Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorders of pregnancy)🤰🏼😣 -…
ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
(Hypertensive disorders of pregnancy)🤰🏼😣
ระดับความดันโลหิตในสตรีตั้งครรภ์💁🏻♀️
ระดับความดันโลหิตในสตรีตั้งครรภ์จะต่ำกว่าขณะที่ไม่ตั้งครรภ์
ในระยะไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ ความดันโลหิตจะต่ำสุด
ในไตรมาสที่ 3 ความดันโลหิตจะค่อยๆเพิ่มขึ้นจนกระทั่งอยู่ในระดับเดียวกับขณะที่ไม่ได้ตั้งครรภ์
การลดต่ำลงของความดันโลหิตระหว่างตั้งครรภ์เกิดจาก vascular tone ลดลง เนื่องจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจึทำให้เกิด low resistance
อิริยาบถขณะวัดความดันมีผลต่อความดันโลหิต ขณะนั่งความดันจะสูงสุด และต่ำสุดเมื่อนอนตะแคง
ความหมายของภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์💁🏻♀️
1 hypertension💁🏼♂️
ค่าความดันโลหิตช่วงหัวใจบีบตัวsystolic BP อย่างน้อย 140 mmHg.
ค่าความดันโลหิตช่วงหัวใจคลายตัวdiastolic BP อย่างน้อย 90 mmHg
2 Pregnancy Induced Hypertension💁🏼♂️
ภาวะความดันโลหิตสูงที่มีสาเหตุจากการตั้งครรภ์ พบในระยะครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ อาจพบร่วมกับการมีโปรตีนในปัสสาวะหรือมีอาการบวม
3 postpartum hypertension💁🏼♂️
สตรีที่มีความดันโลหิตปกติขณะตั้งครรภ์ แล้วมีความดันโลหิตสูงขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์หลังคลอด ถึง 6 เดือน หลังคลอด จากนั้นความดันจะกลับมาปกติในช่วงปลายปีแรก
ชนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์💁🏻♀️
gestational hypertension💁🏼♂️
ภาวะความดันโลหิตสูงที่วินิจฉัยได้ครั้งแรกในระหว่างการตั้งครรภ์หลังอายุ 20 สัปดาห์โดยมีโปรตีนในปัสสาวะน้อยกว่า 300 mgในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ความดันโลหิตกลับสู่ระดับปกติภายใน 12 สัปดาห์หลังคอด
preeclampsia💁🏼♂️
กลุ่มอาการของความดันโลหิตที่พบครั้งแรกในสตีตั้งครรภ์หลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ร่วมกับมีโปรตีนในปัสสาวะอย่างน้อย 300 มิลลิกรัมใน 24 ชั่วโมงและภายหลังความดันโลหิตสูงคงอยู่ไม่เกิน 12 ชั่วโมงหลังคลอด
ครรภ์เป็นพิษระยะชัก เป็นภาวะครรภ์เป็นพิษที่มีอาการชักร่วมด้วยโดยหาสาเหตุของการชักไม่ได้
preeclampsia superimposed on chronic hypertension💁🏼♂️
สตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรัง เมื่อตั้งครรภ์แล้วพบมีภาวะครรภ์เป็นพิษแทรกซ้อน
preexisting hypertension💁🏼♂️
ภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นมาก่อนการตั้งครรภ์ หรือวินิจฉัยได้ก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์
ภาวะครรภ์เป็นพิษ💁🏻♀️
ภาวะครรภ์เป็นพิษก่อนระยะชัก💁🏼♂️
เกณฑ์การวินิจฉัย preeclampsia
เกณฑ์การวินิจฉัยเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง
เกณฑ์การวินิจฉัยเกี่ยวกับโปรตีนในปัสสาวะ
ยกเลิกเกณฑ์การวินิจฉัยภาวะครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง โดยใช้เกณฑ์ proteinuria มากกว่า 5 กรัมในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง รวมทั้งยกเลิกเกณฑ์ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
เกณฑ์การประเมินความรุนแรงของภาวะ preeclampsia
ครรภ์เป็นพิษที่มีลักษณะรุนแรง
ครรภ์เป็นพิษที่มีลักษณะไม่รุนแรง
ภาวะครรภ์เป็นพิษระยะชัก (eclampsia)💁🏼♂️
ภาวะชักแบบ generalized convulsions หรือ grandmal seizures ที่มีลักษณะเป็นการชักเกร็งแบบชักกระตุก
สาเหตุและพยาธิกําเนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์💁🏻♀️
ระยะที่ 1 ระยะก่อนแสดงอาการ💁🏼♂️
เป็นระยะที่เกิดความผิดปกติที่รก มักเกิดขึ้นตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์โดยการพัฒนาการตามปกติของรกเซลล์ cytotrophoblasts ของทารกจะรุกล้ำเข้าไปใน maternal spiral arteries และมี remodeling of spiral arterioles โดยเซลล์ cytotrophoblasts จะมีการปรับเปลี่ยนจากลักษณะเนื้อเยื่อบุผิวไปเป็นลักษณะเนื้อเยื่อบุโพรงหลอดเลือด
ระยะที่ 2 ระยะแสดงอาการ 💁🏼♂️
รกที่ขาดออกซิเจนจะมีการหลั่งสารต่างๆออกมาในกระแสเลือด ที่สําคัญคือ proinflammatory และ antiangiogenic factors ทําให้เซลล์บุ
93โพรงหลอดเลือดบาดเจ็บ และขาดเลือด เกิดความผิดปกติในการทําหน้าที่ของเนื้อเยื่อบุโพรงหลอดเลือด กระตุ้นให้เกิดภาวะ oxidative stress
พยาธิสรีรภาพของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์💁🏻♀️
ระบบเลือดและการแข็งตัวของเลือด💁🏼♂️
เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ําเฉียบพลัน และมีปัจจัยการแข็งตัวของเลือดชนิดอื่นๆ ลดลงด้วย โดยอาจเกิดจาก
94กลไกทางระบบภูมิคุ้มกัน หรือเกล็ดเลือดไปจับตัวเกาะกลุ่มตามเยื่อบุหลอดเลือดที่ถูกทําลาย
ระบบตับ💁🏼♂️
การเกิด generalized vasoconstriction ทําให้เกิด hepatic ischemia และส่งผลให้ ระดับเอนไซม์ aspartate aminotransferase (AST) หรือ serum glutamic oxaloacetic transaminase (SGOT) และ alanine aminotransferase (ALT) หรือ serum glutamic pyruvic transaminase (SGPT) สูงขึ้น
ระบบหัวใจและปอด 💁🏼♂️
ภาวะครรภ์เป็นพิษที่รุนแรงจะมี plasma albumin ลดลง เนื่องมาจากเกิด proteinuria และการรั่วของ capillariesนี้ทําให้ colloid osmotic pressure ลดลง จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ําท่วมปอด และสารน้ำในระบบไหลเวียนโลหิตจะรั่วออกไปคั่งตามเนื้อเยื่อต่างๆ
ระบบประสาท💁🏼♂️
เยื่อบุหลอดเลือดถูกทําลาย อาจทําให้เกิดการแตกของหลอดเลือดฝอย มีเลือดออกมในสมองเป็นจุดเลือดเล็กๆ หรือเป็นก้อนใหญ่ และผลจากหลอดเลือดหดเกร็ง ทําให้เกิด cortical brain spasm และเกิด cerebral ischemia ส่งผลให้มีสมองบวม
ระบบไต💁🏼♂️
ปริมาณการไหลเวียนที่ไตลดลงประกอบกับมีการทําลายของชั้นเยื่อบุหลอดเลือดในไต เกิด glomerularcapillaryendotheliosis ทําให้ glomerularinfiltration rate ลดลง ส่งผลให้ปริมาณปัสสาวะลดลง และระดับ serum uric acid และ creatinine เพิ่มขึ้น
ระบบการมองเห็น💁🏼♂️
การหดรัดตัวของหลอดเลือดที่จอตา ทําให้เกิด retinaledema เกิดอาการตาพร่ามัว การมองเห็นผิดปกติ และอาจทําให้เกิดการหลุดของจกตา
รก และมดลูก💁🏼♂️
การหดรัดตัวของหลอดเลือด spiral arteriole ใน decidual ร่วมกับมี acute atherosis ทําให้หลอดเลือดตีบตัน ปริมาณเลือดที่ไหลผ่านระหว่างรกและมดลูก ลดลง และมีการแตกทําลายของเม็ดเลือดและการจับตัวของเกล็ดเลือด
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง💁🏻♀️
สตรีอายุมากขึ้นตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ทั้งสตรีที่ไม่เคยผ่านการคลอด และเคยผ่านการคลอดมาแล้ว💁🏼♂️
ดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 kg/m2ขึ้นไปหรืออ้วน 💁🏼♂️
ผ่านการคลอดบุตรคนก่อนมาอย่างน้อย 10 ปี มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น💁🏼♂️
การตั้งครรภ์แฝด ครรภ์แฝดที่มีจํานวนทารกมาก จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่าครรภ์แฝดสอง💁🏼♂️
ประวัติครรภ์เป็นพิษในครรภ์ก่อน มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 7 เท่า💁🏼♂️
ประวัติพันธุกรรมครรภ์เป็นพิษในครอบครัวของสตรีตั้งครรภ์ โดยเฉพาะมารดา พี่สาว น้องสาว เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น💁🏼♂️
ประวัติมีความเจ็บป่วยทางอายุรกรรมที่เกี่ยวข้อง 💁🏼♂️
ความผิดปกติทางสูติกรรม💁🏼♂️
สตรีที่ไม่เคยคลอดบุตรมาก่อน💁🏼♂️
ภาวะโภชนาการบกพร่อง💁🏼♂️
อาการและอาการแสดง💁🏻♀️
ภาวะ preeclampsia💁🏼♂️
อาการแสดง
3.Eclampsia คือ มีอาการชักแบบชักทั้งตัว
4.เลือดออกในสมอง
2.น้ำท่วมปอด
5.ตาบอดจากพยาธิสภาพของครรภ์เป็นพิษในสมอง
1.Systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ Diastolic BP ≥ 110 mmHg.
อาการ
ภาวะไตวาย serum creatinine ≥1.1 mg/dL.
การทํางานของตับผิดปกติ ระดับเอนไซม์ AST และ/หรือ ALT สูงกว่า 70 IU/L
เกล็ดเลือดต่ํา มี platelet count < 100,000 ต่อไมโครลิตร
ระบบการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
HELLP syndrome
Elevated liver enzymes (EL) คือ การเพิ่มของเอนไซม์ตับ
Low platelet (LP) คือเกล็ดเลือดต่ํา ค่า platelet cout ≤ 100,000 ต่อไมโครลิตร
Hemolysis (H) คือ การแตกหรือสลายของเม็ดเลือดแดง
ภาวะ Eclampsia💁🏼♂️
2.2 ระยะเริ่มแรกของอาการชัก
2.1 ระยะก่อนชัก
2.4 ระยะชักกระตุก
2.5 ระยะหมดสติ
2.3 ระยะชักเกร็ง
ผลกระทบต่อภาวะสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
เลือดแข็งตัวผิดปกติ(DIC)
รกลอกตัวก่อนกําหนด
หัวใจล้มเหลว จากการมี venous return เพิ่มอย่างรวดเร็ว
ไตวายเฉียบพลัน เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง
อันตรายจากการชัก
น้้ำท่วมปอด หรือปอดบวมน้ำ
เลือดออกในสมอง
เลือดออกในตับจนมีการตายของเซลล์ตับ หรือตับวาย
เกล็ดเลือดต่ํา
การหลุดของเรตินา
หลอดเลืออุดตัน
หัวใจขาดเลือด
ผลกระทบต่อทารก
แท้งหรือเสียชีวิตในครรภ์
ทารกตายในครรภ์เฉียบพลันหรือตายในระยะแรกเกิด
ทารกคลอดก่อนกําหนด
กรณีที่ได้รับการรักษาด้วย magnesium sulfate ในระยะคลอด
ขาดออกซิเจน เลือดเป็นกรด
ทารกโตช้าในครรภ์
การประเมินและวินิจฉัย💁🏻♀️
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ💁🏼♂️
CBC, platelet count, liver function test, renal functiontest และตรวจ cogulation profile
การตรวจพิเศษ
4.1 Angiotensin sensitivity test
4.2 Roll over test
4.3 Isometric exercise
4.4Doppler velocimetry
4.5 Specific blood testing
4.6Mean arterial blood pressure (MAP)
การตรวจร่างกาย💁🏼♂️
2.1 การประเมินความดันโลหิต
2.2 การประเมินระดับรีเฟล็กซ์
2.3 การประเมินอาการบวม
2.4 ประเมินอาการบวมกดบุ๋ม
การซักประวัติ💁🏼♂️
1.1 ซักประวัติเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
1.2 ประวัติอาการและอาการแสดงของภาวะ preeclampsia
แนวทางการรักษา💁🏻♀️
การรักษา preeclampsia without severe features💁🏼♂️
1.2 ซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด ติดตามสังเกตอาการและอาการแสดง
1.3 ตรวจโปรตีนในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ควรตรวจอย่างน้อย 3 วัน
1.1 ควรรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
1.4 bed rest ไม่จําเป็นต้องให้ยากล่อมประสาท
1.5 ประเมินความดันโลหิตทุก 4 ชั่วโมง
1.6 ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
1.7 กรณีอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ และมี preterm labor พิจารณาให้ glucocorticoid เพื่อกระตุ้น fetal lungmaturity
1.8 ให้รับประทานอาหารธรรมดา บันทึก intake และ output และชั่งน้ําหนักทุก 2 วัน
พิจารณาให้ยุติการตั้งครรภ์ ในกรณีต่อไปนี้
ยืนยันด้วย BPP ผลเป็น non-reassuring fetal testing
อายุครรภ์ตั้งแต่ 34 สัปดาห์ ร่วมกับอาการเจ็บครรภ์ มีน้ําเดิน มี non-reassuring fetal testing หรือ severe FGR
โรคมีการเปลี่ยนแปลงเป็น preeclampsia with severe features
4) อายุครรภ์ 37-40 สัปดาห์ ให้พิจารณายุติการตั้งครรภ์ เมื่อตรวจพบว่าปากมดลูก มีความพร้อม
การรักษา preeclampsia with severe features💁🏼♂️
2.4 ประเมินอาการแสดงของ Mg toxicity เป็นระยะ
2.6 ประเมินความดันโลหิตทุก 15 นาที จนกว่าจะคงที่
2.3 เริ่มให้ยา MgSO4 ทางหลอดเลือดดําทันที
2.15 การลดความเจ็บปวด ยาที่ใช้ ได้แก่ Meperidine (Pethidine®) 50-75 mg
2.2 absolute bed rest
2.16 ในการรักษาแบบเฝ้าระวัง ให้ตรวจ NST ทุกวัน
2.5 ให้ยาลดความดันโลหิตเมื่อ systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ diastolic BP ≥ 110 mmHg.
2.17 การยุติการตั้งครรภ์ มักเริ่ม induction ภายหลังจากที่ดูแลรักษาอาการต่างๆ
2.1 ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาลทุกราย
2.14 Preeclampsiawith severe features ที่การเจ็บครรภ์คลอด
2.13 การแก้ไขภาวะ hemoconcentration ควรให้สารน้ําประเภท crystalloid หรือสารละลายเกลือแร่
2.12 หลีกเลี่ยงการใช้ยาขับปัสสาวะ
2.11 ขั้นตอนการตรวจข้างต้น ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงอาการทางคลินิก
2.10 กรณีอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ และมี preterm labor พิจารณาให้ glucocorticoid
2.9 ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อยืนยันอายุครรภ์ ตรวจแยกโรค
2.8 ได้รับการวินิจฉัยว่ามีลักษณะรุนแรงแล้ว ไม่จําเป็นต้องตรวจโปรตีนในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
2.7 ส่งตรวจblood testing
การรักษา eclampsia 💁🏼♂️
3.2 หากชักในขณะได้ MgSO4 อยู่ ให้เจาะเลือดเพื่อตรวจหา Mg leve
3.3 ให้ยาลดความดันโลหิตเมื่อ systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ diastolic BP ≥ 110 mmHg.
3.1 ควบคุมการชักและป้องกันการชักซ้ำโดยให้ MgSO4 loading dose ตามด้วย maintenancedose ให้ทางหลอดเลือดดํา
3.4 ป้องกันภาวะแทรกซ้อนในขณะชักและหลังชัก
3.5 ติดตามและตรวจสอบอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
3.6 ตรวจสอบภาวะ oliguria หรือ anuria โดยคาสายสวนปัสสาวะ และวัดปริมาณปัสสาวะทุกชั่วโมง
3.7 ไม่ควรใช้ยา diazepam เนื่องจากจะกดระดับความรู้สึก
3.8 Eclampsia ที่มีการเจ็บครรภ์คลอด ห้ามใช้ยา tocolytic drug ในทุกกลุ่มอายุ
3.9 เริ่มกระบวนการ augmentation of labor
3.10 เฝ้าระวังการตกเลือดหลังคลอด
3.11 ให้ magnesium sulfate ต่อไปจนครบ 24 ชั่วโมงหลังคลอด
ยาที่ใช้ในการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์💁🏻♀️
ยาป้องกันการชัก💁🏼♂️
Magnesium Sulfate(MgSO4)
การบริหารยา
maintenancedose ด้วย 50% MgSO4 ปริมาณ 10-20 gm. ในสารละลาย 5% D/W 1,000 ml. หยดทางหลอดเลือดดําในอัตรา 2 gm.
ควรให้ยานี้ต่ออย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงหลังคลอด หรือจนกระทั่งปัสสาวะออกมากกว่า 100 ml. ต่อ ชั่วโมง
เริ่มให้ loading dose ด้วย 10% MgSO4 ปริมาณ 4-6 gm. ทางหลอดเลือดดําช้าๆ นาน 15-20 นาทีด้วยอัตราไม่เกิน 1 gm.
กรณีเกิดการชักซ้ํา ควรให้ MgSO4 ซ้ําทางหลอดเลือดดํา ปริมาณ 2-4 gm. เป็นเวลานาน 5 นาที
ผลข้างเคียง
MgSO4ออกฤทธิ์ทําให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว จึงทําให้กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวตามธรรมชาติไม่ดีเมื่อเข้าสู่ระยะคลอด
MgSO4 ขับออกทางไต ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้คือmagnesium toxicity หรือ ภาวะ hypermagnessemia
ผลข้างเคียงอื่นๆ ได้แก่ อาการร้อนวูบวาบทั้งตัว เซื่องซึมและง่วงนอน มีเหงื่อออกมาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง รีเฟล็กซ์ลดลง อุณหภูมิร่างกายต่ําลง ปัสสาวะออกน้อย คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว สับสน ท้องผูก
ยาลดความดันโลหิต💁🏼♂️
2.1 Hydralazine (Apresoline®หรือ Nepresol®)
การบริหารยา
เริ่มให้ยาครั้งแรกขนาด 5 mg. ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดําใน 2 นาที แล้วประเมินความดันโลหิตทุก 5 นาที
หลัง 20 นาที หาก diastolic BP >110 mmHgให้ยาซ้ําได้อีก 10 mg. ทุก 20 นาที จนกว่าค่าdiastolic BPอยู่ระหว่าง 90-100 mmHg
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงที่อาจพบ ได้แก่ ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม คลื่นไส้ อาเจียน ใจสั่น หัวใจเต้นผิดปกติ จังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ําเสมอ จุกเสียดยอดอก
2.2 Labetalol (Avexor®)
การบริหารยา
เริ่มให้ยาครั้งแรกที่ขนาด 20 mg. เข้าหลอดเลือดดําช้าๆ นาน 2 นาที แล้ววัดความดันโลหิตซ้ําทุก 10 นาที
หากความดันโลหิตยังไม่ลดให้ซ้ําได้ทุก 10-15 นาที ในขนาด 40, 80, 80, และ 80 mg. ตามลําดับ แต่ขนาดยารวมกันต้องไม่เกิน 220-300 mg.
ผลข้างเคียง
ความดันโลหิตต่ํา เวียนศีรษะ คลื่นไส้ คัดจมูก หายใจลําบาก เหนื่อยล้า ปฏิกิริยาภูมิไวเกิน ภาวะหัวใจล้มเหลว
2.3 Nifedipine (Adalat®)💁🏼♂️
การบริหารยา
ระดับความดันโลหิตยังอยู่ที่ระดับ 140/100 mmHg. ระดับยาที่ได้รับไม่ควรเกิน 120 mg/24 hr.
ไม่ควรให้ยาแบบอมใต้ลิ้น
ให้ในรูปแบบยารับประทาน นิยมให้ยาขนาด 10-20 mg. และให้ยาซ้ำได้ทุก 15-30 นาที
ผลข้างเคียง
ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ใจสั่น คลื่นไส้ เหงือกอักเสบ ท้องผูก
การพยาบาลสตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์💁🏻♀️
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ preeclampsia with severe features💁🏼♂️
2.7 ดูแลและส่งเสริมการขับสารน้ําออกจากร่างกาย โดยให้นอนตะแคงซ้าย
2.8 ติดตามประเมินระดับ oxygen saturation ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
2.6 ดูแลให้ยาลดความดันโลหิตตามแผนการรักษา
2.9 ดูแลให้ทารกปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน
2.5 ดูแลให้ยาป้องกันชัก MgSO4ตามแผนการรักษา
2.10 ดูแลให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงอย่างปลอดภัย
2.4 ประเมินอาการนําก่อนการชัก
2.11 ประคับประคองด้านจิตใจ อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเข้าใจถึงการดําเนินของโรค
2.3 บันทึกปริมาณสารน้ําเข้าและออกในแต่ละวัน
2.2 ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตทุก 1 ชั่วโมง
2.1 ดูแลให้นอนพักบนเตียงอย่างเต็มที่
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ eclampsia💁🏼♂️
3.11 จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ และลดสิ่งกระตุ้นให้เกิดการชัก
3.12ประเมินอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์เป็นระยะ
3.10ให้งดอาหารและน้ําตามแผนการรักษา
3.13 เตรียมสตรีตั้งครรภ์เพื่อคลอดตามสถานการณ์
3.9 รายงานแพทย์เมื่อมีอาการนําของการชักหรือขณะชัก และดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
3.14 ดูแลป้องกันการชักซ้ําภายหลังคลอด
3.8 สังเกตและบันทึกอาการนําของการชัก ระยะเวลาของการชัก ระยะเวลาที่หยุดหายใจ ระดับความรู้สึกตัว และพฤติกรรมของสตรีตั้งครรภ์หลังอาการชัก
3.7 สังเกตและบันทึกอาการทางสมอง
3.6 บันทึกปริมาณสารน้ําเข้าและออกจากร่างกาย
3.5 ประเมินสัญญาณชีพเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
3.4 ดูแลให้ได้รับยาระงับชักตามแผนการรักษา
3.3 ให้ออกซิเจนขณะชัก และภายหลังชัก
3.2 จัดให้นอนตะแคง ใส่ไม้กั้นเตียง โดยใช้หมอนรองรับรอบด้าน
3.1 ใส่ oral airway หรือ mouth gag เพื่อป้องกันไม่ให้กัดลิ้นและความสะดวกในการดูดเสมหะและน้ําลาย เพื่อป้องกันการสําลัก
3.15 ให้การดูแลป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
3.16 ดูแลทารกแรกเกิด ซึ่งอาจมีภาวะขาดออกซิเจน คลอดก่อนกําหนด หรือน้ําหนักแรกเกิดน้อย
การพยาบาลสตรีที่มีภาวะ preeclampsia without severe features💁🏼♂️
1.4 เฝ้าระวัง ติดตาม อาการและอาการแสดงของ preeclampsia ที่รุนแรงขึ้น
1.5 ดูแลให้รับประทานอาหารธรรมดา บันทึกสารน้ําเข้าและออกจากร่างกาย และชั่งน้ําหนัก
1.3 ดูแลและติดตามประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
1.6 ดูแลติดตามการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
1.2 ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตทุก 4 ชั่วโมง
1.7ประเมินและให้การประคับประคองสภาวะทางอารมณ์ และจิตใจอย่างเหมาะสม
1.1 bed rest ในท่านอนตะแคงซ้าย