Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 1 การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบหายใจ, image, image, image, image,…
บทที่ 1 การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบหายใจ
1.โรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบหายใจส่วนบน (URI)
โรคหวัด (Common cold)
หมายถึง การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน บริเวณโพรงจมูกและอาจลามมาถึงช่องปาก ที่มีอาการไม่รุนแรง
สาเหตุและระบาดวิทยา
ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส เชื้อที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยทุกอายุคือ rhinovirus ซึ่งมีมากกว่า100 ชนิด
โรคหวัดมักพบในฤดูกาลที่มีอากาศเย็น และความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ เช่น ฤดูหนาวเนื่องจากอุณหภูมิพอเหมาะต่อการเติบโตของไวรัส เยื่อบุโพรง จมูกที่แห้งจะมีโอกาสติดเชื้อไวรัสได้ง่าย
เด็กที่อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กมีโอกาส ติดเชื้อหวัดมากขึ้น
อาการแสดง
เยื่อบุจมูกบวมแดง อาจพบเยื่อบุตาแดง ต่อม น้ำเหลืองที่คอโต
การรักษา
การลดไข้ ประกอบด้วย การเช็ดตัว ยา เช่น paracetamol
การพยาบาล
ลดไข้ โดยการการเช็ดตัว กระตุ้นให้ดื่มน้ำ ถ้าไข้ไม่ลดให้ยาพาราเซตามอลตามแผนการรักษา
การระบายน้ำมูก
ลดอาการไอ กระตุ้นดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำผึ้งผสมมะนาวป้ายลิ้น
ดูแลให้อาหารอ่อนย่อยง่ายที่มีคุณค่าทางอาหารสูง
ดูแลร่างกายให้อบอุ่น
ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน (Acute rhinosinusitis)
ไซนัสอักเสบ เป็นการอักเสบจากการติดเชื้อของเยื่อบุไซนัส ในที่นี้จะ หมายถึงไซนัสอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
สาเหตุ
การอักเสบของ maxillarysinus และ ethmoidsinusเกิดได้ตั้งแต่วัยทารก
อาการ
อาการของโรคหวัดที่เป็นแบบรุนแรง (severe upper respiratory symptoms) ได้แก่มีไข้สูงกว่า39 องศาเซลเซียส และน้ำมูกข้นเป็นหนองโดยเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน
เจ็บคอ หูอื้อ ลมหายใจมีกลิ่น (halitosis) เสียงขึ้นจมูก เยื่อบุจมูกแดง กดเจ็บบริเวณไซนัส post nasal drip ไม่ได้กลิ่น และปวดฟัน
เด็กเล็กอาจมีอาการกระวนกระวาย เบื่ออาหาร และอ่อนเพลีย ส่วนใน
การรักษา
จัดเชื้อก่อโรคให้หายขาดจากอาการของโรค ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ลดการบวมของเนื้อเยื่อในจมูกและโพรงไซนัส
จุดมุ่งหมายหลักในการรักษาผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะไซนัสอักเสบเฉียบพลัน
การรักษาประคับประคองตามอาการ
การป้องกัน
เลี่ยงควันบุหรี่ มลพิษ และสารที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้เนื่องจากมีผล ต่อเยื่อบุจมูก และโพรงไซนัส
แนะนำผู้ปกครองของเด็กเล็กให้เลือกสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อนที่สะอาด และไม่แออัดเกินไป
การป้องกันโดยการดูแลไม่ให้ติดหวัด
โรคคออักเสบ / ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน(Acute pharyngitis/ tonsillitis/ pharyngotonsillitis)
หมายถึง การติดเชื้อของบริเวณคอหอย ทั้งบริเวณที่เป็น nasopharynx และ oropharynx และ/หรือต่อมทอนซิล โรคทอนซิลอักเสบพบบ่อยที่สุดในช่วงอายุ 3-14 ปีพบน้อยในเด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 1 ปี
สาเหตุและระบาดวิทยา
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส
อาการที่สำคัญ
คือไข้และเจ็บคอแต่ในเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถบอกอาการ ได้จะมาพบด้วยอาการน้ำลายไหลผิดปกติหรือไม่รับประทานอาหาร
ถ้าเป็นจากเชื้อไวรัส จะพบอาการนำคล้ายโรคหวัด คือ มีน้ำมูก คัดจมูก จาม อาจพบตาแดง น้ำตาไหล เสียงแหบ
ถ้าเป็นจากเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะ GABHS จะมีอาการไข้สูง เจ็บคอมาก ปวดศีรษะคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง
ทอนซิลอักเสบเป็นหนอง หรือทอนซิลบวมแดงจัด
ต่อมน้ำหลืองบริเวณคอส่วนหน้าบวมและกดเจ็บ
ไข้สูง > 38 องศาเซลเซียส
การรักษา
การลดไข้ในกรณีมีไข้ให้ยาลดไข้และเช็ดตัวลดไข้เช่นเดียวกับ การติดเชื้ออื่นๆ
การบรรเทาอาการเจ็บคออาจให้เป็นน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งมะนาว สำหรับ ยาอมต่างๆ มักมียาชาเป็นส่วนประกอบ
โรคหูชั้นกลางอักเสบ (Acute otitis media)
เป็นการ ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนที่พบบ่อยในเด็ก โดยพบว่าเป็นสาเหตุสำคัญ ของการสูญเสียการได้ยินในเด็ก และการใช้ยาต้านจุลชีพที่ไม่เหมาะสมมากเกิน ความจำเป็น
สาเหตุ
เชื้อไวรัส เป็นสาเหตุส่วนใหญ่
มีประวัติครอบครัวป่วยเป็นหูชั้นกลางอักเสบ การเลี้ยงดูใน สถานเลี้ยงเด็กอ่อน กลุ่มที่มีภาวะกรดไหลย้อน ปากแหว่งเพดานโหว่
อาการ
คล้ายกับโรคหวัด ได้แก่ ไข้ไอ น้ำมูกไหล อาเจียน แต่
อาการที่สำคัญ คือ การปวดหูในเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถพูดได้อาจมีดึงหู ทุบหูร่วมกับ ร้องกวน งอแงผิดปกติหรือไม่ยอมนอน
อาการปวดหูระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีอาการปวดหูนานมากกว่า 48 ชั่วโมง
หรือมีไข้สูงมากกว่าหรือเท่ากับ 39 องศา
การรักษา
การรักษาตามอาการ อาการที่สำคัญ คือ อาการปวดหูโดยเฉพาะในระยะเวลา 24 ชั่วโมง แรก
ให้บรรเทาอาการปวดด้วยการใช้ยาแก้ปวด โดยจะเลือกใช้paracetamol หรือ ibuprofen ก็ได้
การพยาบาล แนะนำผู้ดูแลในการดูแลเด็ก
เมื่อเด็กมีอาการปวดหู หูอื้อ และมีไข้ ให้รับประทานยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อบรรเทาอาการดังกล่าว แล้วจึงรีบไปพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง
ป้องกันเด็กไม่ให้เป็นหวัดหรือโรคของทางเดินหายใจส่วนต้น รวมถึงหลีกเลี่ยงการไอแบบปิดปากแน่นหรือสั่งน้ำมูกแรง ๆ
ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่หยุดยาเอง แม้ว่าอาการจะทุเลาลงแล้วก็ตาม
วิธีป้องกันหูชั้นกลางอักเสบ
การให้วัคซีนบางชนิดสามารถลดการเกิดหูชั้นกลางอักเสบได้ โดยวัคซีนที่นิยมให้ คือ วัคซีนป้องกันเชื้อปอดอักเสบ
ทำให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่
ถ้าเจ็บป่วยเป็นโรคนี้ ควรดูแลรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่าปล่อยให้เป็นเรื้อรัง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้อง
โรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบหายใจส่วนล่าง (LRI)
กล่องเสียงและหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (Acute laryngotracheobronchitis viral croup)
เป็นโรคที่เกิดจาก การติดเชื้อของทางเดินหายใจในเด็กที่มีการอักเสบและบวมของกล่องเสียง หลอดคอ และหลอดลม
สาเหตุ
พบบ่อยในเด็กอายุระหว่าง 6 เดือน-3 ปี อาจพบได้ในเด็กที่อายุ น้อยกว่า 3 เดือนและเด็กโตที่อายุระหว่าง 12-15 ปี1-5 เด็กชายพบได้มากกว่า เด็กหญิงในอัตราส่วน 1.4:11
เชื้อที่พบเป็นสาเหตุส่วนใหญ่คือไวรัสที่พบบ่อยที่สุด คือ parainfluenza viruses
ผู้ป่วยที่รับการรักษาในโรงพยาบาลเพียงร้อยละ 1-3 ที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ9-11 โรคนี้มีอัตราเสียชีวิตต่ำ มีผู้ป่วยที่เสียชีวิตประมาณ ร้อยละ 0.5 ของผู้ป่วยที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ10 และประมาณร้อยละ 5 ของผู้ป่วย ที่มีอาการกลับเป็นซ้ำ
อาการ
ผู้ป่วยมีอาการของโรคหวัด เช่น น้ำมูก ไอเล็กน้อย และไขต่ำๆ (บางราย อาจมีไข้สูงถึง 40 ) นำมาก่อนประมาณ 12-48 ชั่วโมง
หลังจากนั้นจะมีอาการ ไอเสียงก้อง เสียงแหบ และหายใจได้ยินเสียง stridor
ในรายที่มีอาการรุนแรงมากจะมีอาการหายใจลำบากและตรวจ พบอาการแสดงต่อไปนี้ ได้แก่ หายใจเร็ว, หัวใจเต้นเร็ว, จมูกบาน (nasal flaring), อกบุ๋ม (chest-wall retractions),
ตารางที่ 1 Downes score (croup score)
การรักษา
เริ่มจากการประเมินความรุนแรงของโรคว่ารุนแรง ระดับไหน หาปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเลวลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้เพื่อพิจารณาแนวทางในการให้การรักษา การติดตาม การพิจารณา รับไว้ในโรงพยาบาล และการเฝ้าระวัง
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะพร่องออกซิเจน
ภาวะหายใจล้ม เหลว
ภาวะขาดน้ำ
มีลมในช่องเยื่อหุ้มปอด, หัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิต
การป้องกัน
หลีก เลี่ยงไม่ให้เด็กเล็กอยู่ในที่แออัด หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มี อาการหวัดหรือติดเชื้อ
ในระบบหายใจ
ถ้ามีสมาชิกในครอบครัวมีอาการหวัด หรือติดเชื้อในระบบหายใจควรให้ใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกและล้างมือ
ทุกครั้งก่อน สัมผัสเด็ก
ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบเฉียบพลัน (Acute epiglottitis)
สาเหตุ
ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ Haemophilus influenzae type b เชื้ออื่นๆ ที่อาจ พบ ได้แก่ Haemophilus influenzae non-typeable
โรคนี้พบได้ทุกวัย แต่มักพบในเด็กก่อนวัยเรียน อายุ 2-6 ปี โดยร้อยละ 80 พบอายุน้อยกว่า 5 ปี หลังจากมีการใช้วัคซีนป้องกันเชื้อ Hib
การรักษา
การรักษาแบบประคับประคอง
ให้ออกซิเจนที่มีความชื้น
งดให้อาหารทางปากและพิจารณาให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
รบกวนผู้ป่วยให้น้อยที่สุด หลีกเลี่ยงการตรวจช่องคอโดยไม่จำเป็น
การรักษาแบบจำเพาะ
การให้ยาต้านจุลชีพ ควรให้ยาที่เหมาะ สม และรวดเร็วที่สุ
ยังไม่มีการศึกษาชัดเจนถึงระยะเวลาในการให้ยา แต่ใน ทางปฏิบัติควร
ให้ยาเข้าหลอดเลือดดำจนผู้ป่วยอาการดีขึ้น ไม่มีไข้
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนที่พบในระบบหายใจ ได้แก่ ปอดอักเสบ, ปอด
แฟบ, pulmonary edema, ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน
สำหรับภาวะแทรกซ้อนนอกระบบหายใจพบได้น้อยมาก ได้แก่ ต่อม
น้ำเหลืองบริเวณคออักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ข้ออักเสบ ติดเชื้อ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
การป้องกันโรค
Invasive Hib คือ การติดเชื้อ Hib ตามอวัยวะต่างๆ
แนะนำให้ยาต้านจุลชีพชนิดกิน คือ rifampicin ขนาดยา 20 มก./กก./วัน ขนาดสูงสุด 600 มก. (สำหรับทารกอายุน้อยกว่า 1 เดือน ขนาดยา 10 มก./กก./วัน) นาน 4 วัน ไม่ควรให้ rifampicin แก่สตรีมีครรภ์)
หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (Acute bronchitis)
เป็นการอักเสบของทางเดินหายใจส่วนล่างตั้งแต่ distal trachea ลงไป จนถึง medium และ large-sized bronchi
สาเหตุ
โรคนี้พบได้ทุกอายุและพบได้ตลอดปี เชื้อที่เป็นสาเหตุเปลี่ยนแปลงตาม อายุของผู้ป่วยและ
ฤดูกาล
สาเหตุส่วนใหญ่ (ร้อยละ 90) เกิดจากไวรัส ได้แก่ influenza A, influenza B, parainfluenza virus, RSV, coronavirus, adenovirus, rhinovirus และhuman metapneumovirus (hMPV)
โดยทั่วไปมักเริ่มจากมีการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบนนำมา ก่อน
ได้แก่ เยื่อบุจมูกอักเสบ (rhinitis), คออักเสบ (pharyngitis)
อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายหวัด ได้แก่ มีไข้ หรืออาจไม่มีไข้ก็ได้ มีน้ำมูก คัดจมูกนำมาก่อนในช่วง 3-5 วัน
ตามมาด้วยอาการของหลอดลม โดยมีอาการ ไอเป็นอาการที่สำคัญที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการไอเฉียบพลัน
ไอแห้งๆ (dry and harsh cough) ผู้ป่วยบางรายมีไอเสียงก้อง (brassy cough) ต่อมาไอมากขึ้นและ มีเสมหะ (productive cough) โดยเสมหะมีลักษณะสีขาว หรือใสเหนียว แล้ว เปลี่ยนเป็นสีเหลืองขุ่น
การรักษา
การรักษาตามอาการ
การดื่มน้ำมากๆ อาจให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว เพื่อทำให้ชุ่มคอและ บรรเทาอาการไอ
ไม่แนะนำให้ใช้ยากด อาการไอในผู้ป่วยเด็ก (cough suppression) เพราะทำให้ เกิดอาการง่วงซึม เสมหะแห้งเหนียวมากขึ้น และอาจเป็นอันตราย ถึงขั้นเสียชีวิต
การรักษาประคับประคอง
การทำกายภาพบำบัดทรวงอกเพื่อระบายเสมหะ แนะนำให้ทำใน ผู้ป่วยที่ไม่สามารถไอเอาเสมหะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีปัญหาทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
การรักษาจำเพาะ
การให้ยาต้านจุลชีพจึงไม่มีประโยชน์ ยกเว้น ในรายที่มีลักษณะบ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย ควรให้ยาต้าน จุลชีพที่ครอบคลุมเชื้อที่น่าจะเป็นสาเหตุ
ภาวะแทรกซ้อน
การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ปอดแฟบใน รายที่มีการระบายเสมหะไม่ดี มีเสมหะคั่งค้างอาจเกิดเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง หรือโรคปอดเรื้อรังตามมาได้
การพยาบาล แนะนำผู้ดูแล ดูแลเด็ก
พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ เพราะน้ำเป็นยาละลายเสมหะที่ดีที่สุด
หลีกเลี่ยง ควัน, กลิ่นฉุน, ควันบุหรี่, สารเคมี, ฝุ่น, สารระคายเคืองต่างๆ ซึ่งจะทำให้การอักเสบในหลอดลมเป็นมากขึ้น
ควรพยายามหลีกเลี่ยงอากาศเย็น และแห้ง ซึ่งจะทำให้ไอมากขึ้น โดยเฉพาะแอร์ พัดลมเป่า การดื่มหรืออาบน้ำเย็น
ควรให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายขณะนอนให้เพียงพอ
ดูแลรักษาตามอาการ เช่น ถ้ามีไข้ อาจรับประทานยาลดไข้
ปอดบวม, ปอดอักเสบ (Pneumonia)
เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของ เนื้อปอดบริเวณหลอดลมฝอยส่วนปลาย (terminal และ respiratory bronchiole) ถุงลม (alveoli) และเนื้อเยื่อรอบถุงลม (interstitium) ซึ่งมีสาเหตุจากการติดเชื้อ
อาการ
อาการสำคัญ คือ ไข้ ไอ หอบ ลักษณะทางคลินิกที่ตรวจพบ
มีไข้ ยกเว้นปอดบวมที่เกิดจากเชื้อ C. trachomatis ก็อาจไม่มีไข้ได้
หายใจเร็วกว่าปกติตามเกณฑ์อายุขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็น การตรวจที่มีความไว (sensitivity) สูงในการวินิจฉัยโรคปอดบวม
มีอาการหายใจลำบาก หายใจอกบุ๋ม จมูกบาน ในรายที่เป็นมากอาจ ตรวจพบริมฝีปากเขียวหรือหายใจมีเสียง grunting
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจนับจำนวนเม็ดเลือด (CBC)
การตรวจ acute phase reactants
ภาพรังสีทรวงอก
การตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย
การตรวจหาเชื้อ atypical bacteria
. การตรวจหาเชื้อไวรัส
การทดสอบทูเบอร์คูลิน (tuberculin test)
การรักษา
การรักษาแบบประคับประคอง เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยหาย จากโรคโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่มีมีอาการเขียว หายใจเร็ว หอบชายโครง บุ๋ม กระวนกระวาย ซึม
ให้สารน้ำอย่างเพียงพอ แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ หรือให้น้ำผ่านทาง สายให้อาหารทางจมูก
ส่วนผู้ป่วยที่หอบมาก ท้องอืด กินอาหารไม่ได้ อาเจียน หรือมีอาการรุนแรง ควรพิจารณาให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำและติดตามระดับ อิเล็กโทรไลต์ในเลือด เพื่อเฝ้าระวังการเกิดภาวะโซเดียมต่ำ
การรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาแก้ปวดลดไข้ ในรายที่มีอาการ เจ็บหน้าอก ปวดข้อ ปวดท้อง เจ็บหู
การรักษาจำเพาะ
ปอดบวมจากไวรัสไม่มียารักษาจำเพาะ ยกเว้นไวรัสไข้หวัดใหญ่
สาเหตุ
เชื้อที่พบเป็นสาเหตุบ่อยของโรคปอดบวมในเด็กแตกต่างกันในแต่ละ อายุ ได้แก่ ไวรัส
ได้รับวัคซีนไม่ครบโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัคซีนป้องกันโรคหัด สัมผัสกับมลภาวะ ทางอากาศและควันบุหรี่ สภาพครอบครัวที่แออัด
ภาวะทุพโภชนาการ น้ำหนักแรกเกิดน้อย (ต่ำกว่า 2,500 กรัม) ไม่ได้รับนมแม่ในช่วงอายุ 4 เดือนแรก
การป้องกัน
เด็กควรได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในระบบหายใจ ได้แก่
conjugated pneumococcal vaccine
เด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี
พ่อ แม่ และผู้เลี้ยงดูเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ควรได้รับวัคซีน ไข้หวัดใหญ่และ
วัคซีนป้องกันโรคไอกรน
หลอดลมคอติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial tracheitis)
มีการ ติดเชื้อเยื่อบุที่บวมอักเสบร่วมกับเสมหำให้ทางเดินหายใจตีบแคบลง เพิ่ม แรงต้านทานของการไหลของอากาศ อาจเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน อย่างรุนแรง
สาเหตุ
Bacterial tracheitis พบได้น้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นในเด็กอายุ 1-7 ปี
ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดมีการติดเชื้อไวรัสในระบบหาใจมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง croup และไข้หวัดใหญ่
บางรายพบตามหลังการสูดสำลักเชื้อหลังจากเป็นไซนัส อักเสบ คออักเสบ หรือหลังผ่าตัดทอนซิล การติดเชื้อแบคทีเรียเฉียบพลันที่หลอดคออาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้
อาการ
ผู้ป่วยมักจะเริ่มด้วยอาการ croup ไอเสียงก้อง เสียงแหบ ต่อมามีไข้สูง ไอ มี
เสมหะจำนวนมากหายใจลำบาก
การดูดเสมหะอาจช่วยให้ดีขึ้นชั่วคราว แต่อาจไม่เพียงพอ และบางรายจำเป็นต้อง
ใส่ท่อช่วยหายใจ เนื่องจากอาการรุนแรง มีภาวะหายใจ ล้มเหลว เขียวกระสับกระส่ายหรือซึ
การรักษา
การรักษาที่สำคัญมากและต้องพิจารณาเร่งด่วน คือ การดูแลทางเดิน หายใจให้เปิดโล่ง
ผู้ป่วยร้อยละ 50-90 จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเจาะคอ หลังจากใส่ท่อช่วยหายใจส่วนใหญ่จำเป็นต้องดูดเสมหะบ่อย
ควรให้ออกซิเจนและสารน้ำให้เพียงพอ ติดตาม อาการใกล้ชิด
ไม่ควรให้ nebulized epinephrine และ steroids เนื่องจาก ไม่ได้ผลในการรักษา
น้ำในเยื่อหุ้มปอดจากการติดเชื้อ (Parapneumonia effusion)
สาเหตุ
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococcus pneumoniae
อาการ
ประวัติ มีการติดเชื้อที่ปอดนำมาก่อน มีไข้ ไอ หอบเหนื่อย ถ้ามีน้ำใน เยื่อหุ้มปอดปริมาณมากอาจทำให้เจ็บหน้าอกขณะหายใจเข้าลึกๆ แน่นหน้าอก นอนราบไม่ได้ หายใจเร็ว หอบเหนื่อย
การรักษา
การรักษาแบบประคับประคอง
ควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาล
ให้ออกซิเจน หากมีอาการหอบเหนื่อยหรือ SpO2 น้อยกว่า 92%
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำหากมีภาวะขาดน้ำหรือกินได้น้อย
ให้ยาลดไข้และยาแก้ปวด
หลีกเลี่ยงการทำกายภาพบำบัดทรวงอกในขณะที่ผู้ป่วยมีอาการหอบ เหนื่อยหรือมี empyema thoracis แต่ทั้งนี้สามารถกระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหว ร่างกาย เช่น นั่งหรือเดินเมื่ออาการหอบเหนื่อยดีขึ้นแล้วเพื่อให้หายใจได้ สะดวกขึ้น
ยาต้านจุลชีพ
ผู้ป่วยทุกคนควรได้รับยาต้านจุลชีพเข้าหลอดเลือดดำที่ครอบคลุมเชื้อ แบคทีเรีย:
การเจาะระบายน้ำในเยื่อหุ้มปอด
การเจาะระบายน้ำในเยื่อหุ้มปอดควรทำโดยวิธีมาตรฐาน
การใส่ท่อระบายน้ำในเยื่อหุ้มปอด
การใส่ท่อระบายน้ำในเยื่อหุ้มปอดควรทำโดยวิธีมาตรฐานอาจพิจารณา ใช้อัลตร้าซาวด์ทรวงอกช่วยในการระบุตำแหน่งที่จะใส่ ระหว่างทำหัตถการควรมีการติดตามสัญญาณชีพ
การใส่ยาละลายไฟบริน (fibrinolytic agent) ในเยื่อหุ้มปอด
ข้อบ่งชี้ เมื่อตรวจพบหนองในเยื่อหุ้มปอด (empyema), น้ำในเยื่อหุ้มปอด ขังเป็นส่วนๆ (loculated pleural effusion) หรือน้ำในเยื่อหุ้มปอดมีความหนืด มาก
การผ่าตัด
ข้อบ่งชี้ เมื่อรักษาด้วยยาต้านจุลชีพที่ครอบคลุมเชื้อและใส่ท่อระบายน้ำ ในเยื่อหุ้มปอดแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น เช่น มีไข้, sepsis หรือระบายน้ำออกมาได้
โรคหอบหืดในเด็ก(Asthma)
สาเหตุ
มีภาวะการอุดกั้นของหลอดลม
ประวัติ มีอาการไอ หอบ เหนื่อย แน่นหน้าอก หรือหายใจมีเสียงวี้ด (wheeze)
อาการ
มีอาการไอ หอบ เหนื่อย แน่นหน้าอก หรือหายใจมีเสียงวี้ด (wheeze)
การรักษา
การรักษาขณะมีอาการหอบ
ให้ออกซิเจน
ให้ยาขยายหลอดลม ให้ผลเร็วกว่าการฉีด ถ้าไม่สามารถพ่นยาได้อาจใช้ยาฉีด
รักษาภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ ปอดแฟบ
การรักษาโรคหืดระยะยาว
การควบคุมสิ่งกระตุ้นให้เกิดการแพ้
ให้ยาเพื่อรักษาภาวะหลอดลมหดเกร็ง
กายภาพบำบัดทรวงอก เช่น การฝึกการหายใจ การไออย่างมีประสิทธิภาพ
การออกกำลังกาย