Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาการติดเชื้อ - Coggle Diagram

- - - - ทางเดินหายใจ Airborne หายใจรดกัน สัมผัส contact
    - - ฟักตัว 7-18 ประมาณ 10 วัน
    - - ช่วงแพร่เชื้อมากสุด คือ 2 วันก่อนมีอาการแสดงถึงวันที่ 4 ที่มีอาการ
        ผู้ที่ไม่มีอาการแพร่เชื้อได้
    - - ไข้ตาเเดง คัดจมูก ไอ จุดสีขาวที่เยื่อบุในปาก
      - เด็กขาดสารอาหารจะมีอาการรุนแรง
      - ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย คือ ช่องหูส่วนกลางอักเสบ ปอดบวม เป็นต้น
    - - ห้ามสัมผัส
      - ให้ยา immunoglobulin ภายใน 6 วัน ให้วิตามินเอเสริม ถ้าปวดแสบตา
  - - - Rubella Virus
    - - พบมากในเด็กอายุ <5 ปี
      - ต่อมน้ำเหลืองบริเวณหลังหู ท้ายทอย และด้านข้างคอโต
      - ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ จะพิการ
      - ความพิการที่เกิดขึ้น เช่น หูพิการ ต้อกระจก ตาเล็กผิดปกติ ต้อหินแต่กำเนิด
    - - แพร่ทางละอองฝอย (droplet)
        เชื้อจะถูกขับมากจากคอและปัสสาวะ
    - - ประมาณ 14-17 วัน
    - - ก่อนมีผื่น 7 วัน หลังมีผื่น 4 วัน
    - - ถ้าแม่ฉีด จะอยู่ได้ที่เด็ก 8-9 เดือน
      - ฉีด immunoglobulin ลดความรุนแรงได้
      - ควบคุม หยุดเรียน 7 วันหลังผื่นขึ้น และผู้สัมผัสกับทารก CRS ควรได้รับภูมิคุ้มกันทุกคน
    - - ถ้าเคยเป็น ภูมิคุ้มกันอยู่ตลอดชีวิต
  - - - แบคทีเรียระบบหายใจ
      - ไอเป็นชุด ๆ (Paroxysms) เมื่อสิ้นสุดชุดการไอจะมีเสียงแหลมจากการหายใจเข้า (Whoop)
      - อาการแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม
    - - Bordetella Pertussis และ Bordetella Parapertussis
    - - droplet ละอองฝอย ไอจาม สัมผัสโดยตรง เลือด
    - - ประมาณ 9-10 วัน
    - - ถ้าได้ยาปฏิชีวนะ จะไม่ติดต่อหลังได้รับยาครบ 5 วัน
    - - ภูมิคุ้มกันหลังติดเชื้ออยู่ได้เป็นเวลานาน
    - - ให้ยา ATB (Erythomycin) 7 วัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
      - ควบคุมโดยให้ DTP 2 , 4 , 6 , 1 ปี6 เดือน , 4ปี
      - แยกผู้ป่วยจนหายจากหรือได้ATB ครบ 5-7 วัน
  - - - ลักษณะเฉพาะ คือ แผ่นเนื้อเยื่อสีเทาดูสกปรกติดแน่นกับเนื้อเยื่อปกติ
      - อัตราป่วยตายร้อยละ 10-30
      - พยาธิสภาพที่ทอนซิล ลำคอ กล่องเสียง โพรงจมูก ผิวหนัง เยื่อบุตาหรืออวัยวะสืบพันธุ์
      - กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบร่วมกับหัวใจเต้นผิดปกติ (Heart Block) และมีหัวใจล้มเหลวเนื่องจากเลือดคั่ง
    - - Corynebacterium Diphtheriae
    - - แพร่เชื้อแบบ droplets ไอจาม สัมผัส
    - - ฟักตัว 2-5 วัน
    - - อาจแพร่เชื้อได้ถึง 6 เดือนหรือนานกว่า
        ถ้าได้ยาเชื้อจะหมดใน 4 วัน
    - - ภูมิคุ้มกันหลังติดเชื้ออยู่ได้เป็นเวลานานอาจจะตลอดชีวิต
    - - ให้ยาแก้อักเสบ Erythcomycin Penicillin
      - การควบคุมผู้ป่วย ผู้สัมผัส และสิ่งแวดล้อม
      - เด็ก > 7 ปี ให้ dT กระตุ้นทุก 10 ปีและแยกห้อง ของใช้
      - ให้DTP 2 , 4 , 6 , 1 ปี6 เดือน , 4 ปี
  - - - ทำลายกล้ามเนื้อ ระบบประสาท
      - เกร็งหลังแอ่น (Opisthotonus)
      - ใบหน้ายิ้มแสยะ “Risus Sardonicus”
    - - Clostridium Tetani อยู่ที่ดิน
    - - ประมาณ 3-21 วัน (เฉลี่ย 10 วัน)
    - - ร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกัน ต้องรับวัคซีน อยู่ได้นาน 10 ปี
    - - ให้วัคซีน ในเด็ก <7 ปี ฉีด DTP >7 ปี dT
      - การควบคุมผู้ป่วย ผู้สัมผัส และสิ่งแวดล้อม
    - - เกิดจากแม่ไม่ได้วัคซีน คลอดนอกรพ. หรือใช้อุปกรณ์ไม่สะอาดตัดสายสะดือ
      - อาการ : ดูดนมไม่ได้ ขากรรไกรแข็ง (Trismus) เกร็ง ชัก หลังเเอ่น
      - ระยะฟักตัว 3-28 วัน (เฉลี่ย 6 วัน)
    - - แพร่เชื้อเข้าทางแผล ไม่ติดต่อจากคนสู่คน
  - - - ที่รุนแรงจะมีอาการแบบเฉียบพลัน คือ ปวดศีรษะ ไข้สูง การเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัว สับสน ไม่รู้สึกตัว สั่น ชักเป็นบางครั้ง และอัมพาตแบบกล้ามเนื้อเกร็งตัว
    - - ยุงรำคาญ Culex Tritaeniorhychus เป็นพาหะ
    - - ถูกยุงมีเชื้อกัด ยุงรำคาญ Culex Tritaeniorhychus เป็นพาหะ
    - - ประมาณ 5-15 วัน
    - - ไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คน
    - - มีภูมิคุ้มกันจำเพาะต่อชนิดของไวรัส
      - กลุ่มเสี่ยงสูงสุด คือ เด็กเล็กและผู้สูงอายุ
    - - ให้วัคซีนชนิดเชื้อตายที่ท้าจากสมองหน
      - ก้าจัดยุง หมูที่เป็นโรค
  - - - ทำให้เกิดอัมพาตของแขนขา
      - อัมพาตแบบอ่อนปวกเปียก (Flaccid Paralysis) พบได้ร้อยละ 1 พบที่ขามากกว่าที่แขน และไม่เท่ากัน
    - - Polio Virus Family Picornaviridae
        Genus Enteroviruses
    - - คนเป็นรังโรค ขับออกทางอุจจาระ 1-2 เดือน ท้าให้รับเชื้อได้
    - - เข้าทางปาก (Fecal-Oral route) อุจจาระปนเปื้อนติดมือจากคนสู่คน (Person to Person)
      - ปากสู่ปาก (Oral-Oral Route) หยิบจับอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อจากลำคอ
    - - ระยะฟักตัวของผู้ป่วยมีอัมพาต 7-14 วัน
    - - พบในสาร
        คัดหลั่งที่คอภายใน 36 ชั่วโมงและในอุจจาระภายใน 72 ชั่วโมง และพบในลำคอได้อีก 1 สัปดาห์ ส่วนอุจจาระพบนาน 3-6 สัปดาห์
    - - ร้อยละ 1 มีอาการอัมพาต
    - - ให้วัคซีนแบบหยอด เชื้อเป็น OPV 5 ครั้ง
      - การควบคุมผู้ป่วย ผู้สัมผัส และสิ่งแวดล้อม
  - - - อาการเริ่มต้น เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ตา ตัวเหลือง
    - - DNA Virus กลุ่ม Hepadnavirus
    - - ติดต่ออยู่ในเลือด เพศสัมพันธ์ ติดต่อทางผิวหนัง(การฉีดยา) ใช้ของร่วมกัน ติดจากแม่สู่ลูก
    - - ระยะฟักตัวประมาณ 45-180 วัน
        เฉลี่ย 60-90 วัน
    - - ฉีดHB แรกเกิด ถ้าแม่มีพาหะ 1 เดือน 2 , 4 , 6 / ฉีดครบ 3 เข็มจะมีภูมิ 15 ปี
      - ไม่สัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง
      - ให้ HBIG ในเด็กที่คลอดจากแม่เป็นพาหะภายใน 12 hr.
  - - - ระยะสัมผัส : ไม่มีอาการ แข็งแรงดี แต่ทดสอบ Tuberculin test พบผลบวก
      - ระยะแฝง : Tuberculin test พบผลบวก และภาพรังสีทรวงอก พบมีความผิดปกต
      - ระยะเป็นโรค : มาโรงพยาบาลด้วยอาการของอวัยวะที่เป็นโรค เช่น วัณโรคปอด ต่อมน้้าเหลือง
        กระดูกและข้อ ท้อง ระบบประสาท
- - - - ระยะไข้ (Febrile stage) เด็กมักมีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส มีไข้สูงประมาณ 2-7 วัน ระยะนี้ระวังเด็กอาจชักเนื่องจากไข้สูง
      - ระยะวิกฤต/ช็อก (Shock or Hemorrhage stage) เป็นระยะที่มีการรั่วของพลาสม่า มักเกิดขึ้นพร้อมกับที่ไข้ลดลง ประมาณวันที่ 4-7 ของโรค รายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการ กระสับกระส่าย ซึมลง ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเบาเร็ว ความดันเลือดต่้า ความดันชีพจรแคบ น้อยกว่า 20 มิลลิเมตรปรอท มีอาการเลือดออก เช่น เลือดก้าเดา อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระด้า ต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีและถูกต้องก่อนเข้าสู่ระยะช็อครุนแรง
      - ระยะพักฟื้น เด็กจะมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นระยะที่มีการดูดกลับของพลาสม่าเข้าสู่หลอดเลือด อาการต่างๆ จะกลับคืนสู่สภาพปกติภายใน 2-3 วัน เริ่มรับประทานอาหารได้ ไม่อาเจียน ปัสสาวะออกมากขึ้น ความดันคืนสู่ปกติ อาจเกิดผื่นระยะพักฟื้น กระจายตามแขนขา มักมีอาการคันมากร่วมด้วย อาการตับโตจะลดลงและเป็นปกติ
    - - รักษาแบบประคับประคองตามอาการและตามระยะของโรค ได้แก่ ให้ยาลดไข้ กลุ่มพาราเซวตามอลเมื่อมีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียล ทุก 4 ชั่วโมง ร่วมกับเช็ดตัวลดไข้ ให้สารน้้าตามความจ้าเป็นของร่างกาย ระยะวิกฤติต้องรับเด็กไว้ในโรงพยาบาลและมุ่งแก้อาการช็อค และ
        อาการเลือดออก
  - - - ให้ยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากมารดาอย่างเหมาะสม
      - งดนมแม่
      - ดูแลการเจริญเติบโตและพัฒนาการ
      - ให้วัคซีน
      - ให้ยาป้องกัน PCP และวัณโรค