Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 2 การพยาบาลเด็กระบบติดเชื้อ - Coggle Diagram
บทที่ 2 การพยาบาลเด็กระบบติดเชื้อ
โรคหัด (MEASLES/RUBEOLA)
สาเหตุ
เชื้อไวรัส (paramyxovirus)
ระยะฟักตัว ประมาณ 10วันหลังจากได้รับเชื ้อจนกระทั่งมี
ไข้ หรือประมาณ 14 วัน จนกระทั่งปรากฏผื่น
ระยะเวลาติดต่อ : ประมาณ 8-12 วัน คือ 4วันก่อนผื่นขึ้น
จนถึง 4 วันหลังผื่นขึ้น
การระบาดของโรค : ตลอดทั้งปี วัยเด็กมักเป็นโรคหัดอายุ
1-7 ปี อายุน้อยกว่า 6 เดือนมักไม่พบว่าเป็นโรคหัด
อาการ
อาการนำ : ไข้สูง อ่อนเพลีย ไอ น้ำมูกน้ำตาไหล เยื่อบุตาอักเสบ กลัวแสง หนังตาบวม ทอนซิลโตและแดง
ตรวจพบ Koplick’s spot ลักษณะเม็ดขาวเล็กๆขนาดเท่าหัว
เข็มหมุดบนเยื่อบุกระพุ้งแก้มที่แดงจัด
ระยะออกผื่น : ประมาณวันที่ 3-5 หลังจากเป็นไข้ ตาแดงจัด ผื่น
เริ่มจากหลังใบหูและโคนผมที่ต้นคอ ใบหน้า ลำตัว แขนและขา ต่อมน้ำเหลือง ม้ามโต
ระยะผื่นจางหาย : ประมาณวันที่ 5 –8 ของโรค ไข้เริ่มลดลงและหายไปภายใน 2-3วัน
โรคแทรกซ้อน
สมองอักเสบ (Encepalitis) ไข้ อาเจียน ซึม ชัก และระคาย
เคืองของเยื่อหุ้มสมอง
ปอดอักเสบ
หูชั้นกลางอักเสบ
เยื่อบุตาอักเสบ
ลำไส้อักเสบ
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
เป็นโรคหัดขณะตั้งครรภ์ อาจทำให้เด็กตายคลอดหรือคลอดก่อนกำหนดได้
การรักษา
ให้พักผ่อน ยาลดไข้ และให้น้ำเพียงพอ
ถ้าติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ ต้องให้ยาต้านจุลชีพที่เหมาะสม
การป้องกัน
ให้ Gamma globulin ฉีดเข้ากล้ามเนื้อภายใน 5 วันหรือน้อย
กว่า 6 วันหลังจากได้รับเชื้อ
วัคซีนที่ทำจากเชื้อมีชีวิตฉีดเข้าใต้ผิวหนังครั้งเดียว ควรให้
ในเด็กอายุไม่ต่ำกว่า 1 ขวบ ควรฉีดซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุเกิน 12
เดือน ไม่จำเป็นต้องฉีดเสริม
โรคหัดเยอรมัน (Rubella)
เชื้อ rubella เป็น RNA ไวรัส อยู่ในตระกูล Togaviridae และในกลุ่ม rubi-virus
ไข้ออกผื่น ไม่รุนแรงในเด็ก เเต่สตรีตั้งครรภ์เป็นโรคหัดเยอรมันในระยะเริ่มตั้งครรภ์ได้ 3-4 เดือนทารกในครรภ์
ทำให้เกิดความพิการทางหู ตา หัวใจ สมอง
ระยะติดต่อ คือ 2-3 วันก่อนมีผื่นขึ้นจนไปถึง 7 วันหลังผื่นขึ้น
ระยะฟักตัว 14-21 วัน เฉลี่ย 16-18 วัน
อาการ
มีไข้ต่ำถึงปานกลาง (ประมาณ 37.2-37.8 องศาเซลเซียส)
ต่อมน้ำเหลืองโต (Lymphadenopathy)
มีตุ่มนูน ผื่นแดงหรือสีชมพูขึ้นที่ใบหน้าก่อนจะลามลงมาตามผิวหนังส่วนอื่น ๆ
Congenital rubella
ข้ออักเสบ CHD : PDA ,Pulmonic stenosis ,VSD
,ASD cataracts,Glaucoma,auditory deficits , Mental retardation meningoencepalitis
การวินิจฉัยโรค
แยกเชื้อไวรัสจากน้ำมูก swab จากคอ เลือด ปัสสาวะ
และน้ำไขสันหลัง
แยกผู้ป่วยครบ 7วันหลังผื่นขึ้น ใน Congenital rubella
อาจมีเชื้อได้นานถึง 1 ปี
ติดตามตรวจเชื ้อไวรัสใน nasopharynx และในปัสสาวะ
เมื่ออายุ 3-6 เดือนแล้วไม่พบเชื้อ
ให้วัคซีนป้องกัน
การพยาบาล
การแยกเด็กแบบ Respiratory Isolation ตั้งแต่มีอาการถึง 5-7วัน หลังผื่นขึ้น
Tepid sponge
ระยะไข้สูงให้อาหารอ่อน ดื่มน้ำมากๆ
โรคสุกใส (Chickenpox/Vericella)
เชื้อไวรัส Varicella virus หรือHuman herpes
virus type 3
ขึ้น บริเวณหนังศีรษะ ใบหน้า คอ และ เยื่อบุช่องปากก่อนแล้วจึงลามไปที่แขนขา
กระจายแบบ Centripetal
ยาต้านไวรัส คือ Acyclovir (Zovirax)
ระยะฟักตัว 10-21 วัน
อาการนำ มีไข้ต่ำๆพร้อมกับผื่น อ่อนเพลีย ปวด
ศีรษะ เบื่ออาหาร 1- 2วัน ปวดท้องเล็กน้อย
ลักษณะผื่น เริ่มจากจุดแดงราบ(macule) เปลี่ยนเป็นตุ่มนูน(papule)
และตุ่มน้ำใส(vasicle) ต่อมาเป็นตุ่มหนอง(pustule) แห้งตกสะเก็ด (crust)
โรคแทรกซ้อน
การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง
ปอดอักเสบ ข้ออักเสบ กระดูกอักเสบ
สมองอักเสบ
Reye’s syndrome
Hemorrhagic chickenpox
Disseminated varicella
การวินิจฉัย
ขูดพื้นของตุ่มใสมา smear บน slide พบ Multinucleated giant cell Intranuclear Inclusion /
cmplementfixation/vesicle fluid
การป้องกัน
ควรอยู่ในห้องแยก strict isolation ควรหยุดเรียน
การพยาบาล
แยกผู้ป่วยไว้จนกว่าแผลตกสะเก็ดหมด
ใช้ dermapon ฟอก หรือให้คาลาไมน์โลชั่นทาหลังอาบน้ำ
ให้ยา Antihistamine
ตัดเล็บมือให้สั้น ใส่ถุงมือในเด็กเล็ก
วัคซีนป้องกันโรคสุกใสถ้าสัมผัสโรคไม่เกิน 3วัน ป้องกันโรคได้มากกว่า 90%
โรคคอตีบ (Diphtheria)
สาเหตุ
เชื้อแบคทีเรีย Corynebactrium diphtheriae
ระบาดวิทยา
เชื้อเข้าทางปากหรือการหายใจ
พบในเด็กอายุ 1-6 ปี ระยะฟักตัว 2-5 วัน อาจอยู่
ได้ 2 สัปดาห์ถ้าไม่ได้รับการรักษา
อาการ
ไข้ต่ำๆ ไอเสียงก้อง เจ็บคอรุนแรง เบื่ออาหาร
ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต
คอบวม “Bullneck”
มักมีอาการของ toxicemia ไข้สูง ซึม ชีพจรเบาเร็ว
มือเท้าเย็น
คอพบเเผ่นเยื่อสีขาวปนเทาบริเวณทอลซิล หรือลิ้นไก่
โรคแทรกซ้อน
การอุดตันของทางเดินหายใจส่วนบน ของโรค
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
เส้นประสาทอักเสบ เป็นผลของท๊อกซินต่อเส้นประสาท
การวินิจฉัยโรค
ตรวจแผ่นเยื่อในลำคอ
การเพาะเชื้อ C.diphtheriae โดยใช้throat swab
การรักษา
ให้ Diphtheria Antitoxin (DAT) เร็วที่สุด
ให้ยาปฏิชีวนะเพนนิซิลิน เป็นเวลา 14 วัน
ถ้าทางเดินหายใจตีบ ต้องเจาะคอเพื่อช่วยให้หายใจได้
พักผ่อนอย่างเต็มที่ 2-3 สัปดาห์
การป้องกัน
แยกผู้ป่วยจากผู้อื่น อย่างน้อย 3 สัปดาห์ หลังเริ่มมีอาการ
ผู้ใกล้ชิดผู้ป่วย เนื่องจากโรคคอตีบติดต่อกันได้ง่าย จึงควรติดตามดูอาการ
อย่างใกล้ชิด การเพาะเชื้อจากลำคอและติดตามอาการ 7 วัน ผู้ที่ไม่เคยได้รับ
วัคซีนป้องกันโรคมาก่อน หรือได้รับไม่ครบ ควรให้ยาปฏิชีวนะ เป็นเวลา 7 วันเริ่มให้วัคซีน พร้อมให้ Diphtheria Antitoxin เช่นเดียวกับผู้ป่วย
ให้วัคซีนป้องกันคอตีบ 4 ครั้ง เมื่ออายุ 2,4,6 และ 18 เดือน และกระตุ้นอีก
ครั้งหนึ่งเมื่ออายุ 4-6 ปี (ต่อไปอาจกระตุ้นทุก 10 ปี)
ไอกรน (Pertussis, Whooping cough)
ลักษณะเฉพาะ
คือ ไอติดต่อกันคร้ังละนาน ๆ ประมาณ 5-10 ครั้งจนตัวงอและ
หายใจแทบไม่ทัน และหลังจากหยุดไอผู้ป่ วยจะหายใจเข้ายาว ๆ
จนเสียงดัง “วู้ป” (Whoop)
สาเหตุ
เกิดจาก “เชื้อไอกรน” ขื่อ (Bordetella pertussis)
อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะ
พยาธิสภาพ
บางชนิดทำให้เชื้อเกาะติดกับเยื่อบุของขนพัดโบกของ
ทางเดินหายใจ
การอักเสบของเยื่อบุ เกิดการตายที่หลอดลมเล็ก ทำให้เกิด
bronchopneumonia
เกิดการอุดตันบริเวณ bronchiolar และปอดแฟบ
มีเลือดคั่งในเยื่อบุทางเดินหายใจ
การติดต่อ
ทางเดินหายใจโดยการหายใจสูบเอาฝอยละอองของน้ำลาย เสมหะ
ที่ผู้ป่วยไอจามออกมาเเขวนลอยอยู่ในอากาศ หรือผ่านมือที่สัมผัสถูก
สิ่งที่ปนเปื้น น้ำมูกน้ำลาย เสมหะ
ระยะฟักตัวของโรค
ตั้งเเต่ได้รับเชื้อใช้เวลาประมาณ 5-21 วัน ถ้าสัมผัสโรคมาเกิน 3 สัปดาห์
แล้วไม่มีอาการ แสดงว่าไม่ติดโรค
ระยะติดต่อ
ตั้งแต่เริ่มมีอาการ (ระยะเป็นหวัด) จนถึง 3 สัปดาห์ หลังจากเริ่มมีอาการไอ
รุนแรง
อาการ
ระยะเป็นหวัด คือ มีไข้ต่ำ ๆ มีน้ำมูกไหล จาม ไอเล็กน้อย อ่อนเพลีย ตาแดง
การไอจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ระยะนี้ใช้เวลา 1-2 สัปดาห์
ระยะไอรุนแรง จะมีเสียงลักษณะเฉพาะ (เสียงวู้ป) เกิดขึ้น ระยะนี้ใช้เวลา
1-6 สัปดาห์ อาจถึง 10 สัปดาห์ ในครั้งหนึ่งจะไอติดต่อกันประมาณ 5-10 ครั้ง
มักจะเกิดขึ้นเวลากลางคืน
ระยะฟื้นตัว ใช้เวลา 1-4 สัปดาห์ เริ่มรับประทานอาหารได้มากขึ้น น้ำหนักตัวขึ้น
และอาการไอจะค่อย ๆ ลดลง
ภาวะแทรกซ้อน
ปอดอักเสบ/ปอดบวม (Pneumonia)
ปอดแฟบ (Atelectasis)
อาจพบหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) หูชั้นกลางอักเสบ (Otitis media)
มีจุดเลือดออก
การวินิจฉัยโรคไอกรน
ไอติดต่อกันนานมากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป
การเพาะเช้ือ
การตรวจหาแอนติบอดีหรือสารภูมิต้านทาน
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) ชนิด Lymphocyte ข้้นสงูกว่าปกติ
อาการไอเป็นชุด
วิธีรักษา
การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
เด็กในที่อากาศปลอดโปร่ง ให้ดื่มน้ำอุ่นมากๆ เพื่อขับเสมหะ
รับประทานอาหารทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง
ให้น้ำเกลือที่ผสมเอง (น้ำสุก 1 ขวดแม่โขงกลม + น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ + เกลือแดง 1/2 ช้อนชา)
ทารกที่ชักเกร็ง ตัวเขียว หยุดหายใจ ให้ทำการผายปอด นำลูกยางดูดเสมหะออก
การรักษาด้วยยาErythromycin ควรแยกผู้ป่วยออกต่างหากอย่างน้อย 5 วัน นับจากวันเริ่มให้ยา
ฉีดวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก และไอกรน
สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยสบู่