Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
4.2. ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorders of pregnancy) -…
4.2. ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
(Hypertensive disorders of pregnancy)
ชนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์
ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
ครรภ์เป็นพิษ หรือ ภาวะครรภ์เป็นพิษระยะก่อนชัก
ครรภ์เป็นพิษซ้อนทับกับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
4.2.1 ภาวะครรภ์เป็นพิษก่อนระยะชัก (Preeclampsia)
เกณฑ์การวินิจฉัย preeclampsia
เกณฑ์การวินิจฉัยเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง ได้แก่ การพิจารณาค่าความดันโลหิตที่สูง
เกณฑ์การวินิจฉัยเกี่ยวกับโปรตีนในปัสสาวะ (proteinuria)
4.2.2 ภาวะครรภ์เป็นพิษระยะชัก (eclampsia)
ลักษณะเป็นการชักเกร็งแบบชักกระตุก (tonic-clonic)
สาเหตุและพยาธิกำเนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ระยะที่ 1 ระยะก่อนแสดงอาการ
เป็นระยะที่เกิด
ความผิดปกติที่รกในภาวะครรภ์เป็นพิษ จะเกิดความผิดปกติของการฝังตัวของรก
ระยะที่ 2 ระยะแสดงอาการ
ซึ่งอาการ
แสดงทางคลินิกที่สำคัญ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ภาวะมีโปรตีนในปัสสาวะ และอาการตามระบบต่าง ๆ
ของร่างกาย ซึ่งเกิดในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์
พยาธิสรีรภาพของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ระบบตับ
มีอาการปวดใต้ชายโครงขวา หรือจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ คลื่นไส้อาเจียน มี blood glucose ลดลง ในราย
รุนแรงอาจพบมีตับแตก (hepatic rupture) ได้
ระบบประสาท
จากการที่เยื่อบุหลอดเลือดถูกทำลาย อาจทำให้
เกิดการแตกของหลอดเลือดฝอย มีเลือดออกมในสมองเป็นจุดเลือดเล็ก ๆ หรือเป็นก้อนใหญ่
ระบบเลือดและการแข็งตัวของเลือด
เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำเฉียบพลัน นำไปสู่ภาวะ hemoglobulonemia และ hyperbillirubinemia
ระบบการมองเห็น
เกิดอาการตาพร่ามัว (blurred vision) การ
มองเห็นผิดปกติ
ระบบหัวใจและปอด
มีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมปอด และจะส่งผลให้เกิดการทำงานของหัวใจล้มเหลว (cardiacdecompensation) ได้
รก และมดลูก
ทำให้เกิดการตายของเนื้อรกและผนังมดลูก การทำหน้าที่ของรกเสื่อมลง เกิดภาวะ
uteroplacental insufficiency
ระบบไต (renal system)
ภาวะนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือดทั้ง
ก่อนคลอดและหลังคลอด
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
ดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 kg/m2
ขึ้นไป หรืออ้วน
การตั้งครรภ์แฝด
สตรีอายุมากขึ้นตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป
ประวัติพันธุกรรมครรภ์เป็นพิษในครอบครัวของสตรีตั้งครรภ
ผ่านการคลอดบุตรคนก่อนมาอย่างน้อย 10 ปี มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ประวัติมีความเจ็บป่วยทางอายุรกรรมที่เกี่ยวข้อง
ประวัติครรภ์เป็นพิษในครรภ์ก่อน มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 7 เท่า
ความผิดปกติทางสูติกรรม เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ
สตรีที่ไม่เคยคลอดบุตรมาก่อน (nulliparity)
ภาวะโภชนาการบกพร่อง เช่น ขาดวิตามินซี วิตามินอี ขาดแคลเซียม
อาการและอาการแสดง
ภาวะ preeclampsia
อาการแสดง
3.Eclampsia คือ มีอาการชักแบบชักทั้งตัว
4.เลือดออกในสมอง
2.น้ำท่วมปอด
5.ตาบอดจากพยาธิสภาพของครรภ์เป็นพิษในสมอง
1.Systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ Diastolic BP ≥ 110 mmHg.
อาการ
เกล็ดเลือดต่ำ มี platelet count < 100,000 ต่อไมโครลิตร
ระบบการแข็งตัวของเลือดผิดปกต
การทำงานของตับผิดปกติ ระดับเอนไซม์ AST และ/หรือ ALT สูงกว่า 70 IU/L หรือ
มากกว่า 2 เท่าของค่าเดิม
HELLP syndrome
ภาวะไตวาย serum creatinine ≥ 1.1 mg/dL.
ภาวะ Eclampsia
2.2 ระยะเริ่มแรกของอาการชัก (Stage of invasion)
2.3 ระยะชักเกร็ง (Stage of contraction หรือ tonic stage)
2.1 ระยะก่อนชัก (Premonitoring stage)
2.4 ระยะชักกระตุก (Stage of convulsion หรือ clonic stage)
2.5 ระยะหมดสติ (coma หรือ unconscious)
ผลกระทบต่อภาวะสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์ เช่น รกลอกตัวก่อนกำหนด , เลือดแข็งตัวผิดปกติ(DIC) เป็นต้น
ผลกระทบต่อทารก
แท้งหรือเสียชีวิตในครรภ์
ทารกตายในครรภ์เฉียบพลันหรือตายในระยะแรกเกิด เป็นต้น
การประเมินและวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย 2.1 การประเมินความดันโลหิต
2.2 การประเมินระดับรีเฟล็กซ์ 2.3 การประเมินอาการบวม 2.4 ประเมินอาการบวมกดบุ๋ม
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ CBC, platelet count, liver function test, renal
functiontest และตรวจ cogulation profile
การซักประวัติ ซักประวัติเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง
แนวทางการรักษา
การรักษา preeclampsia without severe features
1.4 ให้นอนพัก (bed rest) ไม่จำเป็นต้องให้ยากล่อมประสาท
1.5 ประเมินความดันโลหิตทุก 4 ชั่วโมง
1.3 ตรวจโปรตีนในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ควรตรวจอย่างน้อย 3 วัน
1.6 ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
1.2 ซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด
1.7 กรณีอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ และมี preterm labor พิจารณาให้ glucocorticoid
เพื่อกระตุ้น fetal lung maturity
1.1 ควรรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
1.8 ให้รับประทานอาหารธรรมดา บันทึก intake และ output และชั่งน้ำหนักทุก 2 วัน
การรักษา preeclampsia with severe features
เริ่มให้ยา magnesium sulfate (MgSO4) ทางหลอดเลือดดำทันที เพื่อป้องกันการชัก
ประเมินอาการแสดงของ Mg toxicity เป็นระยะ อย่างน้อยชั่วโมงละครั้ง
ให้ยาลดความดันโลหิตเมื่อ systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ diastolic BP ≥ 110 mmHg.
ให้ยาลดความดันโลหิตเมื่อ systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ diastolic BP ≥ 110 mmHg.
หลีกเลี่ยงการใช้ยาขับปัสสาวะ
การแก้ไขภาวะ hemoconcentration ควรให้สารน้ำประเภท crystalloid
กรณีอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ และมี preterm labor พิจารณาให้ glucocorticoid เพื่อช่วยเสริมการสร้างสาร surfactant ของปอดทารก
Preeclampsia with severe features ที่การเจ็บครรภ์คลอด ห้ามให้ยายับยั้งการเจ็บ
ครรภ์คลอด (tocolytic drugs) ในทุกอายุครรภ์
การรักษา eclampsia
ตรวจสอบภาวะ oliguria หรือ anuria
ไม่ควรใช้ยา diazepam เนื่องจากจะกดระดับความรู้สึก
ให้ยาลดความดันโลหิตเมื่อ systolic BP ≥ 160 mmHg
Eclampsia ที่มีการเจ็บครรภ์คลอด ห้ามใช้ยา tocolytic drug ในทุกกลุ่มอาย
หากชักในขณะได้ MgSO4 อยู่ ให้เจาะเลือดเพื่อตรวจหา Mg level ทันที ส่วนในรายที่มี
การเจ็บครรภ์คลอดแล้ว ให้ load ซ้ำได้อีก 2-4 g. โดยไม่ต้องรอผล Mg level
เริ่มกระบวนการ augmentation of labor พิจารณาช่วยคลอดด้วยคีมหรือเครื่องดูด
สุญญากาศ
ควบคุมการชักและป้องกันการชักซ้ำโดยให้ MgSO4 loading dose ตามด้วย
maintenance dose ให้ทางหลอดเลือดดำ
ห้ magnesium sulfate ต่อไปจนครบ 24 ชั่วโมงหลังคลอด
ยาที่ใช้ในการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ยาป้องกันการชัก (anticonvulsant)
Magnesium Sulfate (MgSO4)
ยาลดความดันโลหิต (antihypertensive dtrugs)
2.1 Hydralazine (Apresoline® หรือ Nepresol®)
2.2 Labetalol (Avexor®)
2.3 Nifedipine (Adalat®)
การพยาบาลสตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ preeclampsia with severe features
2.2 ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตทุก 1 ชั่วโมง
2.3 บันทึกปริมาณสารน้ำเข้าและออกในแต่ละวัน
2.4 ประเมินอาการนำก่อนการชัก
2.5 ดูแลให้ยาป้องกันชัก MgSO4 ตามแผนการรักษา
2.1 ดูแลให้นอนพักบนเตียงอย่างเต็มที่
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ eclampsia
3.3 ให้ออกซิเจนขณะชัก และภายหลังชัก
3.4 ดูแลให้ได้รับยาระงับชักตามแผนการรักษา
3.2 จัดให้นอนตะแคง ใส่ไม้กั้นเตียง
3.5 ประเมินสัญญาณชีพเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมง
3.1 ใส่ oral airway หรือ mouth gag
การพยาบาลสตรีที่มีภาวะ preeclampsia without severe features
การพยาบาล
1.1 ดูแลให้นอนพักบนเตียง (bed rest) ในท่านอนตะแคงซ้าย
1.2 ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตทุก 4 ชั่วโมง
1.3 ดูแลและติดตามประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
1.4 เฝ้าระวัง ติดตาม อาการและอาการแสดงของ preeclampsia ที่รุนแรงขึ้น
1.5 ดูแลให้รับประทานอาหารธรรมดา บันทึกสารน้ำเข้าและออกจากร่างกาย และชั่งน้ำหนัก
1.6 ดูแลติดตามการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
1.7 ประเมินและให้การประคับประคองสภาวะทางอารมณ์ และจิตใจอย่างเหมาะสม