Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะอาเจียนรุนแรงในระยะตั้งครรภ์ (Hyperemesis gravidarum) - Coggle Diagram
ภาวะอาเจียนรุนแรงในระยะตั้งครรภ์
(Hyperemesis gravidarum)
สาเหตุ
ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงแต่อาจเกิดจากปัจจัยส่งเสริมดังนี้
ปัจจัยด้านมารดา ได้แก่
1.3 มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารไม่เหมาะสมตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เช่น
รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
ขาดวิตามินบางชนิดโดยเฉพาะวิตามินบี 6
1.4 มีความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น กระเพาะอาหารหรือลําไส้อักเสบ ถุงน้ําดีอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ ลําไส้อุดตัน การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหารโดยเฉพาะจากเชื้อ Helicobacter pylori (H. pylori)
1.2 มีประวัติการแพ้ท้องอย่างรุนแรงในครรภ์ก่อน หรือเป็นการตั้งครรภ์ครั้งแร
1.5 กระเพาะอาหารมีการเคลื่อนไหวลดลง จากการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนโปรเจสเตอร์โรน(progesterone) ขณะตั้งครรภ์ ทําให้หลั่งกรดไฮโดรคลอริค (hydrochloric acid: HCI) ลดลง
1.1 การตั้งครรภ์ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) สูง หรือมีระดับ human chorinoicgonadotropin (hCG) เพิ่มมากกว่าปกติ เช่น
การตั้งครรภ์แฝด มีภาวะ hyperthyroidism ขณะตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก (hydatidiform moles)
1.6 สภาพจิตใจ ความเครียด ความวิตกกังวล ที่อาจมีสาเหตุต่างๆ ส่งผลให้เกิดการกระตุ้น cerebral cortex และ limbic system ส่งกระแสประสาทความรู้สึกไปยังศูนย์ควบคุมการอาเจียน
ปัจจัยด้านทารก ได้แก่
ทารกมีความผิดปกติเกี่ยวกับโครโมโซม triploidy, trisomy 21
ทารกบวมน้ํา (hydrops fetalis)
อาการและอาการแสดง
หากอาการอาเจียนไม่รุนแรงมากสามารถทํากิจวัตรประจําวันได้ตามปกติน้ําหนักจะลดลงเล็กน้อยไม่มีอาการขาดน้ําและสารอาหาร
หากอาการอาเจียนรุนแรงมากขึ้นคือมีอาการอาเจียน5-10 ครั้งต่อวันหรือมากกว่าเป็นเวลาหลายวันจะมีอาการดังนี้
3.3 เกิดความไม่สมดุลของร่างกาย เกิดภาวะ acidosis และ alkalosis และความไม่สมดุลของเกลือแร่ (electrolyte imbalance
3.4 ลมหายใจมีกลิ่นอะซิโตน (acetone) ตรวจพบคีโนในปัสสาวะ (ketonuria)
3.2 มีอาการแสดงของภาวะขาดสารน้ํา (dehydration)
3.5 มีอาการแสดงของกลุ่มอาการ Wenicke’s encephalopathy จากการขาดวิตามินบี 1 โดยจะมีอาการมองเห็นภาพซ้อน (ophthalmoplegia) เซ (gait ataxia) และสับสน (confusion)
3.1ขาดสารอาหาร และน้ําหนักลดลงมาก
3.6 มีอาการแสดงทางด้านจิตใจ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาจะทําให้ขาดสารอาหารอย่างรุนแรงตามองเห็นภาพไม่ชัดและอาจทําให้เสียชีวิตได้
มีอาการคลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรงเป็นระยะเวลานานอาจตลอดทั้งวันอาการรุนแรงอาจเพิ่มมากขึ้นจนไม่สามารถยับยั้งได้
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
ผลกระทบต่อมารดา
เกิดภาวะความเป็นกรดในร่างกายเกิดภาวะกรดในกระแสเลือดเนื่องจากการสูญเสียด่างในน้ําย่อยไปกับการอาเจียนทําให้มีผลกระทบต่อระบบสมองส่วนกลางมีอาการกระสับกระส่ายไม่รู้สึกตัวหมดสติ
ถ้ามีอาการรุนแรงมากร่างกายเสียสมดุลของอิเลคโตรลัยท์เกิดภาวะhypokalemia, alkalosis กล้ามเนื้ออ่อนแรง
ทําให้ร่างกายเกิดการขาดน้ําทําให้อุณหภูมิสูงขึ้นชีพจรเบาเร็วและความดันโลหิตต่ําลงมีผลกระทบต่อการทํางานของไตปัสสาวะออกน้อยมีไข้ผิวหนังแห้งมีอาการอ่อนเพลีย
เกิดภาวะขาดสารอาหารมีผลกระทบต่อตับค่าSGOT เพิ่มขึ้นมีอาการของการขาดวิตามิน
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
หากสตรีตั้งครรภ์อาการรุนแรงมากเกิดภาวะเป็นกรดในร่างกายอาจทําให้ทารกมีอาการทางสมองเกิดภาวะWernicke’s encephalopathy
อาจทําให้แท้งคลอดก่อนกําหนดทารกอาจตายคลอดและทารกพิการ(Fetal anomalies) จากการขาดสารอาหารได้
หากสตรีตั้งครรภ์มีน้ําหนักลดลงมากจะทําให้ทารกในครรภ์เติบโตช้าและน้ําหนักแรกคลอดน้อยกว่าปกติ
การวินิจฉัย
2.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
2.1การตรวจเลือดพบฮีมาโตคริตสูงBUN สูงโซเดียมต่ำโปแตสเซียมต่ําคลอไรด์ต่ำSGOT สูงLFT สูงและโปรตีนในเลือดต่ำ
2.2การตรวจปัสสาะพบว่ามีความถ่วงจําเพาะสูงไข่ขาวในปัสสาวะเพิ่มขึ้นพบคีโตนในปัสสาวะถ้ามีอาการรุนแรงมากอาจพบน้ําดีในปัสสาวะได้
การตรวจพิเศษ เพื่อค้นหาสาเหตุของความผิดปกติ ได้แก่
การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
การเจาะตรวจน้ําคร่ํา
1.การซักประวัติตรวจร่างกายประเมินจากอาการและอาการแสดงของ การอาเจียนรุนแรง การขาดสารน้ําขาดสารอาหาร น้ําหนักตัว และสภาพจิตใจ
แนวทางการรักษา
การรักษาด้วยยา ได้แก่
4.2 วิตามิน ได้แก่ วิตามินบี 6 (Pyridoxine) 10-25 mg. 1 เม็ด รับประทาน 3-4 ครั้งต่อวัน โดยขนาดสูงสุดในสตรีตั้งครรภ์ไม่ควรเกิน 200 mg/วัน
4.3 ยาคลายกังวล และยานอนหลับ ได้แก่Diazepam 2 mg. 1 เม็ด ครั้งต่อวันรับประทาน 2 ครั้งต่อวัน และ/หรือ Diazepam 5 mg. 1 เม็ด รับประทานก่อนนอน
4.1 ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน
Metoclopramide 5-10 mg. ฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อทุก 6-8 ชั่วโมง
ยา Promethazine 12.5–25 mg. ฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อทุก 4-5 ชั่วโมง
ภายหลังจากอาการดีขึ้นให้เปลี่ยนเป็นยารับประทาน
เมื่ออาการแพ้ท้องรุนแรงดีขึ้น ให้คําแนะนํา ดังนี้
5.1 ให้รับประทานอาหารอ่อนครั้งละน้อยแต่บ่อยครั้งทุก 2-3 ชั่วโมง ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ขนมปังกรอบ หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด อาหารมัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นทําให้คลื่นไส้อาเจียน
5.2 รับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของขิงสามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ เช่น น้ําขิง ลูกอมรสขิง เป็นต้น โดยรูปแบบที่แนะนํา คือรับประทานเป็นแคปซูลขิงขนาดที่ใช้ 1-15 กรัมต่อวัน (แคปซูลละ 250 mg. รับประทานวันละ 4 ครั้ง)
หากอาการรุนแรงมาก ควรงดอาหารและน้ําทางปาก และรีบแก้ไขภาวะขาดน้ํา ความไม่สมดุลของเกลือแร่ และความเป็นกรด-ด่างของเลือด โดยการให้สารน้ําทางหลอดเลือดดํา 5% D/NSS 1,000 ml. ทางหลอดเลือดดํา ร่วมกับการแก้ไขปัญหาข้างต้น กรณีที่มีภาวะขาดสารอาหารรุนแรงควรได้รับ parenteral nutrition therapy โดยต้องได้แคลอรี่มากกว่า 2,000 แคลอรี่ต่อวัน ซึ่งต้องมีกรดอะมิโน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ โดยอาจให้ทาง central venous access หรือ subclavian vein
หลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อม และสิ่งกระตุ้นที่ทําให้คลื่นไส้อาเจียน
ความชื้น
เสียงดัง
แสงไฟกะพริบ
ความร้อน
กลิ่น
หากอาการไม่รุนแรงสามารถรับประทานอาหารได้แนะนําให้รับประทานอาหารที่ช่วยทดแทนเกลือแร่ที่สูญเสียไปกับการอาเจียน ได้แก่
น้ําใบเตย
น้ําผลไม้
น้ําตะไคร้
น้ํากระเจี๊ยบ
กรณีที่รักษาด้วยวิธีต่างๆ แล้วอาการไม่ดีขึ้น จะต้องทําการวินิจฉัยเพื่อค้นหาสาเหตุของโรคที่แท้จริง เพื่อทําการรักษาอย่างเหมาะสม
ควรวินิจฉัยแยกโรคภาวะอาเจียนอย่างรุนแรงจากอาการของโรคอื่นๆ
การพยาบาล
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
2.7 จัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาด เงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อน เนื่องจากการนอนไม่เพียงพอ อาจเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดภาวะอาเจียนรุนแรง
2.8 เมื่ออาการดีขึ้น ให้เริ่มรับประทานอาหารมื้อละน้อยแต่บ่อยครั้ง โดยเริ่มจากอาหารแข็ง ย่อยง่าย มีคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนสูง
2.8.1 การรับประทานอาหารครั้งละน้อยแต่บ่อยครั้ง ไม่ควรให้กระเพาะอาหารว่าง เพราะจะทําให้กระเพาะบีบรัดตัวมาก ทําให้คลื่นไส้อาเจียน
2.8.2 งดอาหารไขมัน เพราะย่อยยากและทําให้คลื่นไส้ ควรรับประทานอาหารแข็ง ย่อยง่าย เพื่อลดการอาเจียน นอกจากนี้กระเพาะอาหารจะสามารถเก็บอาหารแข็งได้ดีกว่าอาหารเหลว
2.6 บันทึกปริมาณสารน้ําเข้าออกจากร่างกาย โดยเฉพาะ urine output ไม่ควรน้อยกว่า 1,000 ml. ต่อวัน เพื่อประเมินการทํางานของไตหากมีภาวะขาดน้ํารุนแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการทํางานของไต
2.9 ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก จําเป็นต้องให้อาหารทางสายยาง หรือให้สารอาหารทดแทนทางหลอดเลือดดํา โดยเป็นอาหารเหลวที่มีแคลอรี่และวิตามินสูง
2.5 ดูแลให้ยาลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ตามแผนการรักษา
2.10ติดตามชั่งน้ําหนัก เพื่อประเมินว่าได้รับสารน้ําและสารอาหารเพียงพอหรือไม่
2.4 ดูแลให้ได้รับสารน้ําทางหลอดเลือดดํา เพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ํา โดยดูแลให้ได้รับสารน้ําทดแทนประมาณ 3,000 ml. ใน 24 ชั่วโมง โดยอาจผสม glucose, vitamins, electrolyte ต่างๆในสารน้ําเพื่อช่วยรักษาสมดุลของ electrolyte และชดเชยสารอาหาร ตามแผนการรักษาของแพทย์
2.11ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และรายงานแพทย์ให้ทราบทันที
2.3 ดูแลความสะอาดของช่องปากและฟัน ขณะที่ NPO หรือหลังจากอาเจียน เพราะปากและฟันที่ไม่สะอาดจะทําให้คลื่นไส้ อาเจียน และไม่อยากรับประทานอาหาร
2.12แนะนําให้คู่สมรสหรือบุคคลในครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลช่วยเหลือสตรีตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิด
2.2 หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน
2.13ดูแลด้านจิตใจโดยการอยู่เป็นเพื่อน ให้กําลังใจ เปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัย รับฟังด้วยความสนใจ เอาใจใส่ แนะนําให้ทําจิตใจให้สบาย และหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจก่อให้เกิดความเครียด
2.1 ดูแลให้งดอาหารและน้ําทางปาก (Nothing Per Oral: NPO) อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง เพราะเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน
2.14ปรึกษาและส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คําปรึกษา เพื่อแก้ไขปัญหาด้านจิตใจที่อาจส่งผลให้เกิดอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรง
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์เมื่อกลับไปอยู่บ้าน
3.4 แนะนําการออกกําลังกายหรือกายบริหารเบาๆ อย่างสม่ําเสมอ เพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย สามารถลดความเครียด ความวิตกกังวล และช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
3.5 แนะนําให้หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้เกิดความเครียด ทําจิตใจให้สบาย และใช้เทคนิคการผ่อนคลาย
3.3 แนะนําให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย อย่างน้อย 8 ชั่วโมงในเวลากลางคืน และกลางวันอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เนื่องจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพออาจทําให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนรุนแรงได้
3.2 แนะนําให้ดื่มน้ําอุ่นทันที่ตื่นนอนประมาณครึ่งแก้ว แล้วนอนต่ออีกประมาณ 15 นาที ก่อนที่จะลุกขึ้นปฏิบัติกิจวัตรประจําวัน เพื่อไม่ให้ท้องว่างซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน และควรดื่มน้ําหรือเครื่องดื่มต่างๆ ระหว่างมื้ออาหาร เพื่อป้องกันภาวะสูญเสียน้ํา
3.6 อธิบายให้คู่สมรสและครอบครัวเข้าใจถึงภาวะที่เกิดขึ้น และควรให้การช่วยเหลือสตรีตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิด
3.1 แนะนําการรับประทานอาหาร โดยปรับเปลี่ยนแบบแผนการรับประทานอาหารครั้งละน้อยแต่บ่อยครั้ง เป็นอาหารที่ย่อยง่าย หรือมีโปรตีนสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก รสเผ็ด หรือมีกลิ่นแรง และควรนั่งพักประมาณ 45 นาที ไม่ควรนอนทันที หลังจากรับประทานอาหารแล้ว
3.7 แนะนําให้เห็นความสําคัญของการมาตรวจตามนัดอย่างสม่ําเสมอ และสังเกตอาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์ก่อนวันนัด
1.การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยนอก
1.6 แนะนําให้รับประทานผลไม้ เพื่อเพิ่ม โพแทสเซียม
1.5 แนะนําให้รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวเพื่อให้ร่างกายได้รบพลังงานอย่างเพียงพอ
1.8 สอนวิธีการประเมินโภชนาการ การคํานวณ พลังงานที่ได้รับจากอาหารที่บริโภค และการชั่งน้ําหนัก
1.9 ให้คําปรึกษาในการปรับแบบแผนการรับประทานอาหาร เพื่อให้ได้พลังงานและสารอาหารที่เพียงพอ 2,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน
1.4 รับประทานอาหารแข็งที่ย่อยง่าย เพื่อให้กระเพาะอาหารเก็บอาหารได้นานขึ้น
1.10 ช่วยประคับประคองด้านจิตใจ โดยเปิดโอกาสให้สตรีตั้งครรภ์ได้พูดถึงปัญหา ให้การปรึกษาเพื่อการแก้ไข หรือช่วยให้สตรีตั้งครรภ์ปรับตัวกับปัญหาได้อย่างเหมาะสม
1.3 แนะนําให้จิบเครื่องดื่มอุ่นๆเพื่อได้รับน้ําและเกลือแร่เพียงพอ เครื่องดื่มอุ่นจะช่วยลดการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ทําให้ไม่เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน
1.2 แนะนําวิธีการป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียน ได้แก่
1.2.4 หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและอาหารที่มีกลิ่นแรง
1.2.5 หลังรับประทานอาหารไม่ควรนอนทันที เพื่อป้องกันการไหลท้นกลับของน้ําย่อย
1.2.3 รับประทานอาหารเหลว อาหารน้ํา หรือดื่มน้ําระหว่างมื้ออาหารแทนการดื่มพร้อมรับประทานอาหาร เพราะจะทําให้กระเพาะอาหารยืดขยายมาก และกระตุ้นการอาเจียน
1.2.6 ดูแลความสะอาดของปากและฟัน บ้วนปากบ่อยๆ ไม่ควรให้ปากแห้งแตกและสกปรก เพราะจะทําให้คลื่นไส้ อาเจียน และไม่อยากรับประทานอาหาร ไม่ควรแปรงฟันทันทีหลังอาหาร
1.2.2 งดอาหารไขมัน เพราะย่อยยาก ทําให้คลื่นไส้ ควรรับประทานอาหารแข็ง ย่อยง่าย เพื่อลดการอาเจียน นอกจากนั้นกระเพาะอาหารจะเก็บอาหารแข็งได้ดีกว่าอาหารเหลว
1.2.7 แนะนําการพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เนื่องจากการนอนไม่เพียงพออาจเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดภาวะอาเจียนอย่างรุนแรง
1.2.1 การรับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง ไม่ควรให้กระเพาะอาหารว่าง เพราะอาจทําให้กระเพาะบีบรัดตัวมาก ทําให้คลื่นไส้อาเจียน
1.1 อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์เข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดภาวะอาเจียนรุนแรง และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
1.11 แนะนําให้มาพบแพทย์เมื่อมีอาการคลื่นไส้อาเจียนมากขึ้น หรือไม่ทุเลาลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากมีอาการ abdominal pain, dehydration หรือน้ําหนักลดลงอย่างมาก
1.7 แนะนําวิธีการรับประทานยาแก้อาเจียนตามแผนการรักษา โดยยาแก้อาเจียนควรรับประทานก่อนอาหารประมาณ 30 นาที