Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

กรณีศึกษาปอดอักเสบ (Pneumonia) 🫁, (จุดมุ่งหมายการพยาบาล,…

- - - - 07/03/58
        
        26%🔻
      - 11/03/58
        
        21%🔻
      - 03/03/59
        
        28%🔻
    - - 07/03/58
        
        16,340 cell/uL🔺
      - 03/03/59
        
        8,750 cell/uL🟢
      - 11/03/58
        
        19,700 cell/uL🔺
    - - 07/03/58
        
        Adequate🟢
      - 11/03/58
        
        Adequate🟢
      - 03/03/59
        
        Adequate 🟢
    - - 07/03/58
        
        361,000 cell/uL🟢
      - 03/03/59
        
        148,000 cell/uL🟢
      - 11/03/58
        
        536,000 cell/uL🔺
    - - 07/03/58
        
        88%🔺
      - 11/03/58
        
        85%🔺
      - 03/03/59
        
        71%🟢
    - - 07/03/58
        
        1%🟢
      - 11/03/58
        
        6%🟢
      - 03/03/59
        
        12%🔺
    - - 07/03/58
        
        11%🔻
      - 11/03/58
        
        10%🔻
      - 03/03/59
        
        17%🔻
    - - 07/03/58
        
        0%🟢
      - 11/03/58
        
        1%🟢
      - 03/03/59
        
        0%🟢
    - - 07/03/58
        
        0%🟢
      - 11/03/58
        
        0%🟢
      - 03/03/59
        
        0%🟢
    - - 03/03/59
        
        21.8 pg🔻
      - 07/03/58
        
        21.2 pg🔻
      - 11/03/58
        
        22.2pg 🔻
    - - 03/03/59
        
        70.4 fl🔻
      - 07/03/58
        
        70.6 fl🔻
      - 11/03/58
        
        72.9 fl 🔻
    - - 03/03/59
        
        30.9 g/dl🔻
      - 07/03/58
        
        30 g/dL 🔻
      - 11/03/58
        
        30.5 g/dL🔻
    - - 03/03/59
        
        0%🔻
      - 07/03/58
        
        0%🔻
      - 11/03/58
        
        10.1% 🟢
    - - 03/03/59
        
        3.35 cell/uL🔻
      - 07/03/58
        
        3.26 cell/uL🔻
      - 11/03/58
        
        2.88 cell/uL🔻
    - - 07/03/58
        
        21.4%🔺
      - 11/03/58
        
        24.0 cell/uL🔺
      - 03/03/59
        
        20.3 cell/uL 🔺
    - - 07/03/58
        
        6.9 g/dL🔻
      - 11/03/58
        
        6.4 g/dL🔻
      - 03/03/59
        
        7.3 g/dL🔻
  - - - 03/03/58
        
        13.9 mg/dL🟢
      - 11/03/58
        
        15.6 mg/dL🟢
    - - 03/03/58
        
        0.54mg/dL🔻
      - 11/03/58
        
        0.53 mg/dL🔻
    - - 03/03/2558
        
        125.03 ml/min/1.73m^2🟢
      - 11/03/2558
        
        125.99 ml/min/1.73m^2 🟢
    - - 03/03/2558
        
        147.3 mmol/L🔺
      - 09/03/2558
        
        137.8 mmol/L🟢
      - 11/03/2558
        
        139.8 mmol/L
    - - 09/03/2558
        
        4.3 mmol/L🟢
      - 11/03/2558
        
        4.0 mmol/L🟢
      - 03/03/2558
        
        2.9 mmol/L🔻
    - - 09/03/2558
        
        103 mmol/L🟢
      - 11/03/2558
        
        108 mmol/L🟢
      - 03/03/2558
        
        115 mmol/L🔺
    - - 03/03/2558
        
        77%🧍🏻🟢
    - - 09/03/2558
        
        17.3 mmol/L🟢
      - 11/03/2558
        
        14.5 mmol/L🟢
      - 03/03/2558
        
        16 mmol/L 🟢
    - - 09/03/2558
        
        21.8 mmol/L 🔻
      - 11/03/2558
        
        21.5 mmol/L 🔻
      - 03/03/2558
        
        19.9 mmol/L🔻
    - - 03/03/2558
        
        17.1🔺
    - - 03/03/2558
        
        36.5🟢
    - - 03/03/2558
        
        1.45🟢
    - - 09/03/2558
        
        2.1🟢
      - 11/03/2558
        
        1.9🟢
      - 03/03/2558
        
        1.3🔻
  - - - Total protein 4.8🔻
      - Globulin 2.6🔻
      - Albumin 2.2🔻
      - Total billirubin 2.54🔺
      - Direct billirubin 1.58🔺
      - SGOT 10.2🟢
      - SGPT 189🔺
      - ALP 57 🟢
  - - - Urine color Light ambe🟢r
      - Urine appearance clea🟢r
      - Urine Sp. gr 1.015🟢.
      - Urine pH 6.5🟢
      - Urine Protein Negative 🟢
      - Urine sugar Negative 🟢
      - Urine ketone Negative 🟢
      - Urine urobilinogen Negative 🟢
      - Urine bilirubin Negative 🟢
      - Occult blood 2+🔴
      - Leukocyte Negative 🟢
      - Nitrite Negative 🟢
      - RBC 1-2🔴
      - WBC 0-1🟢
      - Squamous cell epithelium 0-1🔴
      - Bacteria Few🟢
- - - - ทำนา สถานภาพสมรส คู่ รายได้ 5,000 – 10,000 บาทต่อเดือน
    - - 3 มีนาคม 2558
    - - 9 มีนาคม 2558 – 11 มีนาคม 2558
    - - การชำระค่ารักษาพยาบาล บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า
    - - Severe pneumonia (ปอดอักเสบรุนแรง)
    - - หายใจหอบเหนื่อย เจ็บแน่นหน้าอก 5 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล
    - - 2 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย นั่งพักแล้วอาการไม่ดีขึ้น ไปตรวจที่โรงพยาบาลชุมชนแพทย์ให้ admit 1 วัน วินิจฉัยโรคเป็น Pneumonia with septic shock with respiratory failure หายใจหอบเหนื่อยมากขึ้น จึงส่งต่อมารักษาที่โรงพยาบาลศูนย์
    - - ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว 👨‍👩‍👦‍👦
        
        ผู้ป่วยมีพี่น้องจำนวน 8 คน พี่สาวคนที่ 6 น้องคนสุดท้อง
        
        ผู้ป่วยเป็นธาลัสซีเมีย ผู้ป่วยขาดการรักษามา 20 ปี
  - - - ผู้ป่วยทราบว่าตนเองตัว ตา เหลือง เพราะดื่มสุรามาก แพทย์แนะนำให้หยุดดื่มสุราและเลิกสูบบุหรี่ และทราบว่าตนเองมีอาการหายใจเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ เนื่องมาจากการเกิดปอดอักเสบ
    - - ขณะเจ็บป่วย ผู้ป่วยอุจจาระประมาณ 1 ครั้ง/วัน ปัสสาวะได้เอง สีเหลืองใส
    - - ขณะเจ็บป่วย ผู้ป่วยนอนบนเตียง หายใจหอบเหนื่อยเมื่อมีกิจกรรม ช่วยเหลือตัวเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้เล็กน้อย มีภรรยาเป็นผู้ดูแลเกี่ยวกับการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน กำลังแขน และขา ระดับ 5
    - - ขณะเจ็บป่วย มีอาการนอนหลับๆตื่นๆ หอบเหนื่อย หายใจไม่อิ่ม ไอบ่อย เป็นฟองสีชมพู นอนราบไม่ได้ นอนไม่ค่อยหลับ มีการนอนกลางวัน วันละประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง นอนหลับพักผ่อนในเวลากลางคืนได้ 3 - 4 ชั่วโมง
    - - ขณะเจ็บป่วย ผู้ป่วยรู้สึกตัว Glasgow Coma Score = E4V5M6, pupil 3 mm. reaction to light both eye
    - - ก่อนการเจ็บป่วยและขณะเจ็บป่วย ผู้ป่วยรับรู้ว่าตนเองเป็นใครและให้ข้อมูลได้ถูกต้อง
    - - ขณะเจ็บป่วย มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มากกว่า 10 ครั้ง รับประทานอาหารไม่ได้เลย ได้กลิ่นอาหารแล้วจะอาเจียน จึงได้รับประทานอาหารทางสายยางทางจมูก BD (1.5: 1) 200 c.c. 4 feed น้ำตาม 50 c.c. น้ำระหว่างมื้อ 50 c.c.
    - - ผู้ป่วยมีบทบาทเป็นผู้นำครอบครัว ประกอบอาชีพ ทำนา ภายในครอบครัวมีบิดา มารดา ภรรยา ลูกชาย 1 คน อายุ 25 ปี ทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ และตนเอง รวมแล้วมีสมาชิกทั้งหมด 6 คน จากการสังเกตในขณะที่ดูแลผู้ป่วย จะมีภรรยา และลูกผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้าทุกวัน ผู้ป่วยมีมนุษยสัมพันธ์ดี
    - - ปกติ
    - - ขณะเจ็บป่วย ผู้ป่วยอัธยาศัยดี ยิ้มแย้ม แจ่มใส ให้ความร่วมมือในการพยาบาลเป็นอย่างดี
    - - ผู้ป่วยนับถือศาสนาพุทธ มีความเชื่อเรื่องบาปบุณคุณโทษ ทำบุญในวันสำคัญบ้างในบางครั้งและสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน ใส่สร้อยพระที่คอ
  - - - normal shape, no deformity, no lesion
        Eyes: pale conjunctiva, not injection, pupils 3 mm. reaction to right both eye, no discharge
    - - no discharge, good hearing, Earcanal not injection Ear drum no perforate
    - - black color, dry, poor skin turgor, conjunctiva pale,no cyanosis, jaundice, pitting edema 2+ leg and arm
    - - normal nose, no septum deviation, no perforate, no discharge
    - - Thai male, pale, jaundice, orthopnea, has febrile, fatique, cough, has febrile
    - - normal oral cavity, pharynx no injected, tonsils no injected
    - - normal side, no deforemities, thyroids gland not enlarge, neck vein engorge
    - - no palpable lymph node
    - - soft not tender, no guarding, no mass, bowel sound normal 8 bpm., not distend
    - - muscle power grade 5 arm and leg, tremor both arm
        Neurological system: E4V5M6
    - - wheezing both lung
    - - normal sound, no murmur, heart rate tachycardia 128 – 134 bpm
    - - Ratio of the Antero - Posterior to lateral diameter is 1:2, respiratory rate 32 – 34 bpm, accessory use
- - - - Objective data
        
        Heart: heart rate tachycardia 128 – 134 bpm
        
        Musculoskeletal: tremor both arm
        
        -มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มากกว่า 10 ครั้ง
        
        -ผลทางห้องปฏิบัติการ วันที่ 3/3/58
        
        -Potassium 2.1 mmol/L
        
        -Magnesium 1.3 mg/dL
        
        -ผลทางห้องปฏิบัติการ วันที่ 9/3/58
        
        -Potassium 4.3 mmol/L
        
        -Magnesium 2.1 mg/dL
        
        -ผลทางห้องปฏิบัติการ วันที่ 11/3/58
        
        -Potassium 4.0 mmol/L
        
        -Magnesium 1.9 mg/dL
        
        -สัญญาชีพ
        
        PR 110 – 114 ครั้งต่อนาที
        
        RR 20 ครั้งต่อนาที
        
        BP systolic 90 – 140 mmHg, diastolic 60 – 90 mmHg
        
        T= 37.3 องศาเซลเซียส
  - - - Objective data
        
        วันที่ 6 มีนาคม 2558
        
        สัญญาณชีพ T 37.8 องศาเซลเซียส PR 110 – 120 ครั้งต่อนาที หายใจหอบเหนื่อย 26 – 30 ครั้งต่อนาที BP systolic 90 – 110 มิลลิเมตรปรอท diastolic 60 – 80 มิลลิเมตรปรอท urine output 700 c.c.
        
        วันที่ 7 มีนาคม 2558
        
        สัญญาณชีพ มีไข้ 38.3 องศาเซลเซียส PR 90 – 98 ครั้งต่อนาที หายใจหอบเหนื่อย RR 26 – 30 ครั้งต่อนาที BP systolic 90 – 130 มิลลิเมตรปรอทdiastolic 60 – 90 มิลลิเมตรปรอท urine output 560 c.c
        
        วันที่ 8 มีนาคม 2558
        
        ไข้ 38.5 องศาเซลเซียส PR 100 – 110 ครั้ง BP systolic 90 – 120 มิลลิเมตรปรอท diastolic 60 – 80 มิลลิเมตรปรอท urine output 800 c.c
        
        วันที่ 9 มีนาคม 2558
        
        สัญญาณชีพ มีไข้ 39 องศาเซลเซียส PR 100 – 112 ครั้งต่อนาที RR 24 – 30 ครั้งต่อนาที BP systolic 90 – 120 มิลลิเมตรปรอท diastolic 60 – 90 มิลลิเมตรปรอท BP systolic 90 – 120 มิลลิเมตรปรอท diastolic 60-80 มิลลิเมตรปรอท urine output 1000 c.c
        
        วันที่ 10 มีนาคม 2558
        
        สัญญาณชีพ มีไข้ 39.5 องศาเซลเซียส PR 112 – 116 ครั้งต่อนาที BP systolic 90 – 100 มิลลิเมตรปรอท diastolic 60 – 70 มิลลิเมตรปรอท urine output 1000 c.c
        
        วันที่ 11 มีนาคม 2558
        
        สัญญาณชีพ มีไข้ 39 องศาเซลเซียส PR 100 – 110 ครั้งต่อนาที เวลา 10.00 น. BP drop 70/40 มิลลิเมตรปรอท เวลา 16.00 น. ผู้ป่วยซึมลง BP 89/55 มิลลิเมตรปรอท
        
        การวินิจฉัยโรคครั้งสุดท้าย Severe pneumonia
    - - เพื่อป้องกันการเกิดภาวะชัก
    - - Motor power grad 5
        
        ไม่เกิดภาวะชักเกร็ง ซึมหลับ สับสน
        
        GCS=E4V54M6
        
        5.Level of conscious=Alert
        
        1.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        
        -Heart rate 60-100ครั้ง/นาที
        
        -Respiratory rate 16-24 ครั้ง/นาที
        
        -Diastolic 60-90 mmHg , Systolic 90-
        
        Temperature ระหว่าง 36.5 – 37.4 องศาเซลเซียส
    - - เมื่อมีไข้สูงมากจะตัวร้อนหน้าแดงมึนงงสับสนกระสับกระส่าย มีอาการชักลักษณะการซักอาจจะตัวแข็งหรือตัวอ่อนชักเกร็งหรือกระตุกไม่รู้สึกตัวกล้ามเนื้อที่แขนขาหน้าและส่วนต่างๆของร่างกายบิดเกร็งและสั่น ตาจะกลอกไปด้านหลังส่วนใหญ่จะไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระได้หรือไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ระดับความรู้สติเปลี่ยนไปอาจมีอาการหายใจลำบากหยุดหายใจประมาณ 30 วินาที ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เวลาในการชักน้อยกว่า 1 นาที แต่อาจใช้เวลาชักถึง 5 นาทีปกติจะเกิดอาการชักในวันแรกของการมีไข้สูงและจะหายได้โดยไม่ต้องรักษา ซึ่งผู้ป่วยมีไข้สูงทุกวัน อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะชักจากไข้สูงได้
    - - เตรียมAmbu bag ให้พร้อมเสมอเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนที่เพียงพอในกรณีเกิดการชัก
        
        วัดสัญญาณชีพ โดยเฉพาะอุณหภูมิทุก 4 ชั่วโมงถ้ามีไข้อุณหภูมิมากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ให้การพยาบาลโดย
        
        เช็ดตัวลดไข้พร้อมทั้งให้คำแนะนำแก่ภรรยา เพื่อช่วยให้ความร้อนออกจากร่างกาย
        
        ประเมินผลหลังการเช็ดตัวลดไข้30 นาที
        
        2. ประเมินสภาพอาการทั่วไปของผู้ป่วยประเมิน level of conscious ประเมิน Glasgow coma scale หากน้อยกว่าหรือเท่ากับ 8 ให้รายงานเเพทย์
        
        3.ประเมิน vital sign ทุก 4 hr. เพื่อดูสภาพทั่วไปของผู้ป่วยเพื่อติดตามอาการเปลี่ยนเเปลงของผู้ป่วย
        
        4.ประเมินกำลังแขนขาทั้งสองข้างทุก 4 ชั่วโมงเพื่อดูความแข็งแรงและความตึงของกล้ามเนื้อหรือการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
        
        6. เตรียม oral pharyngeal Airway ให้พร้อมเสมอเพื่อป้องกันลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจในกรณีที่เกิดการชัก
        
        เตรียมชามรูปไตให้พร้อมในกรณีผู้ป่วยเกิดอาการชักเพื่อป้องกันสารคัดหลั่งต่างๆไปอุดตันทางเดินหายใจ
        
        ดูแลผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะสูง 30- 45 องศาเพื่อส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น
        
        9. ดูแลให้ผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อนอย่างสุขสบายเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนเพียงพอและไม่เกิดอันตราย
        
        10. จัดสิ่งแวดล้อมให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากอุบัติเหตุได้แก่การยกเหล็กกั้นเสียงขึ้นหลังจากให้การพยาบาลเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตเมื่อผู้ป่วยมีระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงไป
  - - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        Objective data
        
        วันที่ 6 มีนาคม 2558
        
        สัญญาณชีพ T 37.8 องศาเซลเซียส PR 110 – 120 ครั้งต่อนาที หายใจหอบเหนื่อย 26 – 30 ครั้งต่อนาที
        
        วันที่ 7 มีนาคม 2558
        
        สัญญาณชีพ มีไข้ 38.3 องศาเซลเซียส PR 90 – 98 ครั้งต่อนาที หายใจหอบเหนื่อย RR 26 – 30 ครั้งต่อนาที CBC : WBC 16,340 cell/uL , Neutrophil 88 % , Lymphocyte 11 %
        
        วันที่ 8 มีนาคม 2558
        
        ไข้ 38.5 องศาเซลเซียส PR 100 – 110 ครั้ง
        
        วันที่ 9 มีนาคม 2558
        
        สัญญาณชีพ มีไข้ 39 องศาเซลเซียส PR 100 – 112 ครั้งต่อนาที RR 24 – 30 ครั้งต่อนาที
        
        วันที่ 10 มีนาคม 2558
        
        สัญญาณชีพ มีไข้ 39.5 องศาเซลเซียส PR 112 – 116 ครั้งต่อนาที
        
        วันที่ 11 มีนาคม 2558
        
        สัญญาณชีพ มีไข้ 39 องศาเซลเซียส PR 100 – 110 ครั้งต่อนาที
        
        ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการวันที่ 11 มีนาคม 2558
        
        CBC : WBC 19,700 cell/uL , Neutrophil 85.0 % , Lymphocyte 10 %
    - - Analysis : มีไข้เกิดจากแบคทีเรียที่ผลิตท็อกซินหรือเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายปล่อยสารไพโรเจน(Pyrogen) ออกมาสารตัวนี้จะไปกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวปล่อยสารก่อไข้คือเอนโดจีนัสไพโรเจน (Endogenous pyrogen) ซึ่งจะไปกระตุ้นศูนย์ควบคุมอุณหภูมิคือไฮโปทาลามัสให้ทำงานมากขึ้นทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น โดยผู้ป่วยรายนี้มีการติดเชื้อ Klebsiella pneumonia ทำให้เกิดปอดอักเสบซึ้งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการไข้ขึ้น
    - - ไม่มีไข้หรือไข้ลดลง
    - - 2.ผู้ป่วยไม่เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยไม่มีอาการแสดงของการติดเชื้อ ได้แก่ มีไข้ หน้าแดง ผิวกายร้อน
        
        3.ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
        
        WBC 5000-10000 cell/uL
        
        Neutrophil 40-75 %
        
        Lymphocyte 20-50 %
        
        1.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ T = 36.5-37.4 °C , P 60-100 ครั้ง/นาที , R 16-24 ครั้ง/นาที
    - - วัดและจัดบันทึกอุณหภูมิทุก 4 ชั่วโมงโดยการวัดอุณหภูมิทางรักแร้นาน 3-5 นาทีลงบันทึกไว้เพื่อดูการดำเนินของไข้และให้การช่วยเหลือต่อไป
        
        เช็ดตัวลดไข้ โดยวิธีที่ถูกต้องดังนี้
        
        2.2 ขณะทำการเช็ดตัวใช้ผ้าถูตัววางบริเวณซอกคอรักแร้ข้อพับ หน้าอกเพื่อให้บริเวณนี้ได้สัมผัสน้ำมากที่สุด จะช่วยนำความร้อนออกจากร่างกายได้มาก
        
        2.3 หลังเช็ดตัวแล้ว 30 นาทีวัดอุณหภูมิใหม่และบันทึกในฟอร์มปรอทเพื่อติดตามผลการพยาบาล
        
        2.1 เช็ดตัวโดยใช้น้ำเย็นธรรมดาการเช็ดตัวต้องเช็ดนาน 15- 30 นาทีซึ่งวิธีนี้เป็นการทำให้ความร้อนสูญเสียไปจากร่างกายได้สะดวกและรวดเร็ว โดยวิธีอาศัยตัวกลาง (Conduction) ซึ่งจะลดไข้ได้เร็วขึ้น เพราะน้ำจะระเหยออกจากผิวหนังจะนำความร้อนออกจากร่างกายด้วยในขณะที่ใช้ผ้าชุบน้ำวางลงบนผิวหนังของผู้ป่วย
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำชดเชยอย่างเพียงพอน้ำ เพื่อให้นำเป็นตัวพาความร้อนเพื่อระบายความร้อน
        
        ให้ผู้ป่วยพักผ่อนในสิ่งแวดล้อมที่สงบเงียบ เพื่อเป็นการลดกิจกรรมของร่างกายจะทำให้การเผาผลาญลดน้อยลง ซึ่งจะช่วยลดความร้อนที่ผลิตขึ้นในร่างกายได้
        
        5.ไม่ห่มผ้าหนาเกินไป เพื่อให้ความรู้อนระบายออกจากร่างกายได้ง่าย
        
        6.ล้างมือก่อน-หลัง การให้การพยาบาลทุกครั้ง เพื่อลดและป้องกันการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
        
        7.ดูแล Mouth care รักษาความสะอาดของปากและฟัน เพื่อลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย ลดการติดเชื้อเพิ่ม
        
        8.ดูแลไม่ให้สายออกซิเจนดึงรั้ง เพื่อป้องกันการเลื่อนหลุดของท่อช่วยหายใจ โดยการติดพลาสเตอร์ให้เหมาะสม เพื่อป้องกันการเลื่อนหลุดของท่อและป้องกันการติดเชื้อลงสู่ท่อช่วยหายใจ
        
        9.ดูแลให้ทางเดินหายใจโล่ง เพื่อให้มีการระบายอากาศที่ดี โดยการทำกายภาพทรวงอก Suction Clear airway อย่างถูกวิธี โดยหลัก sterile technique เพื่อลดการติดเชื้อเพิ่ม
        
        10.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา sulperazone 2 gm ทุก 12 hr. เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียตามแผนการรักษา
        
        11.ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง และติดตามอาการเพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงของอาการไข้ ซึ่งเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อ
  - - - Objective data
        
        วันที่ 3 มีนาคม 2558
        
        หายใจมีเสียงเสมหะในลำคอ ไอมีเสมหะเป็นสีเหลืองบ่อยครั้ง O2 saturation 99 – 100%
        
        วันที่ 4 มีนาคม 2558
        
        lung rhonchi left lower lobe, O2 saturation 99 – 100%
        
        วันที่ 5 มีนาคม 2558
        
        ไอมีเสมหะสีเหลืองข้น RR 18 – 24 ครั้งต่อนาที lung rhonchi both lung
        
        วันที่ 6 มีนาคม 2558
        
        หายใจหอบเหนื่อย 26 – 30 ครั้งต่อนาที ฟัง lung rhonchi both lung
        
        วันที่ 7 มีนาคม 2558
        
        หายใจหอบเหนื่อย RR 26 – 30 ครั้งต่อนาที ฟังlung crepitation bolth lung เสมหะ สีเหลืองข้น O2 saturation 97 – 98%
        
        วันที่ 8 มีนาคม 2558
        
        O2 saturation 97 – 98%, ฟัง lung มี crepitation with rhonchi both lung
        
        วันที่ 9 มีนาคม 2558
        
        หายใจยังเหนื่อย RR 24 – 30 ครั้งต่อนาที O2 saturation 98 – 99%, ฟัง lung crepitation both lung, suction clear airway ได้เสมหะสีเหลืองข้น
        
        วันที่ 10 มีนาคม 2558
        
        O2 saturation 97 – 98%, ฟัง lung crepitation both lung, suctionclear airway ได้เสมหะสีเหลืองปนเขียว
        
        วันที่ 11 มีนาคม 2558
        
        O2 saturation 97 – 98% ฟัง lung crepitation both lung
    - - 2.ประเมิน v/s และค่า oxygen saturation ทุก 2 ชั่วโมง เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ และเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของค่า oxygen saturation ในร่างกายของผู้ป่วย หลังได้รับการดูแลให้ oxygen แบบ Endotracheal Tube c Ventilator
        
        3.ฟังเสียงหายใจ และฟังปอดว่ามีเสมหะมากน้อยเพียงใด เพื่อจะได้เคาะปอด เพื่อให้เสมหะที่เกาะอยู่หลุดออก ง่ายต่อการดูดเสมหะมากขึ้น
        
        4.ดูแลให้ทางเดินหายใจโล่ง เพื่อให้มีการระบายอากาศที่ดี โดยการทำกายภาพทรวงอก Suction Clear airway อย่างถูกวิธี โดยหลัก sterile technique
        
        5.ดูแลจัดท่านอนให้คอเหยียดเล็กน้อย และพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยทุก 1- 2 ชั่วโมง เพื่อให้เสมหะที่เกาะตามหลอดลม เคลื่อนลงมารวมที่หลอดลมส่วนต้น สามารถ suction ออก ได้ง่าย
        
        6.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาขยายหลอดลม Beradual 1 NB q 4 hr. และสังเกตอาการข้างเคียงจากการให้ยา คือ ใจสั่น ปวดศีรษะ
        
        7.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา fluimucil หลังอาหาร 3 เวลา เพื่อละลายเสมหะ
        
        1.ขาดออกซิเจน ได้แก่ อาการหายใจเหนื่อยหอบ ใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องช่วยในการหายใจ หายใจปีกจมูกบาน ภาวะ Cyanosis
    - - Analysis : จากการที่ผู้ป่วยมีเสมหะเหนียวข้น ไม่สามรถขับเสมหะได้ด้วยตนเอง ทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ ขัดขวางการระบายอากาศเข้าออกจากปอด เมื่ออากาศผ่านเข้าออกปอดได้น้อย การแลกเปลี่ยนก๊าซที่ถุงลมปอดก็น้อยลง ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ป่วยต้องหายใจเร็วขึ้น เพื่อให้ได้ออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
    - - ไม่เกิดภาวะพร่องออกซิเจน
    - - 2.ผู้ป่วยไม่มีอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน ได้แก่ อาการหายใจหอบเหนื่อย ใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องช่วยในการหายใจ หายใจปีกจมูกบาน ชายโครงบุ๋ม
        
        3.ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะ cyanosis คือ ริมฝีปาก ปลายมือ ปลายเท้าเขียวคล้ำ
        
        1.ทางเดินหายใจโล่ง ไม่มีเสมหะในลำคอและหลอดลม
- - - - ผู้ป่วยไม่มีอาการง่วง หาวนอน ขอบตาไม่คล้ำ
      - ผู้ป่วยมีสีหน้าสดชื่น ไม่อ่อนเพลีย