Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบหัวใจ - Coggle Diagram
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบหัวใจ
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด(Congenital Heart Disease)
โรคหัวใจที่ไม่มีอาการตัวเขียว
Ventricular Septal Defect (VSD)
ผนังกั้นหัวใจห้องล่างรั่ว
มีรูรั่วที่ผนังกั้นห้องหัวใจห้องล่าง
ทำให้เลือดแดงจากหัวใจห้องล่างซ้ายผ่านรูรั่วไปยังห้องล่างขวา ออกสู่หลอดเลือดแดงของปอด
ทำให้ปริมาณเลือดที่ไปยังปอดมีมากขึ้น ปริมาณเลือดที่กลับเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้ายและล่างซ้ายก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
ส่งผลให้หัวใจห้องซ้ายทำงานมากขึ้นจนหัวใจวายได้
อาการและอาการแสดง
มีเหงื่อออกมากโดยเฉพาะเวลาดูดนม
ตัวเล็กเลี้ยงไม่โต
ติดเชื้อระบบหายใจได้บ่อย
อาการและอาการแสดงของผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคหัวใจ VSD
ขนาดเล็กมักไม่มีอาการผิดปกติ แต่ฟังเสียงหัวใจได้ยินเสียงฟู่ตั้งแต่อายุ 1-2 สัปดาห์ หรืออาจตรวจพบเมื่อเด็กอยู่ในวัยก่อนเรียน
ขนาดกลาง จะมีอาการหายใจเร็ว หายใจลำบาก เหนื่อยหอบและเหงื่อออกบวมน้ำ
ขนาดใหญ่ มีอาการเหนื่อยง่ายเวลาดูดนม ดังนั้นเวลาให้นมต้องให้แบบหยด (Dropper) มีเหงื่อออกมาก หายใจเร็ว มักมีอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจวาย เวลาร้องไห้มีเขียวได้
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะหัวใจวาย เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุด
ภาวะความดันภายในหลอดเลือดที่ปอดสูง
ภาวะติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากการมีเลือดคั่งในปอด
ภาวะติดเชื้อที่หัวใจ เนื่องจากการมีรูรั่วที่ผนังกั้นห้องหัวใจห้องล่าง
การดูแลรักษา
การดูแลรักษาในระหว่างที่ยังไม่ได้รับการผ่าตัด
ดูแลให้เด็กรับประทานยาป้องกันภาวะหัวใจวายอย่างถูกต้อง ไม่หยุดยาหรือเปลี่ยนยาเอง
ดูแลเด็กให้รับประทานนมและน้ำตามปริมาณที่แพทย์กำหนด
ดูแลเด็กไม่ให้เด็กรับประทานอาหารรสเค็ม อาหารหมักดอง อาหารที่ใส่ผงชูรสและอาหารที่มีส่วนผสมของผงฟูเพราะจะทำให้เกิดอาการบวมและหัวใจทำงานมากขึ้น
ดูแลให้เด็กรับประทานอาหารหรือนมในปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง เด็กเล็กให้ดูดนมแต่ละมื้อห่างกัน 2-3 ชั่วโมงและใช้หัวนมที่มีรูใหญ่เพื่อลดการใช้แรงดูดนม เด็กโตควรจัดอาหารเสริมที่มีพลังงานสูงระหว่างมื้อและควรเป็นอาหารที่ย่อยง่ายเพื่อลดการใช้พลังงาน
ดูแลให้เด็กนอนหลับอย่างเพียงพอ
ไม่ควรให้เด็กร้องไห้นาน
งดการเล่นที่ต้องใช้แรงมากและมีการแข่งขัน
ป้องกันไม่ให้เด็กท้องผูก
เช็ดตัวลดไข้ให้เด็กทุกครั้งเมื่อมีไข้และควรพาไปพบแพทย์
การดูแลรักษาด้วยการผ่าตัด
การผ่าตัดปิดรูรั่ว เป็นการทำผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติที่มีโดยผ่าตัดปิดรูรั่วที่ผนังกั้นห้องหัวใจ หลังผ่าตัดจะมีแผลผ่าตัดบริเวณกลางหน้าอก ผู้ปกครองยังต้องดูแลป้องกันภาวะหัวใจวายให้เด็กหลังผ่าตัดระยะแรกและพาเด็กมาตรวจตามแพทย์นัดหลังผ่าตัด หากการผ่าตัดประสบความสำเร็จดีสามารถแก้ไขความผิดปกติได้หมด เด็กจะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
การรักษาด้วยการสวนหัวใจ ปัจจุบันสามารถใช้วิธีการสวนหัวใจทำการปิดรูรั่วที่ผนังกั้นหัวใจห้องล่างได้เป็นผลสำเร็จดีด้วยการใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายร่มนำไปปิดตรงบริเวณรูรั่ว วิธีนี้สามารถรักษาได้เฉพาะในรายที่มีรูรั่วขนาดเล็กเท่านั้น หากมีรูรั่วขนาดใหญ่หรืออยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถวางอุปกรณ์ปิดรูรั่วได้จะต้องรับการผ่าตัดแก้ไขต่อไป
การพยาบาลหลังการรักษาด้วยการสวนหัวใจ
ประเมินสภาพแรกรับ, stability ของผู้ป่วยโดยการวัด vital signs ทุก 15 นาที × 1 ชั่วโมง ทุก 30 นาที × 1 ชั่วโมง, ทุกชั่วโมงจน stableหลังจากนั้นทุก 4 ชั่วโมง
ประเมินสภาวะพื้นฐานทางระบบประสาท(Neurovascular status)
เฝ้าระวังภาวะเลือดออก และการเกิดเลือดออกในเนื้อเยื่อ (hematoma) บริเวณแผลที่ทำการสวนหัวใจ
ดูแลให้นอนพักบนเตียงและการจำกัดการเคลื่อนไหวของแขน/ขาข้างที่สวนหัวใจ
ประเมินและเฝ้าระวังอุณหภูมิทั้ง coreและ peripheral temperature
ประเมินและตรวจดูบริเวณตำแหน่งที่ให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ
Atrial Septal Defect (ASD)
สาเหตุ
ผนังกั้นหัวใจบนรั่วเป็นความผิดปกติตั้งแต่กำเนิดในระบบไหลเวียนโลหิตของทารก ในครรภ์ปกติจะมีรูเปิดอยู่ เพื่อให้เลือดนั้นไม่ต้องผ่านปอด (ระหว่างอยู่ในครรภ์ เลือดจะถูกฟอกผ่านรก โดยปอดจะยังไม่ทำงาน) โดยเลือดจะเข้าสู่หัวใจห้องบนขวาเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้ายแล้วผ่านลงไปยังหัวใจห้องล่างซ้าย แล้วเลือดก็จะถูกสูบฉีดไปเลี้ยงร่างกายต่อไปและเมื่อเด็กเกิดออกมา ช่องโหว่นี้จะถูกปิด ถ้าไม่ปิด เลือดก็จะไหลจากหัวใจห้องบนซ้ายไปยังห้องบนขวา หรือไหลจากหัวใจห้องบนขวาไปยังหัวใจห้องบนซ้าย
อาการและอาการแสดง
อายุต่ำกว่า 5 ปี มักไม่มีอาการ เมื่อโตขึ้นมักตรวจพบโดยบังเอิญ
หากมีความดันเลือดในปอดสูง หรือ ASD มีขนาดใหญ่ มักจะมีอาการเหนื่อยง่าย เหงื่อออกมาก มีอาการของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
ตรวจร่างกาย คลำได้หัวใจห้องล่างขวาโตและเต้นแรงกว่าปกติ อาจคลำ thrill และ ฟังเสียง murmur ได้บริเวณกระดูกอกด้านซ้ายบน
ภาวะแทรกซ้อน
โรคหัวใจล้มเหลว
การติดเชื้อแบคทีเรียในหัวใจ
ลิ้นหัวใจรั่ว
การเติบโตช้า
หัวใจบีบตัวผิดจังหวะ
ความดันในปอดสูง
การรักษา
ในผู้ป่วยที่มีรูรั่วขนาดเล็ก รูรั่วจะค่อย ๆ เล็กลงและปิดได้เอง และหากผู้ป่วยแสดงอาการภาวะหัวใจล้มเหลว จำเป็นต้องใช้ยารักษา เพื่อประคับประคองอาการ หากไม่ดูแลรักษาอาจเกิด Infective endocarditis
Patent ductus ateriosus (PDA)
สาเหตุ
การคลอดก่อนกำหนด
มีภาวะขาดออกซิเจนขณะคลอด
มารดาที่มีการติดเชื้อหัดเยอรมันหรือการได้รับสารต่างๆ เช่น ยาแอมเฟตามีน ยากันชัก โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
อาการ
ในเด็กที่มีเส้นเลือดเกินขนาดเล็ก มักไม่มีอาการผิดปกติแต่เป็นการตรวจพบโดยบังเอิญเมื่อเด็กมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคอื่นแล้วไปพบแพทย์ ในบางรายอาจมีอาการเหนื่อยง่ายเวลาเล่นเมื่อเทียบกับเด็กอื่น
ในเด็กที่มีเส้นเลือดเกินขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ มักมีอาการหัวใจวาย โดยมีอาการเหนื่อยหอบ กระสับกระส่าย หายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นเร็ว
ภาวะแทรกซ้อน
1.ภาวะหัวใจวาย
2.ภาวะความดันภายในหลอดเลือดที่ปอดสูง
ภาวะติดเชื้อที่ปอด
ภาวะติดเชื้อที่หัวใจ
การดูแล
ป้องกันการเกิดภาวะหัวใจวาย
ป้องกันการติดเชื้อ
การรักษา
การให้ยาเพื่อปิดเส้นเลือด PDA ยาที่ใช้รักษาเพื่อปิดเส้นเลือดเกิน คือ ยาอินโดเมทาซิน (Indomethacin) โดยยานี้มีฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดเกินค่อย ๆ หดตัวและปิดในที่สุด ผลข้างเคียงของยาอาจทำให้ไตวายได้ หากได้รับยานี้ต้องสังเกตการปัสสาวะของเด็กว่าเด็กมีปัสสาวะน้อยลงหรือมีสีผิดปกติ
การให้ยาเพื่อควบคุมและป้องกันภาวะหัวใจวาย ภาวะหัวใจวายเป็นภาวะแทรกซ้อนที่มักเกิดขึ้นในเด็กที่มีเส้นเลือดเกินขนาดกลางและขนาดใหญ่ แพทย์จะให้ยาไดจ็อกซิน (digoxin) เพื่อช่วยบีบตัวให้หัวใจบีบตัวได้ดีขึ้น และให้ยาขับปัสสาวะ เช่น ยาลาซิกซ์ (Lasix) อัลแด็กโตน (Aldactone) เป็นต้น เพื่อลดการคั่งของน้ำในร่างกาย
การรักษาด้วยการผ่าตัด ในเด็กที่ไม่มีอาการหัวใจวายจะทำผ่าตัดเมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไป เพราะร่างกายมีความสมบูรณ์และรอให้เส้นเลือดเกินปิดเอง โดยเส้นเลือดเกินนี้อาจปิดเองได้ภายในอายุ 1 ปี ส่วนในรายที่มีอาการหัวใจวายจนไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยาจะต้องผ่าตัดปิดเส้นเลือดเกิน
การรักษาด้วยการทำสวนหัวใจ ปัจจุบันสามารถปิดเส้นเลือดเกินได้โดยไม่ต้องทำผ่าตัด ด้วยการใช้วิธีการสวนหัวใจและใช้อุปกรณ์พิเศษที่มีเหมือนขดลวดขนาดเล็กที่สามารถขดตัวอยู่ในหลอดเลือดแล้วทำให้มีลิ่มเลือดมาเกาะที่บริเวณขดลวดนี้จนอุดหลอดเลือดเกิน เลือดจึงไม่สามารถไหลผ่านหลอดเลือดนี้ได้อีกต่อไป
ภาวะ Eisenmenger
ผู้ป่วยจะมีอาการไอเป็นเลือด (Hemoptysis ) เจ็บหน้าอก(Chest pain ) หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ(Arrhythmia ) หอบเหนื่อย เป็นลม หมดสติ และอาจถึงแก่ความตาย การรักษาพยาบาลดูแลตามอาการ เนื่องจากเป็นภาวะที่ไม่สามารถช่วยให้หายได้
Coarctation of Aorta (CoA)
1). ชนิดที่พบในเด็กทารก
อาการสำคัญ
1.มีความดันโลหิตที่แขนสูงมากกว่าขา
2.มีอาการเขียวเฉพาะส่วนล่างของร่างกาย
3.หัวใจวาย
4.มีเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ
การดูแลรักษา
ป้องกันภาวะเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ แพทย์จะให้ยาพรอสต้าแกลนดินแก่เด็กทางหลอดเลือดดำเพื่อช่วยขยายเส้นเลือดเกินนี้ไว้ไม่ให้หดเล็ป้องกันภาวะเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ แพทย์จะให้ยาพรอสต้าแกลนดินแก่เด็กทางหลอดเลือดดำเพื่อช่วยขยายเส้นเลือดเกินนี้ไว้ไม่ให้หดเล็กแต่ต้องระวังผลข้างเคียงของยาที่อาจทำให้เด็กหยุดหายใจและมีไข้ได้
ควบคุมภาวะหัวใจวาย ในกรณีที่เด็กมีอาการหัวใจวายแพทย์จะให้ยาเพื่อควบคุมภาวะหัวใจวาย ได้แก่ ยาไดจ็อกซิน ยาขับปัสสาวะ ควรดูแลให้เด็กได้รับยาอย่างถูกต้องและปฏิบัติตามข้อปฏิบัติในการดูแลเด็กเพื่อป้องกันภาวะหัวใจวาย
ทำผ่าตัด เมื่อสามารถควบคุมอาการหัวใจวายได้แล้วแพทย์จะทำผ่าตัดโดยตัดส่วนที่มีการตีบแคบออก
2). ชนิดที่พบในเด็กโตหรือผู้ใหญ่
อาการ
มีความดันโลหิตสูงที่แขนมากกว่าขา เนื่องจากเลือดแดงจากหัวใจห้องล่างซ้ายไหลผ่านบริเวณที่ตีบแคบนี้ไปได้น้อย
มีภาวะหัวใจวาย เนื่องจากเลือดแดงไหลออกทางเส้นเลือดเอออร์ต้าได้น้อยเป็นเวลานานทำให้มีการคั่งของเลือดแดงในหัวใจห้องล่างซ้าย
การดูแลรักษา
การทำผ่าตัด แพทย์จะทำผ่าตัดให้เมื่อหลอดเลือดของเด็กมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่หรืออายุ 3 ปีขึ้นไป เพราะถ้าทำผ่าตัดเร็วเกินไปจะมีการตีบแคบซ้ำได้ เนื่องจากจุดที่เย็บตัดต่อจะไม่โตขยายตาม แต่ถ้าปล่อยให้เป็นอยู่นานจนอายุเกิน 5 ปี อาจทำให้มีความดันโลหิตสูงและมีภาวะหัวใจวายได้
การทำบัลลูน เป็นการสวนหัวใจด้วยสายสวนชนิดที่สามารถทำให้
ปลายสายโป่งพองและถ่างขยายเส้นเลือดเอออร์ต้าได้
การใส่สเต็นท์ เป็นการสวนหัวใจเพื่อนำอุปกรณ์พิเศษที่มีลักษณะคล้ายโครงเหล็กขนาดเล็กถ่างขยายคาไว้บริเวณส่วนที่ตีบ การรักษาด้วยวิธีนี้ดีกว่าการทำบัลลูน เนื่องจากการตีบแคบจะหลงเหลืออยู่น้อยกว่า
Pulmonary Stenosis PS
เป็นภาวะที่ลิ้นหัวใจห้องล่างขวาเปิดไม่เต็มที่เนื่องจากหนาตัว แข็ง หรือเชื่อมประสานกันอย่างผิดปกติ ทำให้หัวใจต้องทำงานมากกว่าเดิม
โรคหัวใจที่มีอาการตัวเขียว ( Cyanotic Type)
Tetra logy of Fallot (TOF)
ลักษณะที่มีความผิดปกติ
1.มี Pulmonary artery ตีบ
2.มี VSD หรือ ผนังกั้นช่องติดต่อระหว่าง Ventricle ซ้ายและขวา
มีตำแหน่งของลิ้นหัวใจที่ aortic เลื่อนไปทางด้านขวา Aortic Overriding
4.มีการหนาตัวของ Ventricle ข้างขวา Right ventricular hypertrophy
พยาธิสภาพและสรีรวิทยา
ปริมาณเลือดที่ไปรับออกซิเจนที่ปอดน้อยกว่าปกติ
มีเลือดไหลผ่านจาก ventricle ขวาไปยัง ventricle ซ้ายทางรูรั่วระหว่าง ventricle ทั้ง 2 เลือดจำนวนนี้จะไปผสมกับเลือดที่ถูกฉีดออกจากVentricle ซ้าย ทำให้เลือดใน aorta มีออกซิเจนน้อยกว่าปกติและทำให้ผู้ป่วยมีอาการเขียว
ถ้า systemic vascular resistance ต่ำลงเลือดที่ไหลผ่านจาก ventricle ขวาไปยังventricle ซ้ายทางรูรั่วระหว่าง ventricle ทั้ง 2 จะและเลือดที่ไปรับออกซิเจนที่ปอดจะลดลงทำให้ ผู้ป่วยเขียวมากขึ้นในทางตรงกันข้ามถ้าsystemic vascular resistance เพิ่มขึ้นผู้ป่วยก็จะเขียวน้อยลง
อาการและอาการแสดง
ในเด็กที่เดินได้แล้วนั้นจะได้ประวัติว่าเด็กชอบนั่งยองๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้สึกเหนื่อย
อาการอื่นๆที่สำคัญได้แก่ อาการเขียวมากขึ้นทันที ในเด็กที่มีอาการมากอาจมีอาการตัวแข็ง ตาเหลือก ไม่รู้สึกตัว ชัก และอาจตายได้ เรียกภาวะนี้ว่า ภาวะ Cyanotic spell หรือ ภาวะ Anoxic Spell
อาการเขียวมากขึ้นทันทีนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเมื่อ อายุ 2-3 เดือน มักเป็นในตอนเช้าหลังตื่นนอน สิ่งที่อาจทำให้เกิดอาการ
การแก้ปัญหา ภาวะ Cyanotic spell
1.squatting หรือการนั่งยองๆ เป็นการทำเพื่อให้เกิดการพับของfemoral arteries และเพิ่ม systemic resistance ทำให้เลือดไปสู่ปอดมากขึ้น
2.ในทารกอาจจัดให้นอนท่า knee chest position
ภาวะแทรกซ้อน
สมองพิการ จาก cyanotic spells ที่เป็นบ่อยหรือนาน ๆ
Cerebrovascular accidents จากหลอดเลือดในสมองอุดตัน ในเด็กเล็ก
ฝีในสมอง มักพบในเด็กที่มีอายุมากกว่า 2 ปี
Infective endocarditis
Thrombotic pulmonary vascular disease
ความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด
ป้องกันภาวะเขียวกะทันหัน
ดูแลให้เด็กได้รับยาโพรพาโนโลน (propranolol) ตามที่แพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการเกิดภาวะเขียวกะทันหัน
ลดปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดภาวะเขียวกะทันหัน
บันทึกการเกิดอาการเขียวกะทันหันของเด็กทุกครั้งและแจ้งให้แพทย์
การช่วยเหลือเมื่อเด็กมีภาวะเขียวกะทันหัน
จัดให้เด็กอยู่ในท่างอเข่าขึ้นมาชิดหน้าอกมากที่สุด (Knee-chest position)
ปลอบให้สงบถ้าร้องไห้
ดูแลเด็กให้อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก
ถ้าอาการเขียวกะทันหันยังคงมีอยู่ และมีอาการหายใจเร็วหอบ ควรรีบพาเด็กมาพบแพทย์
รักษา
รักษาประคับประคองอาการ
การทำบอลลูน เป็นการทำสวนหัวใจโดยใช้สายสวนชนิดพิเศษถ่าง
บริเวณเส้นเลือดที่ตีบ
การผ่าตัดต่อเส้นเลือดเทียม
ผ่าตัดแก้ไขความพิการทั้งหมด
Transposition of the Great Vessels (TGV)
คือการที่หลอดเลือดดำและแดงของหัวใจสลับขั้วกันอย่างสิ้นเชิง จากขวาเป็นซ้าย จากซ้ายเป็นขวา
ความผิดปกตินี้ทำให้เด็กที่เกิดมามีภาวะเขียวเนื่องจากเลือดที่ฟอกแล้วจากปอดถูกส่งกลับไปที่ปอด ขณะที่เลือดดำที่ถูกส่งมาที่หัวใจก็ถูกส่งไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ๆ ต่ออีก
โรคหัวใจพิการที่เกิดขึ้นภายหลัง (Acquired Heart Disease)
Rheumatic Heart Disease (RHD)
มักพบความผิดปกติของลิ้นหัวใจMitral Stenosis (MS), Mitral Regurgitation (MR) และ Aortic Regurgitation (AR)
การรักษา เน้นเรื่องการที่ต้องได้รับยาปฏิชีวนะเป็นระยะเวลาที่ยาวนานอย่างต่อเนื่อง และการพบแพทย์สม่ำเสมอ
เป็นโรคหัวใจที่เกิดจากการเป็นไข้รูห์มาติกซ้ำ ๆ กัน
หลายครั้ง
Rheumatic Fever
เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการติดเชื้อเบต้าฮีโมไลติก
อาการ
อาการไข้ เด็กจะมีไข้ติดกันอย่างน้อย 3 วัน
ปวดบวมตามข้อ โดยเฉพาะข้อใหญ่ ๆ
มีผื่นแดงที่ผิวหนังรูปร่างคล้ายแผนที่ มีขอบหยัก ๆ อาจเป็นชั่วคราวแล้วหายไปก่อนมาพบแพทย์
มีตุ่มแข็งที่สามารถจับเคลื่อนไหวได้ใต้ชั้นผิวหนัง เป็นก้อนรี ๆ คล้ายเม็ดถั่วแดง โดยมักพบใกล้ ๆ ข้อต่าง ๆ
มีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบร่วมด้วยโดยจะมีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หายใจหอบ บวมที่หนังตา หน้า เท้าและขา
มีอาการทางสมองร่วมด้วย เช่น มีความผิดปกติของการเคลื่อนไหว สั่น เกร็งกระตุก
การรักษา
เก็บเสมหะจากคอส่งตรวจหาเชื้อเบต้าฮีโมไลติก สเตปโตคอคคัส กลุ่มเอ ซึ่งเป็นเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคไข้รูห์มาติก
ตรวจเลือดเพื่อตรวจหาการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกาย
ตรวจพิเศษอื่น ๆ เพื่อหาความผิดปกติของหัวใจโดย เอกซเรย์ทรวงอก ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiography)
ให้การรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อเบนซาตินเพนนิซิลลิน (Benzathine penicillin) ชนิดฉีดยาเพนนิซิลลิน วี (Penicillin V) ชนิดรับประทาน สำหรับรายที่แพ้ยา เพนนิซิลลิน วี จะให้ยาอีริโทรมัยซิน (Erythromycin) แทน
ในรายที่มีการอักเสบที่หัวใจและข้อ แพทย์จะให้รับประทานยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone) หรือแอสไพลิน(Aspirin) ร่วมด้วย
ในรายที่มีหัวใจวายร่วมด้วย แพทย์จะให้รับประทานยาไดจ็อกซิน ยาขับปัสสาวะ และยาขยายหลอดเลือด เพื่อรักษาภาวะหัวใจวาย
เด็กต้องนอนพักและงดการออกแรงเพื่อลดการอักเสบของหัวใจ
ป้องกัน
ป้องกันไม่ให้เด็กเป็นไข้รูห์มาติก
ดูแลความสะอาดของร่างกายเด็ก โดยเฉพาะปากและฟันซึ่งเป็นแหล่งที่ทำให้เกิด การอักเสบติดเชื้อที่คอ
ดูแลให้เด็กรับประทานอาหารที่สะอาดและมีประโยชน์เพื่อส่งเสริมสุขภาพของเด็กให้มีภูมิต้านทานโรค
ดูแลให้เด็กพักผ่อนอย่างเพียงพอและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
ป้องกันการเป็นไข้รูห์มาติกซ้ำ
ภาวะหัวใจวาย Heart failure
สาเหตุ
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจวายในเด็กมักเกิดจากโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
อาการ
หัวใจเต้นเร็วมากขึ้นในขณะพัก
หายใจเร็วมากขึ้น ในขณะพัก
ปัสสาวะออกน้อย
เหงื่อออกมาก
บวม
มือและเท้าเย็น ซีด
รับประทานอาหารได้น้อย
การป้องกัน
ดูแลให้เด็กรับประทานยาตามขนาดและเวลาที่แพทย์สั่งไม่หยุดยาหรือเปลี่ยนยาเอง
ดูแลให้เด็กรับประทานนมและน้ำในปริมาณที่แพทย์แนะนำ
ดูแลให้เด็กรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดอาหารรสเค็ม
ดูแลให้เด็กรับประทานอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง
ดูแลให้เด็กได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ
ยาที่ใช้ในโรคหัวใจ
Digitalis, Lanoxin ยาทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวแรงขึ้น เพิ่มปริมาเลือดที่ออกจากหัวใจ ลดภาวะเลือดคั่งในปอด หัวใจจะเต้นช้าลง ในเด็ก น้อยกว่า 80 ครั้ง/นาที หยุดยาแล้วรายงานแพทย์
Vasodilator ยาขยายหลอดเลือด ติดตาม BP
Diuretic: ยาขับปัสสาวะ แก้ไขภาวะบวม ลดปริมาณและโซเดียม
Antibiotic ยาปฏิชีวนะ ให้ในรายที่ป้องกันการติดเชื้อก่อนทำหัตถการ
Indomethacin ช่วยปิดรูเปิดของ PDA
Aspirin ลดความหนืดของเลือด
สรุปปัญหาผู้ป่วยโรคหัวใจ
ภาวะเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน
ภาวะหายใจลำบาก
ภาวะหัวใจวาย ประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ
ภาวะเลือดข้น (Polycythemia)
ภาวะ การเจริญเติบโตล้าช้า
ภาวะติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ และเยื่อบุหัวใจ
ปัญหาจากการตรวจพิเศษหรือการผ่าตัด
วิตกกังวล จากโรคที่เป็นและการดูแล
ขาดความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตัวและการดูแลตัวเอง
การดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาโรคหัวใจและครอบครัว
การดูแลผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจในโรงพยาบาล
การดูแลให้เด็กและครอบครัวได้รู้การวินิจฉัยด้วยวิธีการต่าง ๆ :
การดูแลผู้ป่วยก่อนและหลังการผ่าตัด
การดูแลด้านจิตใจ พ่อ-แม่เด็กที่เป็นโรคหัวใจ
การสังเกตทารกแรกเกิด เช่นเขียว ดูดนมแล้วเหนื่อย
การเตรียมจำหน่ายผู้ป่วยและการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน
การป้องกันโรคหัวใจแต่กำเนิด เช่นฉีดวัคซีน หัดเยอรมัน
การฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยโรคหัวใจ เพื่อให้สามารถทนต่อกิจวัตรประจำวันได้
ตัวอย่างข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลในเด็กโรคหัวใจ
ผู้ป่วยเสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อของร่างกายขาดออกซิเจน จาก ประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจลดลง… ..เนื่องจากเลือดดำปนกับเลือดแดงไปเลี้ยงร่างกาย และหัวใจทำงานมากร่างกายขาดออกซิเจนเป็นเวลานานทำให้สร้างเม็ดเลือดแดงมาขึ้นมีผลให้ค่า Hct สูง เลือดข้น ขึ้นประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจลดลงอาจเกิดภาวะหัวใจวายได้
ผู้ป่วยมีภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ หรือ ติดเชื้อที่ เยื่อบุหัวใจ
ผู้ป่วยมีภาวะ การเจริญเติบโตต่ำกว่าเกณฑ์ และมีการพัฒนาการ ไม่ สมวัย เนื่องจากร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของ ร่างกาย และเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดฝีในสมอง และการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ จากการไหลเวียนของเลือดไม่ผ่านปอด และการไหลวนของเลือดในหัวใจหรือการที่มีเลือดดำส่วนหนึ่งไม่ผ่านการแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอด ไม่ผ่านการกรองและกำจัดเชื้อโรค ถ้ามีการติดเชื้อในกระแสเลือดจะส่งผลให้เชื้อโรคผ่านตามกระแสเลือดไปตามร่างกาย รวมทั้งที่สมอง และอาจเกิดฝีในสมอง(Brian abscess)ได้
ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดการอุดตันของหลอดเลือดในสมอง เนื่องจากภาวะเลือดข้นมากกว่าปกติ( การที่ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจร่างกายจะขาดออกซิเจนเป็นเวลานานจะมีกลไกการปรับตัวไขกระดูกจะสร้างเม็ด เลือดแดงมากกว่าปกติ ทำให้ Hct สูง เกิดภาวะเลือดข้น )
ผู้ป่วยและญาติมีความวิตกกังวลต่อการเจ็บป่วยของโรคที่เป็นและขาดความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง (อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการผ่าตัด...)