Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ - Coggle Diagram
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
โรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบหายใจส่วนบน (URI)
โรคหวัด (Common cold)
การติดเชื้อทางเดินหาใจส่วนบนบริเวณโพรงจมูกและอาจลามถึงช่องปาก
สาเหตุ
ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส เชื้อที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยทุกอายุคือ rhinovirus
อุณหภูมิพอเหมาะต่อการเติบโตของไวรัส เยื่อบุโพรง จมูกที่แห้งจะมีโอกาสติดเชื้อไวรัสได้ง่าย
ลักษณะอาการทางคลินิก
เด็กเล็กอาจมีไข้ และน้ำมูกเป็นอาการเด่น
เด็กโตมักไม่มีไข้แต่อาจเริ่มด้วยอาการเจ็บคอหรือ ระคายคอ ต่อมามีน้ำมูกคัดจมูก ไอ อาการไอพบได้ประมาณสองในสามของผู้ป่วยเด็ก
หากเป็นโรคหวัดธรรมดา เด็กจะมีน้ำมูกใสในวันแรก ต่อมาน้ำมูก อาจเปลี่ยนเป็นสีเขียว
อาการแสดง
เยื่อบุจมูกบวมแดง อาจพบเยื่อบุตาแดง ต่อม น้ำเหลืองที่คอโต มีpost nasal drip ได้
การรักษา
โรคนี้เป็นโรคที่หายได้เอง
การรักษาที่อาจช่วยบรรเทาอาการ
การลดไข้
การเช็ดตัว
ยา เช่น paracetamol
ระมัดระวังการใช้ibuprofen
ไม่แนะนำให้ใช้แอสไพริน เนื่องจากมีรายงานการเกิด Reye’ssyn-drome ในเด็กที่เป็นไข้หวัดใหญ่หรือสุกใสและได้รับยาแอสไพริน
การพยาบาล
ลดไข้ โดยการการเช็ดตัว กระตุ้นให้ดื่มน้ำ ถ้าไข้ไม่ลดให้ยาพาราเซตามอลตามแผนการรักษา
การระบายน้ำมูก
ลดอาการไอ กระตุ้นดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำผึ้งผสมมะนาวป้ายลิ้น
สังเกตอาการที่ต้องพาไปพบแพทย์ หายใจหอบ หายใจเสียงดัง ชายโครงบุ๋ม ซึม ไม่ดื่มนมหรือน้ำ อาการป่วยมากขึ้น
ให้คำแนะนำในการป้องกันไข้หวัดและการแพร่กระจายเชื้อ ไม่พาเด็กไปที่มีคนหนาแน่น
โรคคออักเสบ / ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน (Acute pharyngitis/ tonsillitis/ pharyngotonsillitis)
การติดเชื้อของบริเวณคอหอย ทั้งบริเวณที่เป็น nasopharynx และ oropharynx และ/หรือต่อมทอนซิล
อาการที่สำคัญ คือไข้และเจ็บคอแต่ในเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถบอกอาการ ได้จะมาพบด้วยอาการน้ำลายไหลผิดปกติหรือไม่รับประทานอาหาร
ลักษณะอาการทางคลินิก
ทอนซิลอักเสบเป็นหนอง หรือทอนซิลบวมแดงจัด
ต่อมน้ำหลืองบริเวณคอส่วนหน้าบวมและกดเจ็บ
ไข้สูง > 38 องศาเซลเซียส
ไม่มีอาการไอ
อายุ3-14 ปี
การรักษา
การรักษาตามอาการ
การลดไข้ในกรณีมีไข้ให้ยาลดไข้และเช็ดตัวลดไข้
การบรรเทาอาการเจ็บคออาจให้เป็นน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งมะนาว
การให้ยาต้านจุลชีพ
การใช้ยาต้านจุลชีพในการติดเชื้อไวรัสพบว่าไม่มีประโยชน์
การผ่าตัดต่อมทอนซิลจะทำในกรณีที่เป็นเรื้อรังมากกว่า4ครั้งในหนึ่งปี ทำเมื่อเด็กอายุมากว่า3-4ปี
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการลุกลามของเชื้อไปยังบริเวณใกล้เคียง หูชั้นกลางอักเสบ, peritonsillar abscess(Quinsy),
para/retropharyngealabscess และการลุกลามของเชื้อไปยังเนื้อเยื่อ ชั้นลึกของบริเวณคอ
. ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นผลจากการเกิดปฏิกิริยาทางระบบอิมมูน
ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน (Acute rhinosinusitis)
ไซนัสอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มักพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของ โรคหวัด
สาเหตุ
การอักเสบของ maxillarysinus และ ethmoidsinus
frontal sinus พบการอักเสบได้ในช่วงวัยเรียน
ลักษณะอาการทางคลินิก
อาการของโรคหวัดที่เป็นแบบต่อเนื่อง
มีน้ำมูกและไอที่ไม่ดีขึ้นติดต่อกันนานกว่า 10 วัน5 โดยน้ำมูกมักข้นเหลืองแต่อาจมีสีขาวหรือใส
อาการของโรคหวัดที่เป็นแบบรุนแรง
มีไข้สูงกว่า39 องศาเซลเซียส และน้ำมูกข้นเป็นหนองโดยเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน
อาการอื่นๆ ของไซนัสอักเสบ
เด็กเล็กอาจมีอาการกระวนกระวาย เบื่ออาหาร และอ่อนเพลีย
เด็กโตอาจมีอาการปวดบริเวณต่างๆ ตามตำแหน่งของไซนัส ได้แก่ บริเวณ โหนกแก้ม เหนือคิ้ว ระหว่างหัวตา บริเวณขมับและท้ายทอย
เจ็บคอ หูอื้อ ลมหายใจมีกลิ่น
การตรวจร่างกาย
พบน้ำมูกเขียว แต่ในเด็กเล็กอาจพบว่ามีน้ำมูกใส
มักตรวจพบเสมหะขุ่นหรือลักษณะเป็นหนองที่ด้านหลังคอ (postnasal drip)
อาจมีไข้ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต คอแดง
ในเด็กโตอาจกดเจ็บบริเวณไซนัส
การรักษา
การกำจัดเชื้อก่อโรคให้หายขาดจากอาการของโรค ป้องกันภาวะแทรกซ้อน
ลดการบวมของเนื้อเยื่อในจมูกและโพรงไซนัส
ระบายหนองจากโพรงไซนัส
โรคหูชั้นกลางอักเสบ (Acute otitis media)
สาเหตุสำคัญ ของการสูญเสียการได้ยินในเด็ก และการใช้ยาต้านจุลชีพที่ไม่เหมาะสมมากเกิน ความจำเป็น
ปัจจัยเสี่ยง
ประวัติมีการเจ็บป่วย ทางระบบหายใจ
ประวัติครอบครัวป่วยเป็นหูชั้นกลางอักเสบ
กลุ่มที่มีภาวะกรดไหลย้อน ปากแหว่งเพดานโหว่
การใช้จุกนมปลอม รวมถึงการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีควันบุหรี่
ลักษณะอาการทางคลินิก
อาการของ AOM คล้ายกับโรคหวัด ได้แก่ ไข้ไอ น้ำมูกไหล อาเจียน แต่
อาการที่สำคัญ คือ การปวดหูในเด็กเล็ก
ลักษณะอาการหูชั้นกลางอักเสบรุนแรง
มีอาการปวดหูนานมากกว่า 48 ชั่วโมง หรือมีไข้สูงมากกว่าหรือเท่ากับ 39
การพยาบาล
เมื่อเด็กมีอาการปวดหู หูอื้อ และมีไข้ ให้รับประทานยาพาราเซตามอล
ในขณะที่มีหูน้ำหนวกไหลหรือเป็นโรคหูน้ำหนวกเรื้อรัง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ
ป้องกันเด็กไม่ให้เป็นหวัดหรือโรคของทางเดินหายใจส่วนต้น
ไม่ซื้อยาหยอดหูใด ๆ มาใช้เอง
ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่หยุดยาเอง
โรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบหายใจส่วนล่าง (LRI)
กล่องเสียงและหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (Acute laryngotracheobronchitis viral croup)
จาก การติดเชื้อของทางเดินหายใจในเด็กที่มีการอักเสบและบวมของกล่องเสียง หลอดคอ และหลอดลมโดยเฉพาะที่ตำแหน่งใต้ต่อกล่องเสียง
ลักษณะทางคลินิก
ผู้ป่วยมีอาการของโรคหวัด เช่น น้ำมูก ไอเล็กน้อย และไขต่ำๆ
ในรายที่มีอาการรุนแรงมากจะมีอาการหายใจลำบากและตรวจ พบอาการแสดงต่อไปนี้ ได้แก่ หายใจเร็ว, หัวใจเต้นเร็ว, จมูกบาน
สำหรับประเทศไทยยังคงแนะนำให้ใช้ Downes score
croup score < 4 ระดับความรุนแรงน้อย (mild croup)
croup score 4-7 ระดับความรุนแรงปานกลาง (moderate croup)
croup score > 7 ระดับความรุนแรงมาก (severe croup)
การรักษา
เริ่มจากการประเมินความรุนแรงของโรคว่ารุนแรง ระดับไหน
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเลวลงอย่างรวดเร็ว
รักษาทั่วไปและการใช้ยาเพื่อลดการบวมของทางเดินหายใจ ได้แก่ corticosteroids และ nebulized epinephrine
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะพร่องออกซิเจน, ภาวะหายใจล้ม เหลว, ภาวะขาดน้ำ, bacterial tracheitis, ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema), มีลมในช่องเยื่อหุ้มปอด, หัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิต
ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบเฉียบพลัน (Acute epiglottitis)
epiglottitis เป็นการอักเสบเฉียบพลันของฝาปิดกล่องเสียงและ บริเวณรอบข้าง ได้แก่ epiglottis, aryepiglottic folds, ventricular bands และ arytenoids
โรคนี้พบได้ทุกวัย แต่มักพบในเด็กก่อนวัยเรียน อายุ 2-6 ปี
ลักษณะทางคลินิก
ผู้ป่วยมักมีไข้สูงเฉียบพลัน เจ็บคอมาก กลืนลำบาก น้ำลายไหล พูดไม่ชัด กระสับกระส่าย
หลังจากนั้นจะมีอาการของทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้นตามมา อย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง
อาการหายใจ เสียงดัง (stridor) มักพบในระยะที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการรุนแรง
การรักษา
ให้ออกซิเจนที่มีความชื้น
งดให้อาหารทางปากและพิจารณาให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
รบกวนผู้ป่วยให้น้อยที่สุด หลีกเลี่ยงการตรวจช่องคอโดยไม่จำเป็น
เตรียมท่อช่วยหายใจให้พร้อม โดยเตรียมขนาดเล็กกว่าปกติ 0.5-1 มม.
พิจารณาใส่ท่อช่วยหายใจเมื่อมีข้อบ่งชี้ ทำในห้องผ่าตัดที่มีทีม วิสัญญีแพทย์ และอุปกรณ์สำหรับเจาะคอให้พร้อมในกรณีที่ใส่ท่อ ช่วยหายใจไม่สำเร็จ
ภาวะแทรกซ้อน
ในระบบหายใจ ได้แก่ ปอดอักเสบ, ปอดแฟบ, pulmonary edema, ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน
หลอดลมคอติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial tracheitis)
ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดมีการติดเชื้อไวรัสในระบบหาใจมาก่อน
สาเหตุ
บางรายพบตามหลังการสูดสำลักเชื้อหลังจากเป็นไซนัส อักเสบ คออักเสบ หรือหลังผ่าตัดทอนซิล
ลักษณะทางคลินิก
ผู้ป่วยมักจะเริ่มด้วยอาการ croup ไอเสียงก้อง เสียงแหบ ต่อมามีไข้สูง ไอ มีเสมหะจำนวนมากหายใจลำบาก ตรวจพบ stridor
การดูดเสมหะอาจช่วยให้ดีขึ้นชั่วคราว
การรักษา
การรักษาที่สำคัญมากและต้องพิจารณาเร่งด่วน คือ การดูแลทางเดิน หายใจให้เปิดโล่ง
ผู้ป่วยร้อยละ 50-90 จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเจาะคอ หลังจากใส่ท่อช่วยหายใจส่วนใหญ่จำเป็นต้องดูดเสมหะบ่อย
ควรให้ออกซิเจนและสารน้ำให้เพียงพอ ติดตาม อาการใกล้ชิด
หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (Acute bronchitis)
เป็นการอักเสบของทางเดินหายใจส่วนล่างตั้งแต่ distal trachea ลงไป จนถึง medium และ large-sized bronchi
มักเกิดตามหลังการติดเชื้อของระบบ ทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้เกิดการอักเสบร่วมกับมีการทำลายของ ciliated epithelium ของหลอดลม
การอักเสบอาจทำให้เกิดภาวะหลอดลมไว
สาเหตุ
โรคนี้พบได้ทุกอายุและพบได้ตลอดปี เชื้อที่เป็นสาเหตุเปลี่ยนแปลงตาม อายุของผู้ป่วยและฤดูกาล
ลักษณะทางคลินิก
ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายหวัด ได้แก่ มีไข้ หรืออาจไม่มีไข้ก็ได้ มีน้ำมูก คัดจมูกนำมาก่อนในช่วง 3-5 วัน
ตามมาด้วยอาการของหลอดลม โดยมีอาการ ไอเป็นอาการที่สำคัญที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการไอเฉียบพลัน
อาการระยะแรกจะไอแห้งๆ
การรักษา
การรักษาตามอาการ
การดื่มน้ำมากๆ อาจให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว เพื่อทำให้ชุ่มคอและ บรรเทาอาการไอ
ไม่แนะนำให้ใช้ยากด อาการไอในผู้ป่วยเด็ก
การรักษาประคับประคอง
การทำกายภาพบำบัดทรวงอกเพื่อระบายเสมหะ แนะนำให้ทำใน ผู้ป่วยที่ไม่สามารถไอเอาเสมหะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีปัญหาทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
การรักษาจำเพาะ
เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่ของหลอดลมอักเสบเฉียบพลันเกิดจาก ไวรัส
ภาวะแทรกซ้อน
ได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ปอดแฟบ
การพยาบาล
ดูแลรักษาตามอาการ เช่น ถ้ามีไข้ อาจรับประทานยาลดไข้
หลีกเลี่ยง ควัน, กลิ่นฉุน, ควันบุหรี่, สารเคมี, ฝุ่น, สารระคายเคืองต่างๆ
ปอดบวม, ปอดอักเสบ (Pneumonia)
โรคที่เกิดจากการอักเสบของ เนื้อปอดบริเวณหลอดลมฝอยส่วนปลาย (terminal และ respiratory bronchiole) ถุงลม (alveoli) และเนื้อเยื่อรอบถุงลม
สาเหตุ
ในประเทศไทยมีการ ศึกษาในผู้ป่วยเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่เป็นปอดบวมพบว่าส่วนใหญ่เกิดจากไวรัส
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
ได้แก่ ภาวะทุพโภชนาการ น้ำหนักแรกเกิดน้อย ไม่ได้รับนมแม่ในช่วงอายุ 4 เดือนแรก ได้รับวัคซีนไม่ครบ
ลักษณะทางคลินิก
อาการสำคัญ คือ ไข้ ไอ หอบ
หายใจเร็วกว่าปกติตามเกณฑ์อายุขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็น การตรวจที่มีความไว
การรักษา
การรักษาแบบประคับประคอง
ให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่มีมีอาการเขียว หายใจเร็ว หอบชายโครง บุ๋ม กระวนกระวาย ซึม
ให้สารน้ำอย่างเพียงพอ แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ หรือให้น้ำผ่านทาง สายให้อาหารทางจมูก
ส่วนผู้ป่วยที่หอบมาก ท้องอืด กินอาหารไม่ได้ อาเจียน
การรักษาตามอาการ
เช่น การให้ยาแก้ปวดลดไข้ ในรายที่มีอาการ เจ็บหน้าอก ปวดข้อ ปวดท้อง เจ็บหู
ภาวะแทรกซ้อน
น้ำหรือหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด
ฝีในปอด
น้ำในเยื่อหุ้มปอดจากการติดเชื้อ (Parapneumonia effusion)
การเปลี่ยนแปลงเป็น 3 ระยะ
fibrinopurulent stage
มี fibrin สะสมในเยื่อหุ้มปอด ทำให้เกิด ผนังกั้นน้ำเป็นส่วนๆ น้ำมีเม็ดเลือดขาวมากขึ้น และมีความหนืดมากขึ้น จนกลายเป็นหนองใน ที่สุด
ระยะที่ 3 organisational stage
มี fibroblast มาสะสมที่เยื่อหุ้มปอด และภายในน้ำทำให้เยื่อหุ้มปอดหนาตัวขึ้น ไม่ยืดหยุ่น ปอดไม่สามารถขยายตัวได้ เต็มที่
ระยะที่ 1 exudative stage
มีการอักเสบของเยื่อหุ้มปอด ทำให้เกิดน้ำใส มีปริมาณเม็ดเลือดขาวเล็กน้อย
ลักษณะทางคลินิก
มีการติดเชื้อที่ปอดนำมาก่อน มีไข้ ไอ หอบเหนื่อย
การตรวจร่างกาย ทรวงอกด้านที่มีน้ำในเยื่อหุ้มปอดเล็กน้อยอาจได้ยิน เสียง pleural rub
การรักษา
การรักษาแบบประคับประคอง
ให้ออกซิเจน หากมีอาการหอบเหนื่อยหรือ SpO2 น้อยกว่า 92%
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำหากมีภาวะขาดน้ำหรือกินได้น้อย
หลีกเลี่ยงการทำกายภาพบำบัดทรวงอก
ยาต้านจุลชีพ
ผู้ป่วยทุกคนควรได้รับยาต้านจุลชีพเข้าหลอดเลือดดำที่ครอบคลุมเชื้อ
การเจาะระบายน้ำในเยื่อหุ้มปอด
การเจาะระบายน้ำในเยื่อหุ้มปอดควรทำโดยวิธีมาตรฐาน
ข้อบ่งชี้ มีระดับน้ำในภาพรังสีทรวงอกท่า lateral decubitus
การใส่ท่อระบายน้ำในเยื่อหุ้มปอด
การใส่ยาละลายไฟบริน (fibrinolytic agent) ในเยื่อหุ้มปอด
การผ่าตัด
การนัดติดตามอาการ
โรคหอบหืดในเด็ก(Asthma)
มีภาวะการอุดกั้นของหลอดลม
การวินิจฉัยโรค
ประวัติ มีอาการไอ หอบ เหนื่อย แน่นหน้าอก หรือหายใจมีเสียงวี้ด (wheeze)
การตรวจร่างกาย
ไอ เหนื่อยหอบ หายใจลําบาก หายใจมีเสียงวี้ด (wheeze)
การรักษา
การรักษาขณะมีอาการหอบ
ให้ออกซิเจน
ให้ยาขยายหลอดลม
ให้ยา corticosteroid
รักษาภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ ปอดแฟบ
การรักษาโรคหืดระยะยาว
การควบคุมสิ่งกระตุ้นให้เกิดการแพ้
ให้ยาเพื่อรักษาภาวะหลอดลมหดเกร็ง
กายภาพบำบัดทรวงอก
การออกกำลังกาย
เสียงหวีด (Wheeze)
โดยเกิดจากลมหายใจซึ่งผ่านทางเดินหายใจใน ช่องทรวงอก แคบลง ทำให้ลมที่ผ่าน มีความเร็วสูง กว่าปกติ
สาเหตุ โรคหืด (asthma) เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของเสียงหวีดในเด็ก
หลอดลมฝอยอักเสบเฉียบพลัน (Acute bronchiolitis)
เป็นโรคที่เกิดจาก การติดเชื้อ ทำให้มีการอักเสบของหลอดลมฝอย (bronchiole) เกิดการบวม
สาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เชื้อที่พบบ่อยที่สุด คือ respiratory syncytial virus (RSV)
การรักษา
การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของผู้ป่วย ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง การ รักษาที่สำคัญ คือ การรักษาแบบประคับประคอง เช่น การให้สารน้ำและอาหาร อย่างเหมาะสม การดูดน้ำมูกแบบนุ่มนวล และการให้ออกซิเจน
การให้สารน้ำ (hydration) การให้สารน้ำเพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำ
การให้ยาพ่น
การดูดน้ำมูก
ภาวะแทรกซ้อน
การหยุดหายใจ
ภาวะหายใจล้มเหลว
Syndrome of inappropriate antidiuretic hormone (SIADH)
ภาวะปอดแฟบ
ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
3.2 เสียงหวีดที่เกิดร่วมกับการติดเชื้อไวรัส (Viral induced wheeze)
เสียงหวีดเฉียบพลันที่เกิดร่วมกับการติดเชื้อไวรัสของทางเดินหายใจ
สาเหตุ
Intraluminal airway obstruction
Intramural airway obstruction
Bronchospasm
แนวทางการรักษาผู้ป่วย
การพิจารณารับไว้ในโรงพยาบาล
อาการหรืออาการแสดงที่รุนแรง ได้แก่ ภาวะซึม, พูดเป็นคำๆ, ระดับออกซิเจนแรกรับต่ำกว่าร้อยละ 92 หรือ ฟังเสียงปอดได้เบา หรือไม่ได้ยิน
อาการไม่ดีขึ้นหรือยังหายใจเร็วหลังจากพ่นยาขยายหลอดลม 1-2 ครั้ง
มีภาวะขาดน้ำชนิดปานกลางรุนแรงร่วมด้วย
ออกซิเจน แนะนำให้ออกซิเจน เพื่อรักษาระดับออกซิเจนให้ได้ ร้อยละ 95 ขึ้นไป
ยาขยายหลอดลม
สเตียรอยด์(systemic corticosteroids) พิจารณาให้เฉพาะใน รายที่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลและมีอาการรุนแรง
การส่งเสริมประสิทธิภาพการหายใจในเด็ก
หลักการทั่วไป
การจัดท่าเพื่ออาศัยแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้เสมหะไหลออกจากหลอดลมเล็กส่วนปลายเข้าสู่หลอดลมใหญ่ตรงกลาง
การเคาะ ใช้อุ้งมือ ไม่ควรใช้ฝ่ามือ ควรทำมือให้เป็นลักษณะคุ้ม ชิดกัน ที่เรียกว่า Cupped Hand
ใช้ผ้ารองบนส่วนที่จะเคาะ
การเคาะแต่ละท่าควรใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 1-3 นาที หรือนานกว่านั้นถ้ายังมีเสียงเสมหะมาก
ขณะเคาะหากเด็กไอ ควรใช้การสั่นสะเทือนช่วย ในระหว่างที่กำลังไอหรือช่วงที่เด็กหายใจออก
ฝึกการไอให้มีประสิทธิภาพ
ควรทำการระบายเสมหะ ก่อนมื้อนมหรืออาหาร หรือขณะท้องว่าง หรืออย่างน้อย 2 ชั่วโมงหลังอาหาร เพื่อป้องกันการสำลักและอาเจียน
ท่าเคาะปอด
ท่าที่ 1 ปอดกลีบซ้ายบนส่วนยอด จัดให้เด็กอยู่ในท่านั่งเอนตัวมาข้างหลังประมาณ 30°เคาะบริเวณด้านบน เหนือทรวงอกด้านซ้าย ระหว่างกระดูกไหปลาร้าและกระดูกสะบัก
ท่าที่ 2 ปอดกลีบซ้ายบนด้านหลัง จัดท่าให้เด็กนั่งคร่อมตัวมาทางด้านหน้าเล็กน้อย (30°) บนแขนของผู้ให้การบำบัด เคาะบริเวณด้านหลังตอนบนเหนือกระดูกสะบัก ระหว่างกระดูกต้นคอและหัวไหล่
ท่าที่ 3 ปอดกลีบซ้ายบนด้านหน้า จัดท่านอนหงายราบ เคาะบริเวณเหนือราวนมต่ำจากกระดูกไหปลาร้าเล็กน้อย
ท่าที่ 4 ปอดกลีบซ้ายส่วนกลาง จัดท่าให้ศีรษะต่ำลงประมาณ 15° และตะแคงด้านซ้ายขึ้นมาจากแนวราบ และเคาะบริเวณราวนมด้านซ้าย
ท่าที่ 5 ปอดกลีบซ้ายล่างส่วนชายปอดด้านหน้า จัดให้เด็กนอนตะแคงกึ่งคว่ำหน้า ศีรษะต่ำ 30°ประคองทรวงอกบริเวณชายโครงด้านซ้ายหงายขึ้นมา เล็กน้อยเคาะบริเวณเหนือชายโครงด้านข้างตอนหน้าต่ำจากราวนมลงมาเล็กน้อย
ท่าที่ 6 ปอดกลีบซ้ายล่างส่วนชายปอดด้านข้าง จัดท่าศีรษะต่ำ 30o นอนตะแคงเกือบคว่ำเคาะบริเวณด้านข้างเหนือชายโครงระดับเดียวกับท่าที่ 5 ใต้ต่อรักแร้ของเด็ก
ท่าที่ 7ปอดกลีบซ้ายล่างส่วนหลัง จัดท่าศีรษะต่ำ 30°นอนคว่ำ เคาะบริเวณด้านหลังต่ำจากกระดูกสะบักลงมาในระดับเดียวกับชายโครงด้านหน้า
การพยาบาลเด็กป่วยที่ได้รับออกซิเจน
การให้ในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล
ข้อบ่งชี้
ผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องออกซิเจน (PaO2 ในเลือด < 60 มม.ปรอท หรือ SpO2 < 90% หรือทำรกที่มี PaO2 ในเลือด < 50 มม.ปรอท หรือ SpO2 < 88% ขณะหายใจในอากาศธรรมดาหรือ room air)
ผู้ป่วยที่สงสัยว่าอำจมีภาวะพร่องออกซิเจนแบบเฉียบพลัน
ผู้ป่วยที่มีลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอด (pneumothorax)
ผู้ป่วยหลังการดมยาสลบ โดยให้ในระยะเวลาสั้นๆ
ภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการให้ออกซิเจน
การให้ออกซิเจนที่มีควำมเข้มข้นสูง > 50% อาจทำให้เกิด absorptive atelectasis, oxygen toxicity และลดการทำงานของ cilia และเม็ดเลือดขาวได้
ในผู้ป่วยที่มีคาร์บอนไดออกไซด์คั่งอยู่นานๆ การแก้ภาวะ hypoxemia อาจกดการหายใจของ ผู้ป่วยได้
ในทำรกเกิดก่อนกำหนด ระดับ PaO2 ที่สูงกว่า 80 มม.ปรอท อำจทำให้เกิด retinopathy of prematurity
ผลข้างเคียงจากแหล่งกำเนิดออกซิเจน อาจเกิดการระเบิดหรือติดไฟได้
ผลข้างเคียงจำกอุปกรณ์ที่ให้ ขึ้นกับชนิดของอุปกรณ์ที่ให้ดังกล่าวข้างต้น
การประเมินและติดตามผู้ป่วย
ปรับปริมาณออกซิเจนให้เหมาะสมกับผู้ป่วยโดยติดตามอาการทางคลินิกหรือใช้เครื่อง pulse oximeter ร่วมด้วย
กรณีเจ็บป่วยแบบเฉียบพลัน ควรให้ออกซิเจนเพื่อรักษาระดับค่ำความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด แดง (SpO2 ) ให้อยู่ระหว่าง 94%-98%
การให้ที่บ้าน
ข้อบ่งชี้
ผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องออกซิเจน (SpO2 <90% ขณะหายใจในอากาศธรรมดา) โดยไม่ได้มีสาเหตุจาก cyanotic heart disease
ในผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีภาวะพร่องออกซิเจนขณะพัก แต่มีภาวะพร่องออกซิเจนเฉพาะเวลาที่มีกิจกรรมบางอย่าง เช่น ขณะหลับ ออกกำลังกาย ควรให้ออกซิเจนเฉพาะเวลาที่มีกิจกรรมดังกล่าว
การประเมินและติดตามผู้ป่วย
การเตรียมผู้ป่วย
ควรประเมินผู้ป่วยก่อนกลับบ้านว่าควรได้รับปริมาณออกซิเจนน้อยที่สุดเท่าใดจึงจะประหยัดและ เพียงพอสำหรับรักษาให้ระดับออกซิเจนในเลือดของผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
โดยควรให้ผู้ป่วยมีค่า SpO2 มากกว่าหรือเท่ากับ 92 % ตลอดเวลา โดยเฉพาะกลุ่มทำรกเกิดก่อนกำหนดควรรักษาระดับ SpO2 ที่ระหว่าง 92-94 %
การเตรียมครอบครัวและผู้ดูแลผู้ป่วย
ผู้ดูแลผู้ป่วยควรได้รับการฝึกฝนทักษะการใช้และดูแลเครื่องผลิตออกซิเจนและถังออกซิเจน วิธีการต่อ เครื่องทำความชื้น, nasal cannula และการปรับ flow meter รวมถึงการทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ สายต่อ และ nasal cannula
นอกจากนี้ ผู้ดูแลต้องฝึกทักษะการสังเกตเมื่ออุปกรณ์เกิดขัดข้องในกรณีต่างๆที่สำคัญ ก่อนกลับบ้าน เช่น สาย nasal cannula หลุดหรืออุดตัน, ถังออกซิเจนหมด หรือวาล์วปิด
การติดตามผู้ป่วย
ภายหลังจากจำหน่ายผู้ป่วยกลับบ้านแล้ว ทีมบุคลากรทางการแพทย์ควรมีการติดตามประเมินผลหลัง กลับบ้านโดยการเยี่ยมบ้านและการติดต่อทางโทรศัพท์
การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการป้องกันและการดูแล เด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจที่บ้าน
การสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับโรคและการปฏิบัติในการดูแลเด็กเป็นทักษะที่สำคัญ
เนื่องจากพยาบาลเป็นผู้ที่อยู่กับ ผู้ป่วยเป็นส่วนใหญ่
พยาบาล ควรสื่อสารและทำความเข้าใจกับผู้ดูแล
การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินโรค การดูแลรักษาทั่วไป พยาบาลควรแนะนำและสอนวิธีการปฏิบัติ ที่ถูกต้องให้กับผู้ดูแล
การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรับประทานยาตามแผนการรักษา
การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในที่ชุมชน ที่มีคนจำนวนมาก เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่เด็กจะได้รับเชื้อจากบุคคลอื่นได้
หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลที่ป่วยด้วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรค ได้แก่ ฝุ่นละออง ควัน และควันบุหรี่
การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษา
การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจรักษาตามนัด
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ
สอนและแนะนำวิธีการการล้างมือ
การป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง สิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงคือ การจัดการกับอาการในเบื้องต้นเมื่อมีอาการกลับเป็นซ้ำ
แนะนำการออกกำลังที่เหมาะสม
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่เหมาะสม