดปกติ เม็ดเลือดขาวตัวอ่อนจะแทรกซึมเข้าไปในอวัยวะเกิดจากมีเซลล์ต้นก าเนิด (stem cell) ในไขกระดูก กลายไปเป็นเซลล์มะเร็ง แล้วแบ่งตัวไม่หยุดและไม่มีการเจริญเป็นตัวแก่ มีผลให้การท างานของไขกระดูกผิดปกติ เม็ดเลือดขาวตัวอ่อนจะแทรกซึมเข้าไปในอวัยวะชนิดที่พบบ่อยจะเป็นพวก lymphoblast สามารถรักษาให้ หายขาดได้ การพยากรณ์โรคดี ส่วน nonlymphoblast พบได้น้อย การรักษาได้ผลไม่ดี ช่วยเพียงให้ผู้ป่ วยมีชีวิตยืนยาวขึ้น แต่ไม่หายขาด
อาการและการแสดง
อาการที่เกิดจากไขกระดูกถูกกด จะมีอาการแสดงของเม็ดเลือดแดงต่ำ ได้แก่ ซีด อ่อนเพลีย หอบเหนื่อย หัวใจเต้นเร็ว หัวใจวายจากซีดมาก มีอาการแสดงของการติดเชื้อจากเม็ดเลือดขาวต ่า มีไข้ แผลในปาก
อาการและอาการแสดงที่เกิดจากเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวลุกลามไปในอวัยวะอื่นๆ
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติ ได้แก่ ประวัติการเกิด การเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อม การเจ็บป่ วยในอดีต การได้รับยาหรือสารเคมีอาการผิดปกติต่างๆ เช่น น้ำหนักลด มีไข้ ติดเชื้อบ่อยๆ
การตรวจร่างกาย เพื่อสังเกตภาวะซีด ภาวะเลือดออกที่ผิวหนัง ต่อมน ้าเหลืองโต ตับม้ามโต การทำงานหัวใจอัตราชีพจร ความดันโลหิต
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การรักษา
การให้ยาเคมีบำบัด (chemotherapy)
การใช้รังสีรักษา (radiotherapy)
การรักษาด้วยการระตุ้นภูมิคุ้มกัน
. การปลูกถ่ายไขกระดูกหรือเซลล์ต้นก าเนิดเม็ดเลือด (bone marrow transplantation : BMT หรือ stem
cell transplantation : SCT)
การรักษาตามอาการ เช่น การให้เลือด การรักษาภาวะแทรกซ้อนจากยา หรือรังสีรักษา
มะเร็งต่อมน้าเหลือง (Lymphoma)
มะเร็งต่อมน ้าเหลือง (Lymphoma) หมายถึง กลุ่มโรคที่เกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ในต่อมน ้าเหลืองผิดปกติทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาของอวัยวะในระบบน ้าเหลือง เป็นมะเร็ง ที่พบได้บ่อยในเด็ก พบประมาณร้อยละ15 ของมะเร็งในเด็ก พบในเด็กผู้ชายมากกว่าผู้หญิง (Pilitteri, 2010 : 1597) แบ่งเป็น
Hodgkin's disease (HD)
Non-Hodgkin’s lymphoma (NHL)
สาเหตุ
-
เชื้อไวรัส โดยเฉพาะ Ebstein-Bar virus (EBV)
การได้รับยากดภูมิคุ้มกันเป็นระยะเวลานานๆ
สิ่งแวดล้อม
1. Hodgkin's disease (HD)
เป็นมะเร็งของระบบน ้าเหลือง (lymphoid system) ชนิดหนึ่ง มีลักษณะผิดปกติของเซลล์ต่อม ท าให้ต่อมน้ำเหลืองโตโดยไม่ทราบสาเหตุ พบประมาณร้อยละ 15 ของมะเร็งทั้งหมด และประมาณร้อยละ 40 ของมะเร็งต่อมน ้าเหลือง พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง พบมากขึ้นในเด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ (Pilitteri, 2010 :1597) และพบได้มากขึ้นในเด็กที่เป็นหรือมีประวัติครอบครัวเป็น rheumatoid arthritis หรือ SLE
พยาธิสภาพ
ต่อมน้ำเหลืองมีขนาดโตขึ้น เริ่มโตบริเวณคอและเมดิเอสตินัม แล้วจึงแพร่กระจายไปยังต่อมน ้าเหลืองที่ติดต่อกันจากนั้นจึงแพร่ไปยังอวัยวะอื่นแพร่กระจายไปได้ทั่วร่างกาย เช่น ตับ ม้าม ปอด และไขกระดูก
อาการและอาการแสดง
อาการที่พบบ่อยที่สุด คือ ต่อมน ้าเหลืองโต ร้อยละ 90 ต่อมน้ําเหลืองที่บริเวณ Supraclavicle ร้อยละ 60-80ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ และขาพบน้อย กดไม่เจ็บ ไม่มีการอักเสบ ถ้าก้อนโตจะกดเจ็บ ต่อมน ้าเหลืองโตทีละติอมและเป็นข้างเดียว
การวินิจฉัยโรค
จากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย มีต่อมน ้าเหลืองโต ตรวจต่อมน ้าเหลืองทุกกลุ่ม วัดขนาดต่อมที่โต
ถ่ายภาพรังสีเพื่อประเมินว่ามีการกระจายถึงต่อมน ้าเหลืองบริเวณ cervical และ mediastinum หรือไม
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
2. Non-Hodgkin’s lymphoma (NHL)
เป็นกลุ่มของโรคมะเร็งของต่อมน ้าเหลืองที่มีความผิดปกติในลิมโฟซัยต์ ซึ่งแตกต่างจาก Hodgkin's disease
คือ มักเป็นแบบแพร่กระจายมากกว่าเป็นก้อน ชนิดรุนแรง มีการด าเนินของโรคเร็ว แพร่กระจายง่าย และมักลุกลามเข้าเมดิแอสตินัม เยื่อหุ้มสมอง และชนิดด าเนินโรคช้า อัตราการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งช้า มีอาการน้อย อาจอยู่ได้นานเป็น 10 ปี จึงมีอาการของโรคซึ่งเป็นระยะที่โรคแพร่กระจายแล้ว
Non-Hodgkin’s lymphoma (NHL) พบได้บ่อยกว่า Hodgkin's disease พบประมาณร้อยละ 60 ของมะเร็ง
ต่อมน ้าเหลือง พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงในอัตราส่วน 3 : 1 พบ 1-1.5 คนต่อประชากรเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี แสนคน พบทุกอายุพบมากในช่วงอายุ 5-15 ปี (Hockenberry & Wilson, 2009 : 939)
อาการและอาการแสดง
อาการของ NHL มีหลายอาการที่มีอาการเช่นเดียวกับ Hodgkin's disease มะเร็งเม็ดเลือดขาว และขึ้นกับตำแหน่งเริ่มต้นและการกระจายไปยังอวัยวะอื่น ส่วนมากมักเริ่มเป็นที่บริเวณช่องท้อง คอ กดไม่เจ็บ ต่อมน ้าเหลืองบริเวณclavicle, Supraclavicle โตโดยไม่ทราบสาเหตุ ก้อนจะโตเร็วใน 1-2 สัปดาห์ ก้อนจะแข็ง ส่วนมากลักษณะอาการจะสัมพันธ์กับชนิดของ NHL
การวินิจฉัยโรค
ตรวจชิ้นเนื้อของต่อมน ้าเหลืองที่โตขึ้น
เจาะไขกระดูกพบ lymphoblast น้อยกว่า ร้อยละ 25 และไม่พบ lymphoblast ในเลือด แต่ถ้าพบlymphoblast มากกว่าร้อยละ 25 ให้ถือว่า เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ตรวจ radiologic study, CT Scan ปอด ระบบทางเดินอาหาร และเจาะหลัง เพื่อหาต าแหน่งและการกระจายของโรค
การรักษา
เคมีบำบัด โปรแกรมที่นิยมใช้ ได้แก่ CHOP (มีประสิทธิภาพดีในการักษาหลายระยะของโรค) CVP EPOCHFludarabine (nucleoside analogue) มักใช้ร่วมกับยาเคมีบ าบัดในโปรแกรม FMD
การรักษาด้วยการฉายรังสี เป็นการใช้รังสีขนาดสูงใช้ในรายที่เป็นมะเร็งระยะแรกๆ
การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบ าบัด
การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด อาจใช้ไขกระดูกของผู้ป่ วยเองก่อนที่เซลล์มะเร็งจะลุกลาม เข้าไขกระดูก ตามด้วยการให้เคมีบำบัดในขนาดสูง
การพยาบาล
ประเมินอาการและอาการที่อาจเกิดจากระดับโพแทสเซียม ฟอสเฟตสูงเกิน หรือแคลเซียมในเลือดต่ำ ให้การรักษาด้วยเคมีบ าบัด เด็กอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระดับเม็ดเลือดขาวต ่าลงจากผลข้างเคียงของยา ส่วนการพยาบาล อื่นๆ ใหการพยาบาลเช่นเดียวกับเด็กที่เป็นมะเร็งอื่นๆ ที่ได้รับการรักษาด้วยรังสีรักษาและเคมีบ าบัด
มะเร็งของไต (Wilms’tumor, Nephroblastoma)
:fire:
มะเร็งของไต (Wilms’tumor, Nephroblastoma) เป็นมะเร็งของเนื้อเยื่อเริ่มแรกของไตชั้น parenchyma ที่ไม่สามารถ เจริญเติบโตได้ตามปกติ ส่วนใหญ่จะมีขนาดใหญ่จนคล าได้ทางหน้าท้อง และมักจะเป็นที่ไตข้างใดข้างหนึ่งช่วงอายุที่พบบ่อยเฉลี่ยประมาณ 1-5 ปี พบบ่อยที่สุดในเด็กอายุ 3-4 ปี พบในเด็กชาย และเด็กหญิงอัตราส่วนเท่ากัน
สาเหตุ
ไม่ทราบแน่นอน แต่เนื่องจากเป็นเนื้องอกที่พบมากในวัยเด็ก จึงเชื่อว่าอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อชั้น
mesoderm ผิดปกติตั้งแต่ระยะที่ทารกเป็นตัวอ่อน (embryo)
พยาธิสภาพ
ก้อนมะเร็งมักเป็นก้อนขนาดใหญ่ ทำให้มีอาการท้องโต หรือคลำก้อนได้บนท้อง นอกจากนี้การที่ก้อนโตเร็ว และ
อยู่ภายในเนื้อไต จึงท าให้เยื่อก้อนหุ้มมะเร็งบางลง ฉีกขาดง่าย และลุกลามเข้าไปในเนื้อไตหรือหลอดเลือดในไต ทำให้มีอาการถ่ายปัสสาวะเป็นเลือดได
อาการและอาการแสดง
คลำพบก้อนที่ท้อง เป็นอาการที่พบมากที่สุด ก้อนเรียบ กดไม่เจ็บ กดเจ็บนั่นคือ
ปัสสาวะเป็นเลือดโดยไม่มีอาการปวด
ซีด
ปวดท้อง มีไข้ เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน (กรณีมีเลือดออกในก้อนมะเร็ง)
ความดันโลหิตสูง
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติ อายุของเด็ก การพบก้อนในท้อง อาการที่พบร่วมด้วย เช่น ปัสสาวะเป็นเลือดสด น้ำหนักลดเบื่ออาหาร ซีด คลื่นไส้ ตรวจร่างกายคลำไม่ให้ก้อนแตกเพราะจะทำให้มะเร็งกระจาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การรักษา
การผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออก
รังสีรักษา ที่บริเวณตำแหน่งไต
การให้เคมีบำบัด
การพยาบาล
เมื่อได้ทราบว่าเด็กเป็นมะเร็งของไต บิดา มารดาจะรู้สึกช็อค ขณะที่ทราบผลการวินิจฉัย เด็กยังไม่มีอาการ
รุนแรง นอกจากมีก้อนในท้อง และเด็กเป็นมะเร็งของไตต้องเริ่มให้การรักษา การพยาบาลมะเร็งไตจะให้การพยาบาลเช่นเดียวกับมะเร็งอื่นๆ แต่เพิ่มเติม
การพยาบาลระยะก่อนผ่าตัด
-ห้ามคลำท้องเด็ก โดยเขียนป้าย “ห้ามคลำท้อง” แขวนไว้หน้าเตียงเด็ก พร้อมทั้งบอกและอธิบายบิดามารดาให้ทราบถึงเหตุผลเพราะจะทำให้แตกและมะเร็งจะแพร่กระจายไปได้
-ประเมินการทำงานของไต ด้วยการสังเกตลักษณะและปริมาณปัสสาวะ ปริมาณน ้าเข้าออก
-ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันเลือด เด็กอาจมีความดันเลือดสูง
การพยาบาลหลังผ่าตัด
-ประเมินการท างานของระบบทางเดินอาหาร เช่น ฟังเสียงการเคลื่อนไหวของลำไส้ประเมินอาการท้องอืด อาการอาเจียน
-หลีกเลี่ยงการออกก าลังกายหนัก ระวังเรื่องการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ เนื่องจาเหลือไตข้างเดียว
-ดูแลประคับประคองสภาพจิตใจแก่บิดา มารดา พยาบาลควรสร้างความเข้าใจให้บิดา มารดาได้ทราบผลของการผ่าตัด
มะเร็งของเซลล์ประสาท(Neuroblastoma)
:fire:
มะเร็งของเซลล์ประสาท (Neuroblastoma) หมายถึง มะเร็งชนิดก้อนที่พบบ่อยในเด็กเล็ก เกิดจากเซลล์ประสาทอ่อน neural crest ซึ่งตามปกติจะเจริญเป็น sympathetic ganglion cell จึงพบโรคได้ตามแนวของเส้นประสาทซิมพาเธติค ทั้งนี้อาจมีก้อนในช่องอก ช่องท้อง แต่ที่พบมากที่สุด คือ ที่ส่วนเมดัลลาของต่อมหมวกไต พบในเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ 5 ปี เด็กชายและเด็กหญิงพบในอัตราส่วนเท่ากัน
สาเหตุ
ไม่ทราบแน่นอน แต่เนื่องจากเป็นเนื้องอกที่พบมากในวัยเด็ก และมีรายงานพบว่ามีผู้ป่ วยหลายคนในครอบครัวเดียวกัน จึงมีข้อสันนิษฐานว่าอาจมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
พยาธิสภาพ
ก้อนเนื้องอกมักเป็นก้อนขนาดใหญ่ที่เกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์ประสาทอ่อน (neural crest) ซึ่งมักมีทั่วไปในร่างกาย แต่มักพบที่บริเวณต่อมหมวกไตชั้นเมดัลลา (adrenal medulla) จึงทำให้มีอาการท้องโต หรือคลำก้อน ก้อนเนื้องอกมักเป็นก้อนขนาดใหญ่ที่เกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์ประสาทอ่อน (neural crest) ซึ่งมักมี
ทั่วไปในร่างกาย แต่มักพบที่บริเวณต่อมหมวกไตชั้นเมดัลลา (adrenal medulla) จึงทำให้มีอาการท้องโต หรือคลำก้อนให้ขาอ่อนแรง เดินไม่ได
อาการและอาการแสดง
มีก้อนในช่องท้อง หรือส่วนอื่นๆ เช่น ในช่องอก คอ ก้อนบริเวณหลังลูกตา ทำให้ดันลูกตาโปนออกมา รอยจ้ำเขียวรอบดวงตา (Raccoon eye) ลุกลามไปกดไขสันหลังทำให้แขนขาอ่อนแรง อัมพาตท่อนล่าง ลุกลามไปผิวหนังทำให้ผิวหนังเป็นสีน ้าเงิน ลุกลามไปไขกระดูก จะทำให้ปวดกระดูก ซีด เกล็ดเลือดต่ำ
อาการทั่วไป เช่น มีไข้ น ้าหนักลด อ่อนเพลีย รับประทานได้น้อย ถ่ายอุจจาระเหลวบ่อยครั้ง
ต่อมหมวกไตถูกกด ก้อนเนื้องอกปล่อยสาร Catecholamine คือ epinephrine, norepinephrine ออกมามาก ได้แก่ มีความดันเลือดสูง เหงื่อออกมาก ตัวแดงสลับซีด เป็นพักๆ และท้องเดินจากการปล่อยสาร Vasoactiveintestinal peptide ออกมามาก
การวินิจฉัยโรค
การเจาะไขกระดูก อาจพบเซลล์มะเร็งที่แพร่กระจายเข้ามาในไขกระดูก ซึ่งมีลักษณะการรวมตัวเป็นรูปแบบเฉพาะ เรียกว่า rosette formation
ตรวจปัสสาวะ 24 ชั่วโมง หา VMA และ HAV และระดับ VMA /creatinine จะพบ VMA และ HAV สูงเกิดจากการย่อยสลาย Catecholamine
ตรวจ ferritin ในเลือด ดูการพยากรณ์โรค ถ้าสูงจะมีการการพยากรณ์โรคไม่ดี
Ultrasound, IVP, CT abdomen ในรายที่มีก้อนที่บริเวณต่อมหมวกไต ผลการตรวจ IVP จะพบว่าไตมีขนาดปกติ calyx ปกติ
การรักษา
-การผ่าตัด ท าในระยะทื่ 1 ,2
-การให้รังสีรักษา
-การให้ยาเคมีบ าบัด ให้ในระยะที่ 2 ขึ้นไป
การพยาบาล
ให้การพยาบาลตามอาการและอาการแสดง ซึ่งขึ้นกับต าแหน่งเนื้องอก ประเมินความดันเลือดเป็นระยะๆ หรือการดูแลผิวหนังให้แห้งเพราะเด็กจะมีเหงื่ออกมาก การพยาบาลอื่นๆจะเป็นการดูแลเด็กที่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดรังสีรักษา และหรือเคมีบ าบัด เป็นมะเร็งชนิดที่การพยากรณ์โรคไม่ดี เพราะส่วนมากเด็กมักมาเมื่อมีการกระจาย บิดา
มารดาอาจจะรู้สึกเสียใจ รู้สึกผิดที่น าบุตรมาช้า ต้องการการดูแลประคับประคองทางจิตใจ
สรุปข้อวินิจฉัยการพยาบาลเด็กโรคมะเร็ง
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 1 มีภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจน เนื่องจากภาวะซีด
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 2เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกง่าย เนื่องจากเกล็ดเลือดต ่ำ
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 3 เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบต่างๆ ของร่างกาย เนื่องจากภูมิต้านทานต่ำเพราะมีปริมาณเม็ดเลือดขาวต่ำ
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 4 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับเลือด เช่น อาการไข้ หนาวสั่น อาการแพ้เลือดแอ
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 5 มีความไม่สุขสบายและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากอาการข้างเคียงของยาเคมีบำบัดได้แก่
คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
ผมร่วง
ระดับกรดยูริกสูง ซึ่งอาจท าให้เกิดภาวะไตเสียหน้าที่ หรือไตวาย
เกิดแผลในเยื่อบุต่างๆ เช่น ในปาก ทางเดินอาหาร รอบๆทวารหนัก
กดไขกระดูก
เป็นพิษต่อระบบประสาท
เป็นพิษต่อไต และกระเพาะปัสสาวะ
เป็นพิษต่อตับ
เป็นพิษต่อกล้ามเนื้อหัวใจ
อาจเกิดเนื้อตาย (tissue necrosis) จากยาเคมีบ าบัดที่มฤี ทธิ์ระคายเคืองสงู หรอื ร่วั ออกนอนเสน้ เลอื ด
ท าให้เกิดมะเร็งทุติยภูม
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
รับประทานอาหารได้
ไม่มีแผลในปาก หรือเยื่อบุต่างๆ ของร่างกาย
ไม่มีอาการอักเสบของหลอดเลือดด าบริเวณที่ฉีดยาเคมีบ าบัด
ไม่มีอาการติดเชื้อในร่างกาย
เป้าหมายการพยาบาล
ีความสุขสบายมากขึ้น ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากอาการข้างเคียงของยา
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินสภาวะผู้ป่วยเด็กว่าสามารถรับการรักษด้วยเคมีบำบัดได้ โดยมีเกณฑ์ดังนี้
WBC 3,000 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร หรือ ANC > 500 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร
ไม่มีภาวะติดเชื้อที่รุนแรง
ไม่มีไข้เนื่องจากการติดเชื้อ
ไม่มีภาวะซีดรุนแรง
ได้รับการตรวจหน้าที่การท างานของ ไต ตับ การตรวจอื่นๆ เช่น คลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น
รักษาความสะอาดของร่างกายและสิ่งแวดล้อมของผู้ป่ วย แยกจากผู้ป่ วยอื่นที่มีภาวะติดเชื้อ
ให้ผู้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย แคลอรีสูง
ดูแลให้ผู้ป่ วยท าความสะอาดช่องปาก ด้วยการบ้วนปากบ่อยๆ แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยแปรง
ขนาดเล็ก ขนแปรงอ่อน ถ้ามีแผลในปากให้ทาด้วยยาแก้ อักเสบ หรือยาชา เช่น xylocaine viscous ก่อนรับประทานอาหารทุกมื้อ
ใช้เข็มหรือสายสวนหลอดเลือดด าขนาดเล็ก ในการให้ยาเคมีบ าบัดแก่ผู้ป่ วยเด็ก และสังเกตอาการบวม แดงอ
ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันภาวะกรดยูริกในเลือดสูง
วัดและบันทึกสัญญาณชีพ
สังเกตอาการผิดปกติต่างๆ
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 6 มีความไม่สุขสบายและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากอาการข้างเคียงของรังสี
รักษา
อาการเฉพาะที่ ผิวหนังบริเวณที่ฉายแสงอาจมีสีคล ้า หรือเป็นผื่นแดง หรือพองเป็นตุ่มใสและแตกเป็นแผลเรื้อรัง
อาการทั่วๆ ไป ได้แก่ อาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ผมร่วง ถ่ายอุจจาระเหลว หากฉายแสงบริเวณช่องท้อง
กดไขกระดูก หากฉายแสงบริเวณโพรงกระดูก ทำให้เม็ดเลือดทุกชนิดต่ำ
เป้าหมายการพยาบาล
มีความสุขสบายมากขึ้น ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับรังสีรักษา
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายอุจจาระเหลว
รับประทานอาหารได้
ผิวหนังบริเวณที่ฉายรังสี ไม่มีอาการอักเสบ หรือเป็นแผล
ไม่มีอาการติดเชื้อในร่างกาย
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินสภาวะผู้ป่วยเด็กว่าสามารถรับการรักษด้วยเคมีบำบัดได้ โดยมีเกณฑ์ดังนี้
WBC 3,000 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร หรือ ANC > 500 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร50
ไม่มีภาวะติดเชื้อที่รุนแรง
ไม่มีไข้เนื่องจากการติดเชื้อ
ไม่มีภาวะซีดรุนแรง
รักษาความสะอาดของร่างกายและสิ่งแวดล้อมของผู้ป่ วย แยกจากผู้ป่ วยอื่นที่มีภาวะติดเชื้อ
ให้ผู้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย แคลอรีสูง
ดูแลให้ผู้ป่ วยท าความสะอาดช่องปาก ด้วยการบ้วนปากบ่อยๆ แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยแปรงขนาดเล็ก ขนแปรงอ่อน
ถ้าเป็นเด็กเล็ก อาจจำเป็นต้องให้ยานอนหลับแก่ผู้ป่ ฃวยก่อนส่งไปฉายรังสี
ดูแลผิวหนังบริเวณที่ฉายแสงให้แห้งสะอาดเสมอ หากเป็นแผลให้ทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือนอร์มัล
สังเกตอาการผิดปกติต่างๆ
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 7 เสี่ยงต่อการเกิด ภาวะขาดสารน้า สารอาหาร เนื่องจากอาการคลื่นไส้อาเจียน และหรือเจ็บแผลในปาก
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 8 มีความเจ็บปวดในส่วนต่างๆ ของร่างกายจากพยาธิสภาพของโรค
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 9 ผู้ป่วยเด็ก และบิดามารดา/ผู้เลี้ยงดู มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเจ็บป่วย
้