Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 1 การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ, image, image, image,…
บทที่ 1 การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
1.โรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบหายใจส่วนบน (URI)
:star:
1.1 โรคหวัด (Common cold)
:<3:
โรคหวัด (common cold) หมายถึง การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน บริเวณโพรงจมูกและอาจลามมาถึงช่องปาก ที่มีอาการไม่รุนแรง โดยเฉลี่ยใน เด็กมีโอกาสเป็นโรคหวัด 6-8 ครั้งต่อปีผู้ป่วยบางรายอาจเป็นหวัดได้มากกว่า 12 ครั้งต่อปีเด็กมีโอกาสเป็นหวัดน้อยลงเมื่อโตขึ้น
สาเหตุและระบาดวิทยา
:red_flag:
ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส เชื้อที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยทุกอายุคือ rhinovirus ซึ่งมีมากกว่า100 ชนิด
รองลงมา ได้แก่coronavirus, parainfluenza virus เป็นต้น โรคหวัดมักพบในฤดูกาลที่มีอากาศเย็น และความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ เช่น ฤดูหนาวเนื่องจากอุณหภูมิพอเหมาะต่อการเติบโตของไวรัส เยื่อบุโพรง จมูกที่แห้งจะมีโอกาสติดเชื้อไวรัสได้ง่าย
เด็กที่อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กมีโอกาส ติดเชื้อหวัดมากขึ้น
ลักษณะอาการทางคลินิก
:red_flag:
ระยะฟักตัวของ rhinovirus ประมาณ 1-4 วัน ส่วน coronavirus ใช้เวลา ประมาณ 2-4 วัน โดยทั่วไปมักเกิดอาการภายหลังการสัมผัสเชื้อ 1-3 วัน
อาการของโรคหวัด ขึ้นกับอายุและชนิดของเชื้อไวรัส เด็กเล็กอาจมีไข้ และน้ำมูกเป็นอาการเด่น เด็กโตมักไม่มีไข้แต่อาจเริ่มด้วยอาการเจ็บคอหรือ ระคายคอ ต่อมามีน้ำมูกคัดจมูก ไอ อาการไอพบได้ประมาณสองในสามของผู้ป่วยเด็ก
โรคหวัดอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจทั้งหมด ที่เกิดจากเชื้อไวรัส หากเป็นการติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น influenza virus, respiratory syncytial virus, human metapneumovirus จะมีอาการอื่นมากกว่า เชื้อ rhinovirus หรือ coronavirus เช่น มีอาการปวดหัว เสียงแหบ ปวดเมื่อยตัว อาเจียน ท้องเสีย เป็นต้น
อาการแสดง
เยื่อบุจมูกบวมแดง อาจพบเยื่อบุตาแดง ต่อม น้ำเหลืองที่คอโต มีpost nasal drip ได้ โดยทั่วไปอาการของโรคหวัดมักไม่นานเกิน 7-14 วันถ้ามีอาการนาน เกิน 2 สัปดาห์ให้สงสัยว่าอาจมีภาวะไซนัสอักเสบ หรือมีการติดเชื้อแบคทีเรีย ร่วมด้วย หรือเป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ
การรักษา
:red_flag:
โรคนี้เป็นโรคที่หายได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องให้ยารักษา ไม่จำเป็นต้องให้ ยาต้านจุลชีพ การรักษาที่อาจช่วยบรรเทาอาการ ที่อาจให้ได้ ได้แก่
การลดไข้ ประกอบด้วย
การเช็ดตัว
ยา เช่น paracetamol
ระมัดระวังการใช้ibuprofen โดยเฉพาะช่วงที่มีโรคไข้เลือดออก ระบาด
ไม่แนะนำให้ใช้แอสไพริน เนื่องจากมีรายงานการเกิด Reye’ssyn-drome ในเด็กที่เป็นไข้หวัดใหญ่หรือสุกใสและได้รับยาแอสไพริน
การพยาบาล
:red_flag:
ลดไข้ โดยการการเช็ดตัว กระตุ้นให้ดื่มน้ำ ถ้าไข้ไม่ลดให้ยาพาราเซตามอลตามแผนการรักษา
การระบายน้ำมูก
ลดอาการไอ กระตุ้นดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำผึ้งผสมมะนาวป้ายลิ้น
ดูแลร่างกายให้อบอุ่น
ดูแลให้อาหารอ่อนย่อยง่ายที่มีคุณค่าทางอาหารสูง
ดูแลให้พักผ่อน
สังเกตอาการที่ต้องพาไปพบแพทย์ หายใจหอบ หายใจเสียงดัง ชายโครงบุ๋ม ซึม ไม่ดื่มนมหรือน้ำ อาการป่วยมากขึ้น
ให้คำแนะนำในการป้องกันไข้หวัดและการแพร่กระจายเชื้อ ไม่พาเด็กไปที่มีคนหนาแน่น
ให้คำแนะนำในการดำเนินของโรค เพื่อป้องกันการให้ยาที่ไม่จำเป็น
การประเมิน
ไม่มีไข้ อุณหภูมิกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ
หายใจโล่ง ไม่มีเสมหะอุดกั้น
รับประทานอาหารได้มากขึ้น
1.2 โรคคออักเสบ / ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน(Acute pharyngitis/ tonsillitis/ pharyngotonsillitis)
:<3:
คออักเสบ/ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน (acute pharyngitis/ tonsillitis/ pharyngotonsillitis) หมายถึง การติดเชื้อของบริเวณคอหอย ทั้งบริเวณที่เป็น nasopharynx และ oropharynx และ/หรือต่อมทอนซิล โรคทอนซิลอักเสบพบบ่อยที่สุดในช่วงอายุ 3-14 ปีพบน้อยในเด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 1 ปี
สาเหตุและระบาดวิทยา
:red_flag:
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ที่พบบ่อย ได้แก่adenovirus, influenza virus,parainfluenzavirus, rhinovirus, respiratory syncytial virus (RSV)
ลักษณะอาการทางคลินิก
:red_flag:
อาการที่สำคัญ คือไข้และเจ็บคอแต่ในเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถบอกอาการ ได้จะมาพบด้วยอาการน้ำลายไหลผิดปกติหรือไม่รับประทานอาหาร
ส่วนอาการอื่นๆ ที่พบร่วมได้ขึ้นกับเชื้อที่เป็นสาเหตุเช่น
ถ้าเป็นจากเชื้อไวรัส
ถ้าเป็นจากเชื้อแบคทีเรีย
1) ทอนซิลอักเสบเป็นหนอง หรือทอนซิลบวมแดงจัด
2) ต่อมน้ำหลืองบริเวณคอส่วนหน้าบวมและกดเจ็บ
3) ไข้สูง > 38 องศาเซลเซียส
4) ไม่มีอาการไอ
5) อายุ3-14 ปี
การรักษา :red_flag:
1.การรักษาตามอาการ ได้แก่
1.1 การลดไข้ในกรณีมีไข้ให้ยาลดไข้และเช็ดตัวลดไข้เช่นเดียวกับ การติดเชื้ออื่นๆ
1.2 การบรรเทาอาการเจ็บคออาจให้เป็นน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งมะนาว
การให้ยาต้านจุลชีพ
ภาวะแทรกซ้อน :red_flag:
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการลุกลามของเชื้อไปยังบริเวณใกล้เคียง (suppurative complications) ได้แก่ หูชั้นกลางอักเสบ, peritonsillar abscess(Quinsy),
ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นผลจากการเกิดปฏิกิริยาทางระบบอิมมูนทำให้ เกิดการอักเสบของอวัยวะอื่นๆ (non-suppurative complication) ได้แก่ acute glomerulonephritis, rheumatic fever และ rheumatic heart disease
1.3 ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน (Acute rhinosinusitis)
: :<3:
ไซนัสอักเสบ เป็นการอักเสบจากการติดเชื้อของเยื่อบุไซนัส ในที่นี้จะ หมายถึงไซนัสอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มักพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของ โรคหวัดซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ5-10 ของเด็กที่เป็นโรคหวัด1,2สามารถเกิดได้ ทุกกลุ่มอายุรวมทั้งในเด็กทารก
สาเหตุและระบาดวิทยา :red_flag:
การอักเสบของ maxillarysinus และ ethmoidsinusเกิดได้ตั้งแต่วัยทารก
ส่วน sphenoid sinus มีความ สำคัญทางคลินิกหลังอายุ10 ปี6
หากมีการอักเสบของ sphenoid sinus มักไม่พบเพียงแห่งเดียวแต่จะพบการอักเสบของไซนัสอื่นๆ ร่วมด้วยเป็น pansinusitis
frontal sinus พบการอักเสบได้ในช่วงวัยเรียน
โดยทั่วไปเด็กที่เป็นโรคหวัดจากเชื้อไวรัสจะมีการอักเสบเข้าไปในโพรง ไซนัสด้วยอยู่แล้ว ทำให้บางคนเรียกโรคหวัดว่าเป็น acute viral rhinosinusitis ซึ่งจะหายไปพร้อมกับโรคหวัดธรรมดา เราควรนึกถึงไซนัสอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (acute bacterial rhinosinusitis) เมื่อมีอาการของโรคหวัดเรื้อรังนานหรือรุนแรงกว่า
การตรวจร่างกาย :red_flag:
พบน้ำมูกเขียว แต่ในเด็กเล็กอาจพบว่ามีน้ำมูกใส
มักตรวจพบเสมหะขุ่นหรือลักษณะเป็นหนองที่ด้านหลังคอ (postnasal drip)
อาจมีไข้ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต คอแดง
ในเด็กโตอาจกดเจ็บบริเวณไซนัสหรือ เคาะเจ็บที่บริเวณฟันกรามบน และอาจพบมีการบวมรอบตา
การรักษา
:red_flag:
จุดมุ่งหมายหลักในการรักษาผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะไซนัสอักเสบเฉียบพลัน คือ14 การกำ จัดเชื้อก่อโรคให้หายขาดจากอาการของโรค ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ลดการบวมของเนื้อเยื่อในจมูกและโพรงไซนัส การระบายหนองจากโพรงไซนัส ได้อย่างปกติเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของโพรงไซนัส
การรักษา
:red_flag:
การรักษาประคับประคองตามอาการ
การรักษาจำเพาะ (specific treatment) ได้แก่ ยาต้านจุลชีพ
ภาวะแทรกซ้อน
:red_flag:
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดตามหลังการอักเสบของไซนัส ethmoid หรือ
frontal ได้แก่
periorbitalcellulitis ทำ ให้มีอาการไข้รอบตาบวม
ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้แก่ การติดเชื้อในเบ้าตา มีอาการตาบวม ตาโปน ไม่ สามารถกลอกตาได้ตามปกติมีฝีหนองภายในกะโหลกศีรษะ
แนวทางการป้องกันไซนัสอักเสบ (prevention and promotion)
:red_flag:
1.การป้องกันโดยการดูแลไม่ให้ติดหวัด
2.แนะนำผู้ปกครองของเด็กเล็กให้เลือกสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อนที่สะอาด และไม่แออัดเกินไป
3.ครอบครัวที่มีเด็กโตอยู่ด้วยต้องเน้นให้ล้างมือเมื่อกลับจากโรงเรียน
4.เลี่ยงควันบุหรี่ มลพิษ และสารที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้เนื่องจากมีผล ต่อเยื่อบุจมูก และโพรงไซนัส
5.ควบคุมอาการในผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาการแพ้อากาศ
6.ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ใช้ยาต้านจุลชีพเพื่อการป้องกัน เนื่องจากพบว่ามี ปัญหาเชื้อดื้อยามากขึ้น
การพยาบาล
:red_flag:
ดูแลเด็กพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัด
ดูแลเด็กให้รับประทานยาปฏิชีวนะ เพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดไซนัสอักเสบนาน 10 - 14 วัน หากตรวจพบว่าเป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง ลูกอาจรับประทานยาปฎิชีวนะ 6 - 8 สัปดาห์
ดูแลเด็กให้รับประทานยาลดบวมของเยื่อบุจมูก เพื่อลดอาการคัดจมูกและอาการบวมของเยื่อบุจมูกทำให้น้ำมูกไหลเวียนได้ดีขึ้นจากช่องจมูก
ดูแลเด็กให้รับประทานยาละลายเสมหะเพื่อลดความเหนียวของน้ำมูกและลดอาการคั่งค้างของน้ำมูกในโพรงไซนัส
1.4 โรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (Acute otitis media) :<3:
ปัจจัยเสี่ยง
:red_flag:
ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดหูชั้นกลางอักเสบ ได้แก่ ประวัติมีการเจ็บป่วย ทางระบบหายใจ มีประวัติครอบครัวป่วยเป็นหูชั้นกลางอักเสบ การเลี้ยงดูใน สถานเลี้ยงเด็กอ่อน กลุ่มที่มีภาวะกรดไหลย้อน ปากแหว่งเพดานโหว่ กลุ่มอาการ ดาวน์การใช้จุกนมปลอม รวมถึงการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีควันบุหรี่
ลักษณะอาการทางคลินิก
:red_flag:
อาการของ AOM คล้ายกับโรคหวัด ได้แก่ ไข้ไอ น้ำมูกไหล อาเจียน แต่อาการที่สำคัญ คือ การปวดหูในเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถพูดได้อาจมีดึงหู ทุบหูร่วมกับ ร้องกวน งอแงผิดปกติหรือไม่ยอมนอน ส่วนเด็กโตอาจมาด้วย อาการปวดหูเฉียบพลัน กินได้น้อย หรือปวดศีรษะ
ลักษณะอาการหูชั้นกลางอักเสบรุนแรง (severe otitis media)
:red_flag:
อาการปวดหูระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีอาการปวดหูนานมากกว่า 48 ชั่วโมง หรือมีไข้สูงมากกว่าหรือเท่ากับ 39 ํc ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดภาวะหูชั้นกลางอักเสบแบบรุนแรง ได้แก่ อายุน้อย อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีควันบุหรี่ หรือมีความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน
การรักษา7-9 การรักษา AOM ประกอบด้วย
:red_flag:
1.การรักษาตามอาการ อาการที่สำคัญ คือ อาการปวดหูโดยเฉพาะในระยะเวลา 24 ชั่วโมง แรก และเป็นอาการสำคัญที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์โดยเฉพาะในเด็กเล็ก แนะนำ ให้บรรเทาอาการปวดด้วยการใช้ยาแก้ปวด โดยจะเลือกใช้paracetamol หรือ ibuprofen ก็ได้
การรักษาจำ เพาะ ปัจจุบันพบว่าสาเหตุของการเกิด AOM ในเด็กนั้น ส่วนหนึ่งเกิด จากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งหายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านจุลชีพ นอกจากนี้ยัง มีการศึกษาว่า การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด ก็สามารถหายได้เองเช่นเดียวกัน ดังนั้นในแนวทางการรักษาในต่างประเทศ ส่วนใหญ่จึงไม่แนะนำให้มีการใช้ยาต้านจุลชีพตั้งแต่ เริ่มแรก ยกเว้นในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี
การพยาบาล แนะนำผู้ดูแลในการดูแลเด็ก
:red_flag:
เมื่อเด็กมีอาการปวดหู หูอื้อ และมีไข้ ให้รับประทานยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อบรรเทาอาการดังกล่าว แล้วจึงรีบไปพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง
ในขณะที่มีหูน้ำหนวกไหลหรือเป็นโรคหูน้ำหนวกเรื้อรัง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาที่ถูกต้องและต่อเนื่อง หมั่นใช้ไม้พันสำลีเช็ดทำความสะอาดหูให้แห้งและระวังอย่าให้น้ำเข้าหู โดยการหลีกเลี่ยงการดำน้ำหรือเล่นน้ำในสระหรือแม่น้ำลำคลอง
ป้องกันเด็กไม่ให้เป็นหวัดหรือโรคของทางเดินหายใจส่วนต้น รวมถึงหลีกเลี่ยงการไอแบบปิดปากแน่นหรือสั่งน้ำมูกแรง ๆ
ไม่ซื้อยาหยอดหูใด ๆ มาใช้เอง
ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่หยุดยาเอง แม้ว่าอาการจะทุเลาลงแล้วก็ตาม เพราะอาจทำให้การรักษาได้ผลไม่เต็มที่ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
วิธีป้องกันหูชั้นกลางอักเสบ
:red_flag:
ควรให้ทารกกินนมมารดาอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบ
หลีกเลี่ยงการใช้จุกนมปลอม เพราะจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหูชั้นกลางอักเสบประมาณ 1.6-3 เท่า
หลีกเลี่ยงการส่งเด็กไปเลี้ยงที่ศูนย์เลี้ยงเด็ก เพราะพบว่าจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดหูชั้นกลางอักเสบเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่พ่อแม่เลี้ยงเอง เนื่องจากเด็กจะติดเชื้อมาจากเพื่อน
ระมัดระวังอย่าให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน เช่น โรคหวัด ไซนัสอักเสบ
หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีควันบุหรี่ และให้งดการสูบบุหรี่ในครอบครัว โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ เพราะจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหูชั้นกลางอักเสบแก่บุตรของท่าน
ระมัดระวังอย่าให้เกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุกับหู หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนบริเวณหูและบริเวณใกล้เคียง เพราะอาจทำให้แก้วหูทะลุและฉีกขาดได้
การให้วัคซีนบางชนิดสามารถลดการเกิดหูชั้นกลางอักเสบได้ โดยวัคซีนที่นิยมให้ คือ วัคซีนป้องกันเชื้อปอดอักเสบ (Pneumococcal vaccine), วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Influenza vaccine) และการให้ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส RSV-IGIV ในกลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เป็นต้น
สำหรับการป้องกันมิให้เป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง (หูน้ำหนวกเรื้อรัง) อาจกระทำได้โดยการรีบรักษาหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันอย่างถูกต้อง
ผู้ที่เป็นหูน้ำหนวกบ่อยมากกว่า 4 ครั้งต่อปี อาจป้องกันได้โดยการรับประทานยาปฏิชีวนะในขนาดครึ่งหนึ่งของที่ใช้รักษา วันละ 1 ครั้งก่อนนอน ในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น
ทำให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ และหมั่นออกกำลังกายแบบแอโรบิก (เช่น การวิ่ง เดินเร็ว ขึ้นลงบันได ว่ายน้ำ ขี่จักรยานแบบปรับน้ำหนักความฝืดได้ เป็นต้น) อย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง
ถ้าเจ็บป่วยเป็นโรคนี้ ควรดูแลรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่าปล่อยให้เป็นเรื้อรัง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้อง
2. โรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบหายใจส่วนล่าง (LRI)
:star:
2.1 กล่องเสียงและหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (Acute laryngotracheobronchitis, viral croup)
:<3:
สาเหตุและระบาดวิทยาของโรค
:red_flag:
เชื้อที่พบเป็นสาเหตุส่วนใหญ่คือไวรัสที่พบบ่อยที่สุด คือ parainfluenza viruses
ลักษณะทางคลินิก :red_flag:
ผู้ป่วยมีอาการของโรคหวัด เช่น น้ำมูก ไอเล็กน้อย และไขต่ำๆ (บางราย อาจมีไข้สูงถึง 40 ซ) นำมาก่อนประมาณ 12-48 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะมีอาการ ไอเสียงก้อง เสียงแหบ และหายใจได้ยินเสียง stridor ซึ่งมักเกิดในช่วงหายใจเข้า อาการมักเป็นมากขึ้นในเวลากลางคืน ขณะกระสับกระส่ายหรือร้องไห้มาก
การประเมินความรุนแรงของโรค การประเมินความรุนแรงของภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน สามารถ ประเมินได้จากอาการและอาการแสดงของผู้ป่วยโดยใช้ scoring system ต่างๆ เช่น Downes score (ตารางที่ 1) Taussig score และ Westley scor
สำหรับประเทศไทยยังคงแนะนำให้ใช้ Downes score ในการประเมินและ แบ่งระดับความรุนแรงของโรคตาม croup score ออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
croup score < 4 ระดับความรุนแรงน้อย (mild croup)
croup score 4-7 ระดับความรุนแรงปานกลาง (moderate croup)
croup score > 7 ระดับความรุนแรงมาก (severe croup)
การรักษา
:red_flag:
เริ่มจากการประเมินความรุนแรงของโรคว่ารุนแรง ระดับไหน หาปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเลวลงอย่างรวดเร็ว ได้แก่ มี ความผิดปกติของทางเดินหายใจมาก่อน เคยถูกใส่ท่อช่วยหายใจ มีโรคพื้นฐานที่ ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหายใจล้มเหลว เช่น neuromuscular diseases เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อพิจารณาแนวทางในการให้การรักษา การติดตาม การพิจารณา รับไว้ในโรงพยาบาล และการเฝ้าระวัง ในส่วนของการรักษาประกอบด้วยการ รักษาทั่วไปและการใช้ยาเพื่อลดการบวมของทางเดินหายใจ ได้แก่ corticosteroids และ nebulized epinephrine
ภาวะแทรกซ้อน
:red_flag:
ที่อาจพบ ได้แก่ ภาวะพร่องออกซิเจน, ภาวะหายใจล้ม เหลว, ภาวะขาดน้ำ, bacterial tracheitis, ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema), มีลมในช่องเยื่อหุ้มปอด, หัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิต68 โดยทั่วไปโรคนี้มีอัตรา เสียชีวิตต่ำหากได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
การป้องกัน
:red_flag:
หลีก เลี่ยงไม่ให้เด็กเล็กอยู่ในที่แออัด หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มี อาการหวัดหรือติดเชื้อในระบบหายใจ
ถ้ามีสมาชิกในครอบครัวมีอาการหวัด หรือติดเชื้อในระบบหายใจควรให้ใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกและล้างมือทุกครั้งก่อน สัมผัสเด็ก
ผู้ป่วย croup ทุกรายที่รับไว้ในโรงพยาบาล นอกจาก standard precaution แล้วต้องใช้ contact precaution
ร่วมด้วย โดยเฝ้าระวังการปนเปื้อน สารคัดหลั่งจากระบบหายใจ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการล้างมือทุกครั้งที่สัมผัส ผู้ป่วย เพื่อลดการระบาดในโรงพยาบาลผ่านบุคลากรทางการแพทย์
การพยาบาล แนะนำผู้ดูแล
:red_flag:
เมื่อทราบว่าเด็กเป็น โรคครูป ให้เฝ้าดูอาการ 1-2 วันแรกอย่างใกล้ชิด เพื่อสังเกตอาการป้องกันไม่ให้ทางเดินหายใจอุดตัน
ให้เด็กดื่มน้ำมากๆ น้ำอะไรก็ได้ เช่น น้ำเปล่า น้ำส้ม นม เป็นน้ำเย็นเล็กน้อย จะช่วยบรรเทาอาการบวมของกล่องเสียง
นำอ่างน้ำร้อนมาวางไว้ในห้อง หรือใช้กาต้มน้ำที่มีไอน้ำพุ่งออกมา ให้ลูกสูดไอน้ำอุ่น หรือใช้เครื่องทำความชื้น จะช่วยลดอาการบวมของกล่องเสียง แต่ระวังอย่าให้น้ำร้อนลวกลูกน้อย
ใช้ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก หรือแอนติฮีสตามีน โดยศึกษา การใช้ยาในเด็กใช้อย่างไรให้ปลอดภัยตามวัย เพื่อลดอาการบวมของกล่องเสียง หรือใช้ น้ำอุ่นผสมมะนาวลดไข้
เมื่อไหร่ควรพาลูกไปหาหมอ
เมื่อเด็กมีไข้สูง กระสับกระส่าย หายใจเร็ว หายใจแรง หายใจลำบาก นอนไม่ได้ ต้องนั่งอยู่ตลอดเวลา
ตัวแดงเพราะพิษไข้ จนตัวเขียว มีท่าทางเหมือนหายใจหาอากาศ ถ้าไม่แน่ใจรีบพาไปหาหมอทันที
มีโรคที่มีอาการคล้ายกัน แต่เป็นโรคที่ร้ายแรงกว่ามาก คือโรคคอตีบ ถ้าแยกโรคไม่ได้ ให้รีบพาไปหาหมอ
2.2 ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบเฉียบพลัน (Acute epiglottitis)
:<3:
Acute epiglottitis เป็นการอักเสบเฉียบพลันของฝาปิดกล่องเสียงและ บริเวณรอบข้าง ได้แก่ epiglottis, aryepiglottic folds, ventricular bands และ arytenoids
สาเหตุและระบาดวิทยาของโรค :red_flag:
ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ Haemophilus influenzae type b เชื้ออื่นๆ ที่อาจ พบ ได้แก่ Haemophilus influenzae non-typeable, Haemophilus parainfluenzae, Staphylococcus aureus, Streptococcus pneumoniae หรือสามารถ พบเชื้อ Pseudomonas aeruginosa ในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง6 เชื้อไวรัสหรือ เชื้อราบางชนิด เช่น candida ก็สามารถก่อโรคได้
โรคนี้พบได้ทุกวัย แต่มักพบในเด็กก่อนวัยเรียน อายุ 2-6 ปี โดยร้อยละ 80 พบอายุน้อยกว่า 5 ปี หลังจากมีการใช้วัคซีนป้องกันเชื้อ Hib อุบัติการณ์ ในเด็กลดลงมาก แต่ยังคงมีรายงานพบผู้ป่วยที่เกิดจากเชื้ออื่นได้ โดยจะมี ลักษณะทางคลินิกแตกต่างไปบ้าง4 และมักพบในช่วงอายุที่สูงขึ้นในเด็กวัยเรียน วัยรุ่น หรือวัยทำงาน
ลักษณะทางคลินิก :red_flag:
ผู้ป่วยมักมีไข้สูงเฉียบพลัน เจ็บคอมาก กลืนลำบาก น้ำลายไหล พูดไม่ชัด กระสับกระส่าย
หลังจากนั้นจะมีอาการของทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้นตามมา อย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง ได้แก่ หายใจลำบาก บางครั้งลักษณะคล้ายถอน หายใจ หากอาการลุกลามถึงกล่องเสียงจะพบเสียงแหบร่วมด้วย
อาการหายใจ เสียงดัง (stridor) มักพบในระยะที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการรุนแรง หากพบให้ระวัง ว่าอาจมีทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างสมบูรณ์ได้ (complete airway obstruction)
การรักษา :red_flag:
การรักษาแบบประคับประคอง ได้แก่
ให้ออกซิเจนที่มีความชื้น
งดให้อาหารทางปากและพิจารณาให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
รบกวนผู้ป่วยให้น้อยที่สุด หลีกเลี่ยงการตรวจช่องคอโดยไม่จำเป็น
เตรียมท่อช่วยหายใจให้พร้อม โดยเตรียมขนาดเล็กกว่าปกติ 0.5-1 มม.
พิจารณาใส่ท่อช่วยหายใจเมื่อมีข้อบ่งชี้ ทำในห้องผ่าตัดที่มีทีม วิสัญญีแพทย์ และอุปกรณ์สำหรับเจาะคอให้พร้อมในกรณีที่ใส่ท่อ ช่วยหายใจไม่สำเร็จ
การรักษาแบบจำเพาะ คือ
การให้ยาต้านจุลชีพ ควรให้ยาที่เหมาะ สม และรวดเร็วที่สุด โดยพิจารณาให้ยากลุ่ม cephalosporin เช่น cefuroxime (50-200 มก./กก./วัน), ceftriaxone (100 มก./กก./วัน), cefotaxime (100-150 มก./กก./วัน) เป็นต้น
ยังไม่มีการศึกษาชัดเจนถึงระยะเวลาในการให้ยา แต่ใน ทางปฏิบัติควรให้ยาเข้าหลอดเลือดดำจนผู้ป่วยอาการดีขึ้น ไม่มีไข้ หลังจากนั้น 48 ชั่วโมงจึงเปลี่ยนเป็นยาต้านจุลชีพชนิดกินต่อเนื่องจนครบ 7-10 วัน
ภาวะแทรกซ้อน
:red_flag:
ภาวะแทรกซ้อนที่พบในระบบหายใจ ได้แก่ ปอดอักเสบ, ปอด
แฟบ, pulmonary edema, ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน ในรายที่อาการรุนแรงต้องใส่ ท่อช่วยหายใจอาจพบภาวะ laryngeal edema หรือ subglottic granulation หลังถอดท่อช่วยหายใจ
2.3 หลอดลมคอติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial tracheitis) :<3:
หลอดคอประกอบด้วยกระดูกอ่อนหุ้มด้วยเนื้อเยื่อ ส่วนที่แคบที่สุดใน เด็กอายุน้อยกว่า 10 ปี คือ บริเวณกระดูกอ่อน cricoid ใต้กล่องเสียง เมื่อมีการ ติดเชื้อเยื่อบุที่บวมอักเสบร่วมกับเสมหำให้ทางเดินหายใจตีบแคบลง เพิ่ม แรงต้านทานของการไหลของอากาศ อาจเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน อย่างรุนแรงได้
สาเหตุและระบาดวิทยาของโรค
:red_flag:
เชื้อก่อโรคที่พบบ่อยที่สุด คือ Staphylococcus aureus1-5 ทั้งที่ดื้อและ ไม่ดื้อต่อ methicillin (MRSA)
เชื้ออื่นๆ ได้แก่ Streptococcus pneumoniae, group A streptococcus (Streptococcuspyogenes, GAS), alpha-hemolytic streptococci, Haemophillus influenzae, Moraxella catarrhalis และเชื้อ ไม่พึ่งออกซิเจน (anaerobe)
ความรุนแรงขึ้นกับเชื้อไวรัสที่เริ่มและแบคทีเรียที่แทรกซ้อนตามมาลักษณะทางพยาธิวิทยาในผู้ป่วยที่เสียชีวิตพบการอุดกั้น ทางเดินหายใจอย่างรุนแรงบริเวณใต้กล่องเสียง เนื่องจากการบวมอักเสบ เนื้อ ตาย และเป็นหนอง
ลักษณะทางคลินิก :red_flag:
ผู้ป่วยมักจะเริ่มด้วยอาการ croup ไอเสียงก้อง เสียงแหบ ต่อมามีไข้สูง ไอ มี
เสมหะจำนวนมากหายใจลำบาก ตรวจพบ stridor ช่วงหายใจเข้า หรือทั้งเข้า และออก อาจเกิดขึ้นทันที หรือหลังจากอาการ croup ดีขึ้นแล้ว ส่วนใหญ่จะนอน หงายได้ ไม่มีน้ำลายไหล และมักไม่มีปัญหากลืนลำบากเหมือนที่พบในผู้ป่วยฝา ปิดกล่องเสียงอักเสบ
การรักษา
:red_flag:
การรักษาที่สำคัญมากและต้องพิจารณาเร่งด่วน คือ การดูแลทางเดิน หายใจให้เปิดโล่ง
ผู้ป่วยร้อยละ 50-90 จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเจาะคอ หลังจากใส่ท่อช่วยหายใจส่วนใหญ่จำเป็นต้องดูดเสมหะบ่อย
พิจารณาถอดท่อช่วยหายใจเมื่ออาการดีขึ้นหรือเสมหะลดน้อยลง ร่วมกับการ ทดสอบลมรั่วรอบท่อ (air leak)
ไม่ควรให้ nebulized epinephrine และ steroids เนื่องจาก ไม่ได้ผลในการรักษา
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ดีขึ้นภายใน 2-3 วันหลังได้รับยา พิจารณาเปลี่ยนยาถ้าไม่ดีขึ้นในระยะเวลาดังกล่าว ควรให้ยา นานอย่างน้อย 10 วัน
การเลือกใช้ยาต้านจุลชีพขึ้นกับเชื้อที่สงสัย ได้แก่ cloxacillin, vancomycin หรือ clindamycin ร่วมกับ third-generation cephalosporin หรือ ampicillin/sulbactam
ควรให้ออกซิเจนและสารน้ำให้เพียงพอ ติดตาม อาการใกล้ชิด
2.4 หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (Acute bronchitis)
: :<3:
หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (acute bronchitis หรือ acute tracheobronchitis) เป็นการอักเสบของทางเดินหายใจส่วนล่างตั้งแต่ distal trachea ลงไป จนถึง medium และ large-sized bronchi
สาเหตุและระบาดวิทยาของโรค
:red_flag:
โรคนี้พบได้ทุกอายุและพบได้ตลอดปี เชื้อที่เป็นสาเหตุเปลี่ยนแปลงตาม อายุของผู้ป่วยและฤดูกาล
โดยอุบัติการณ์สูงสุดจะพบในฤดูหนาว เพศชาย มากกว่าเพศหญิง2 ในช่วงอายุ 6 ปีแรก
เชื้อไวรัส respiratory syncytial virus (RSV) และ parainfluenza virus type เป็นสาเหตุที่พบบ่อย
ลักษณะทางคลินิก
:red_flag:
ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายหวัด ได้แก่ มีไข้ หรืออาจไม่มีไข้ก็ได้ มีน้ำมูก คัดจมูกนำมาก่อนในช่วง 3-5 วัน
ตามมาด้วยอาการของหลอดลม โดยมีอาการ ไอเป็นอาการที่สำคัญที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการไอเฉียบพลัน
การรักษา
:red_flag:
การรักษาตามอาการ
การดื่มน้ำมากๆ อาจให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว เพื่อทำให้ชุ่มคอและ บรรเทาอาการไอ-
ไม่แนะนำให้ใช้ยากด อาการไอในผู้ป่วยเด็ก (cough suppression) เพราะทำให้ เกิดอาการง่วงซึม เสมหะแห้งเหนียวมากขึ้น และอาจเป็นอันตราย ถึงขั้นเสียชีวิตได้
การรักษาประคับประคอง
การทำกายภาพบำบัดทรวงอกเพื่อระบายเสมหะ แนะนำให้ทำใน ผู้ป่วยที่ไม่สามารถไอเอาเสมหะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีปัญหาทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
การรักษาจำเพาะ
เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่ของหลอดลมอักเสบเฉียบพลันเกิดจาก ไวรัส ดังนั้นการให้ยาต้านจุลชีพจึงไม่มีประโยชน์ ยกเว้น ในรายที่มีลักษณะบ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย ควรให้ยาต้าน จุลชีพที่ครอบคลุมเชื้อที่น่าจะเป็นสาเหตุ
การพยาบาล แนะนำผู้ดูแล ดูแลเด็ก
:red_flag:
พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ เพราะน้ำเป็นยาละลายเสมหะที่ดีที่สุด
หลีกเลี่ยง ควัน, กลิ่นฉุน, ควันบุหรี่, สารเคมี, ฝุ่น, สารระคายเคืองต่างๆ ซึ่งจะทำให้การอักเสบในหลอดลมเป็นมากขึ้น
ควรพยายามหลีกเลี่ยงอากาศเย็น และแห้ง ซึ่งจะทำให้ไอมากขึ้น โดยเฉพาะแอร์ พัดลมเป่า การดื่มหรืออาบน้ำเย็น ถ้าต้องการเปิดแอร์ ควรตั้งอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศให้สูงกว่า 25 องศาเซลเซียส ในกรณีที่ใช้พัดลมไม่ควรเปิดเบอร์แรงสุด และควรให้พัดลมส่ายไปมา ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศจากเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมโดยตรง
ควรให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายขณะนอนให้เพียงพอ
ดูแลรักษาตามอาการ เช่น ถ้ามีไข้ อาจรับประทานยาลดไข้ [paracetamol หรือ non-steroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs)], ถ้ามีอาการไอมาก จนรบกวนการนอน หรือเป็นที่น่ารำคาญ อาจรับประทานยาลดหรือระงับอาการไอ (cough suppressants or antitussives เช่น dextromethorphan, codeine) หรือยาขยายหลอดลม (bronchodilator) , ถ้ามีเสมหะมาก อาจรับประทานยาขับเสมหะ (expectorants) หรือ ยาละลายเสมหะ (mucolytics)
2.5 ปอดบวม (Pneumonia)
:<3:
ปอดบวม หรือปอดอักเสบ (pneumonia) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของ เนื้อปอดบริเวณหลอดลมฝอยส่วนปลาย (terminal และ respiratory bronchiole) ถุงลม (alveoli) และเนื้อเยื่อรอบถุงลม (interstitium) ซึ่งมีสาเหตุจากการติดเชื้อ
สาเหตุและระบาดวิทยาของโรค
:red_flag:
เชื้อที่พบเป็นสาเหตุบ่อยของโรคปอดบวมในเด็กแตกต่างกันในแต่ละ อายุ ได้แก่ ไวรัส ซึ่งเป็นสาเหตุร้อยละ 60-70 ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ไวรัส ที่พบบ่อยได้แก่ respiratory syncytial virus, influenza, parainfluenza และ human metapneumoviru
ลักษณะทางคลินิก
:red_flag:
อาการสำคัญ คือ ไข้ ไอ หอบ ลักษณะทางคลินิกที่ตรวจพบ ได้แก่
มีไข้ ยกเว้นปอดบวมที่เกิดจากเชื้อ C. trachomatis ก็อาจไม่มีไข้ได้
หายใจเร็วกว่าปกติตามเกณฑ์อายุขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็น การตรวจที่มีความไว (sensitivity) สูงในการวินิจฉัยโรคปอดบวม โดยใช้เกณฑ์ ดังนี้
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
:red_flag:
1.การตรวจนับจำนวนเม็ดเลือด (CBC)
การตรวจ acute phase reactants
ภาพรังสีทรวงอก
การตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย
การตรวจหาเชื้อ atypical bacteria
การตรวจหาเชื้อไวรัส
การทดสอบทูเบอร์คูลิน (tuberculin test) หรือตรวจ interferon gamma ในเลือดมีข้อบ่งชี้ในผู้ป่วยที่สงสัยสาเหตุจากเชื้อวัณโรค
การรักษา
:red_flag:
การรักษาแบบประคับประคอง เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยหาย จากโรคโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
การรักษาตามอาการ
การรักษาจำเพาะ
ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของปอดบวม
:red_flag:
น้ำหรือหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด (parapneumonic effusion or empyema thoracis)
ฝีในปอด (lung abscess)
การป้องกัน
:red_flag:
เด็กควรได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในระบบหายใจ ได้แก่
conjugated pneumococcal vaccine, Hib vaccine และวัคซีนป้องกันโรค ไอกรน
เด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี
การปฏิบัติตัวอื่นๆ เช่นเดียวกับการป้องกันโรคติดเชื้อในระบบหายใจ อื่นๆ โดยทั่วไป
พ่อ แม่ และผู้เลี้ยงดูเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ควรได้รับวัคซีน ไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันโรคไอกรน
2.6 น้ำในเยื่อหุ้มปอดจากการติดเชื้อ (Parapneumonic effusion)
:<3:
สาเหตุและระบาดวิทยาของโรค
:red_flag:
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococcus pneumoniae, Staphylococcus aureus, Haemophilus influenzae, Streptococcus pyogenes, Mycoplasma pneumoniae เป็นต้น
ลักษณะทางคลินิก
:red_flag:
ประวัติ มีการติดเชื้อที่ปอดนำมาก่อน มีไข้ ไอ หอบเหนื่อย ถ้ามีน้ำใน เยื่อหุ้มปอดปริมาณมากอาจทำให้เจ็บหน้าอกขณะหายใจเข้าลึกๆ แน่นหน้าอก นอนราบไม่ได้ หายใจเร็ว หอบเหนื่อย โดยเฉพาะการติดเชื้อที่ปอดที่ได้รับการ รักษาด้วยยาต้านจุลชีพที่เหมาะสมนานกว่า 48-72 ชั่วโมงแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น
การตรวจร่างกาย ทรวงอกด้านที่มีน้ำในเยื่อหุ้มปอดเล็กน้อยอาจได้ยิน เสียง pleural rub เมื่อน้ำมีปริมาณมากขึ้นจะได้ยินเสียงหายใจเข้าลดลง tactile และ vocal fremitus ลดลงเคาะทึบทรวงอกโป่งนูนหลอดลมและหัวใจถูกดันไป ด้านตรงข้าม
การรักษา
:red_flag:
การรักษาแบบประคับประคอง
ยาต้านจุลชีพ
การเจาะระบายน้ำในเยื่อหุ้มปอด
การใส่ท่อระบายน้ำในเยื่อหุ้มปอด
การใส่ยาละลายไฟบริน (fibrinolytic agent) ในเยื่อหุ้มปอด
การผ่าตัด
การนัดติดตามอาการ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
:red_flag:
ภาพรังสีทรวงอก (chest X-ray)
อัลตราซาวด์ทรวงอก (chest ultrasonograpy)
เอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ทรวงอก (chest computed tomography, CT chest)
การเพาะเชื้อในเลือด (blood culture)
การย้อมสีแกรม (Gram stain)
การวิเคราะห์น้ำในเยื่อหุ้มปอด (pleural fluid analysis)
การตรวจทาง serology
2.7 โรคหอบหืดในเด็ก(Asthma)
:<3:
โรคหืดเป็นโรคที่มีคํานิยามอันประกอบด้วย :red_flag:
Airway inflammation
Increased airway responsiveness to a variety of stimuli
Reversible or partial reversible airway obstruction
เกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคหืด มีดังนี้
:red_flag:
1.มีภาวะการอุดกั้นของหลอดลม
2.ภาวะการอุดกั้นของหลอดลมดังกล่าวอาจจะหายไปได้หรือดีขึ้นเอง หรือหลังจากได้รับการ รักษา (reversible airway obstruction)
3.ได้วินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของการอุดกั้นของทางเดินระบบหายใจอื่นๆ
การรักษา
:red_flag:
การรักษาโรคหืดระยะยาว
การควบคุมสิ่งกระตุ้นให้เกิดการแพ้
ให้ยาเพื่อรักษาภาวะหลอดลมหดเกร็ง
กายภาพบำบัดทรวงอก เช่น การฝึกการหายใจ การไออย่างมีประสิทธิภาพ
การออกกำลังกาย
3. เสียงหวีด (Wheeze)
:star:
เสียงหวีด (wheeze) เป็นเสียง high-pitches, soft musical sound พบ ได้บ่อยในเด็กทุกช่วงอายุ โดยเกิดจากลมหายใจซึ่งผ่านทางเดินหายใจใน ช่องทรวงอก (intrathoracic airway) ที่แคบลง ทำให้ลมที่ผ่าน มีความเร็วสูง กว่าปกติ (turbulent flow) เกิดเป็นเสียงหวีด ถ้าการอุดกั้นเกิดที่ทางเดินหายใจ ขนาดใหญ่ จะทำให้เกิดเสียงหวีดความถี่เดียวในทุกบริเวณของทรวงอก เรียก ว่า monophonic (homophonic) wheeze แต่หากเกิดการอุดกั้นที่ทางเดิน หายใจขนาดกลางและขนาดเล็ก เสียงหวีดจะมีหลายความถี่เรียกว่า polyphonic (heterophonic) wheeze อุบัติการณ์ทั่วโลก พบว่าประมาณร้อยละ 50 ของ ประชากรเด็กที่มีเสียงหวีดครั้งแรกจะเกิดภายในอายุ 6 ปี และ 1 ใน 3 ของกลุ่ม ดังกล่าวจะมี recurrent wheeze
3.1หลอดลมฝอยอักเสบเฉียบพลัน (Acute bronchiolitis) :<3:
หลอดลมฝอยอักเสบเฉียบพลัน (acute bronchiolitis) เป็นโรคที่เกิดจาก การติดเชื้อ ทำให้มีการอักเสบของหลอดลมฝอย (bronchiole) เกิดการบวม และหลุดลอกของเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ ส่งผลให้การระบายเสมหะไม่มี ประสิทธิภาพ ร่วมกับมีการสร้างเสมหะเพิ่มมากขึ้น เกิดการอุดกั้นของทางเดิน หายใจส่วนล่าง มักเกิดในช่วงอายุ 1-2 ปีแรก พบบ่อยในเพศชาย มีความชุกใน ฤดูฝนและหนาว
สาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เชื้อที่พบบ่อยที่สุด คือ respiratory syncytial virus (RSV) รองลงมา ได้แก่ human metapneumovirus (hMPV), influenza virus, rhinovirus, adenovirus และ parainfluenza virus พบการ ติดเชื้อไวรัสหลายชนิดร่วมกันได้ร้อยละ 10-30 ของเด็กเล็กที่มีอาการรุนแรง จนต้องรับไว้ในโรงพยาบาล โดยมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรงและภาวะ แทรกซ้อน อาทิ ภาวะหยุดหายใจ และหายใจล้มเหลว
การรักษา
:red_flag:
การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของผู้ป่วย ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง การ รักษาที่สำคัญ คือ การรักษาแบบประคับประคอง เช่น การให้สารน้ำและอาหาร อย่างเหมาะสม การดูดน้ำมูกแบบนุ่มนวล และการให้ออกซิเจนเมื่อมีข้อบ่งชี้
ภาวะแทรกซ้อนในระยะแรก
:red_flag:
การหยุดหายใจ
ภาวะหายใจล้มเหลว
Syndrome of inappropriate antidiuretic hormone (SIADH)
ภาวะปอดแฟบ
ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
การป้องกัน
:red_flag:
การป้องกันการติดเชื้อ RSV ในโรงพยาบาล
ก่อนและหลังการสัมผัสผู้ป่วย การสัมผัสสิ่งของของผู้ป่วยและภายหลังการ ถอดถุงมือ ควรล้างมือด้วย alcohol-base hand sanitizer หรือ สบู่และน้ำ ซึ่งมี ประสิทธิภาพในการลดการกระจายของเชื้อ RSV และช่วยป้องกันการติดเชื้อใน สถานพยาบาล (nosocomial infection) การใส่ถุงมือและเสื้อกาวน์ช่วย ลดการแพร่กระจายของเชื้อ
การป้องกันการติดเชื้อ RSV ในผู้ป่วยเด็กทั่วไป
ควรให้คำแนะนำผู้ปกครองให้เด็กหลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่ ส่งเสริมให้เด็กดื่มนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน เพื่อลดความเจ็บป่วยจากการติดเชื้อ ระบบทางเดินหายใจ
3.2 เสียงหวีดที่เกิดร่วมกับการติดเชื้อไวรัส (Viral induced wheeze)
:<3:
เสียงหวีดเฉียบพลันที่เกิดร่วมกับการติดเชื้อไวรัสของทางเดินหายใจ (viral induced wheeze) หรือเดิมเรียกว่า wheezing associated respiratory illness; WARI) พบได้บ่อยในเด็กโดยเฉพาะเด็กเล็กอายุไม่เกิน 5 ปี เนื่องจากทางเดิน หายใจยังมีขนาดเล็กจึงมีอาการแสดงของการตีบตันได้ง่าย และ ยังเป็นช่วงอายุ ที่มีความถี่ของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนสูงสุด
สาเหตุ
:red_flag:
Intraluminal airway obstruction การเกิดการอุดกั้นของทางเดิน หายใจขนาดเล็ก จากเสมหะและสารคัดหลั่งของทางเดินหายใจ
Intramural airway obstruction เกิดจากการบวมของเยื่อบุทาง เดินหายใจ เมื่อมีการติดเชื้อโดยเฉพาะเชื้อไวรัส ทำให้เซลล์มีปฏิกิริยาอักเสบ (inflammation) ส่งผลให้พื้นทีตัดขวางของทางเดินหายใจเล็กลงอย่างมากจนเกิด เสียงหวีด
Bronchospasm การติดเชื้อบางชนิดกระตุ้นให้เกิดการหดเกร็งของ กล้ามเนื้อหลอดลม (bronchial smooth muscle) จากภาวะหลอดลมไวเกิน (bronchial hyper-responsiveness)
แนวทางการรักษาผู้ป่วย viral induced wheezeระยะเฉียบพลัน
:red_flag:
1) การพิจารณารับไว้ในโรงพยาบาล เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้
อาการหรืออาการแสดงที่รุนแรง ได้แก่ ภาวะซึม, พูดเป็นคำๆ, ระดับออกซิเจนแรกรับต่ำกว่าร้อยละ 92 หรือ ฟังเสียงปอดได้เบา หรือไม่ได้ยิน
อาการไม่ดีขึ้นหรือยังหายใจเร็วหลังจากพ่นยาขยายหลอดลม 1-2 ครั้ง
มีภาวะขาดน้ำชนิดปานกลางรุนแรงร่วมด้วย โดยเฉพาะเด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 2 ปี
2) ออกซิเจน แนะนำให้ออกซิเจน เพื่อรักษาระดับออกซิเจนให้ได้ ร้อยละ 95 ขึ้นไป
3) ยาขยายหลอดลม
4) สเตียรอยด์(systemic corticosteroids) พิจารณาให้เฉพาะใน รายที่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลและมีอาการรุนแรง
Nursing Diagnosis :red_flag:
การแลกเปลี่ยนก๊าซบกพร่องเนื่องจากมีการหดเกร็งของหลอดลม การบวมของหลอดลมหรือมีการสร้างเสมหะมากขึ้น
อุณหภูมิร่างกายสูงเนื่องจากมีการติดเชื้อ หรือภาวะขาดน้ำ
เสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำในระบบหายใจ
ความสามารถในการปฏิบัติกิจกรรมลดลง เนื่องจากมีความไม่สมดุลระหว่าง O2 supply และ O2 demand
มีโอกาสขาดสารน้ำและขาดสมดุลของ electrolyte เนื่องจากมีการสูญเสียน้ำเพิ่มขึ้นจากภาวะหายใจเร็ว เหงื่อออกมาก และได้รับสารน้ำลดลงจากอาการหายใจลำบาก
เสี่ยงต่อภาวะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เนื่องจากมีอาการหอบเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
เด็กมีความกลัว วิตกกังวล เนื่องจากภาวะหายใจลำบากและต้องอยู่โรงพยาบาล
ครอบครัวอาจรู้สึกกลัวหรือวิตกกังวล เนื่องจากอาการหายใจลำบากของเด็กและการรักษาที่ได้รับ
4. การส่งเสริมประสิทธิภาพการหายใจในเด็ก : การทำกายภาพบำบัดทรวงอก :star:
หลักการทั่วไป :<3:
การจัดท่าเพื่ออาศัยแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้เสมหะไหลออกจากหลอดลมเล็กส่วนปลายเข้าสู่หลอดลมใหญ่ตรงกลาง
การเคาะ ใช้อุ้งมือ ไม่ควรใช้ฝ่ามือ ควรทำมือให้เป็นลักษณะคุ้ม ชิดกัน ที่เรียกว่า Cupped Hand
ใช้ผ้ารองบนส่วนที่จะเคาะ
การเคาะแต่ละท่าควรใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 1-3 นาที หรือนานกว่านั้นถ้ายังมีเสียงเสมหะมาก
ขณะเคาะหากเด็กไอ ควรใช้การสั่นสะเทือนช่วย ในระหว่างที่กำลังไอหรือช่วงที่เด็กหายใจออก
ฝึกการไอให้มีประสิทธิภาพ (ทำได้เฉพาะเด็กที่รู้เรื่อง สามารถเข้าใจและทำตามคำอธิบายได้) ฝึกได้โดยให้เด็กหายใจเข้าเต็มที่ช้า ๆ กลั้นไว้สักครู่ และไอออกมาโดยเร็วและแรง
ควรทำการระบายเสมหะ ก่อนมื้อนมหรืออาหาร หรือขณะท้องว่าง หรืออย่างน้อย 2 ชั่วโมงหลังอาหาร เพื่อป้องกันการสำลักและอาเจียน
การจัดท่าเคาะปอด :<3:
ท่าที่ 1
ปอดกลีบซ้ายบนส่วนยอด จัดให้เด็กอยู่ในท่านั่งเอนตัวมาข้างหลังประมาณ 30°เคาะบริเวณด้านบน เหนือทรวงอกด้านซ้าย ระหว่างกระดูกไหปลาร้าและกระดูกสะบัก
ท่าที่ 2
ปอดกลีบซ้ายบนด้านหลัง จัดท่าให้เด็กนั่งคร่อมตัวมาทางด้านหน้าเล็กน้อย (30°) บนแขนของผู้ให้การบำบัด เคาะบริเวณด้านหลังตอนบนเหนือกระดูกสะบัก ระหว่างกระดูกต้นคอและหัวไหล่
ท่าที่ 3
ปอดกลีบซ้ายบนด้านหน้า จัดท่านอนหงายราบ เคาะบริเวณเหนือราวนมต่ำจากกระดูกไหปลาร้าเล็กน้อย
ท่าที่ 4
ปอดกลีบซ้ายส่วนกลาง จัดท่าให้ศีรษะต่ำลงประมาณ 15° และตะแคงด้านซ้ายขึ้นมาจากแนวราบ และเคาะบริเวณราวนมด้านซ้าย
ท่าที่ 5
ปอดกลีบซ้ายล่างส่วนชายปอดด้านหน้า จัดให้เด็กนอนตะแคงกึ่งคว่ำหน้า ศีรษะต่ำ 30°ประคองทรวงอกบริเวณชายโครงด้านซ้ายหงายขึ้นมา เล็กน้อยเคาะบริเวณเหนือชายโครงด้านข้างตอนหน้าต่ำจากราวนมลงมาเล็กน้อย
ท่าที่ 6
ปอดกลีบซ้ายล่างส่วนชายปอดด้านข้าง จัดท่าศีรษะต่ำ 30o นอนตะแคงเกือบคว่ำเคาะบริเวณด้านข้างเหนือชายโครงระดับเดียวกับท่าที่ 5 ใต้ต่อรักแร้ของเด็ก
ท่าที่ 7
ปอดกลีบซ้ายล่างส่วนหลัง จัดท่าศีรษะต่ำ 30°นอนคว่ำ เคาะบริเวณด้านหลังต่ำจากกระดูกสะบักลงมาในระดับเดียวกับชายโครงด้านหน้า
5. การพยาบาลเด็กป่วยที่ได้รับออกซิเจน(Oxygen therapy)
:star:
การรักษาด้วยออกซิเจน (oxygen therapy) คือ การให้ออกซิเจนที่มีความเข้มข้นสูงกว่าความเข้มข้นปกติ ในบรรยากาศ เพื่อรักษาและป้ องกันภาวะพร่องออกซิเจน (hypoxia) แบ่งได้เป็ น 2 ลักษณะ คือ
การให้ในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล (Acute care setting)
ผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องออกซิเจน (PaO2 ในเลือด < 60 มม.ปรอท หรือ SpO2 < 90% หรือทำรกที่มี PaO2 ในเลือด < 50 มม.ปรอท หรือ SpO2 < 88% ขณะหายใจในอากาศธรรมดาหรือ room air)
ผู้ป่วยที่สงสัยว่าอำจมีภาวะพร่องออกซิเจนแบบเฉียบพลัน
ผู้ป่วยหลังการดมยาสลบ โดยให้ในระยะเวลาสั้นๆ
ผู้ป่วยที่มีลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอด (pneumothorax)
ภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียง
:!:
1.ผลข้างเคียงของการให้ออกซิเจน
การให้ออกซิเจนที่มีควำมเข้มข้นสูง > 50% อาจทำให้เกิด absorptive atelectasis, oxygen toxicity และลดการทำงานของ cilia และเม็ดเลือดขาวได้
ในผู้ป่วยที่มีคาร์บอนไดออกไซด์คั่งอยู่นานๆ การแก้ภาวะ hypoxemia อาจกดการหายใจของ ผู้ป่วยได้
-ในทำรกเกิดก่อนกำหนด ระดับ PaO2 ที่สูงกว่า 80 มม.ปรอท อำจทำให้เกิด retinopathy of prematurity
การให้ออกซิเจนต้องระมัดระวังในผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษกลุ่ม paraquat หรือเคยได้รับยาในกลุ่ม bleomycin
ในทารกที่เป็น ductus-dependent heart lesion การเพิ่มระดับ PaO2อาจทำให้ ductus arteriosus ปิดได้ –
ผลข้างเคียงจากแหล่งกำเนิดออกซิเจน อาจเกิดการระเบิดหรือติดไฟได้
ผลข้างเคียงจำกอุปกรณ์ที่ให้ ขึ้นกับชนิดของอุปกรณ์ที่ให้ดังกล่าวข้างต้น
การประเมินและติดตามผู้ป่วย
:!:
ปรับปริมาณออกซิเจนให้เหมาะสมกับผู้ป่วยโดยติดตามอาการทางคลินิกหรือใช้เครื่อง pulse oximeter ร่วมด้วย
กรณีเจ็บป่วยแบบเฉียบพลัน ควรให้ออกซิเจนเพื่อรักษาระดับค่ำความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด แดง (SpO2 ) ให้อยู่ระหว่าง 94%-98% สำหรับผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรังที่มีแนวโน้มจะเกิด hypercapnic respiratory failure ค่ำ SpO2 ควรอยู่ระหว่าง 88%-92%
การให้ที่บ้าน (Home oxygen therapy)
ผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องออกซิเจน (SpO2 <90% ขณะหายใจในอากาศธรรมดา) โดยไม่ได้มีสาเหตุจาก cyanotic heart disease
ในผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีภาวะพร่องออกซิเจนขณะพัก แต่มีภาวะพร่องออกซิเจนเฉพาะเวลาที่มีกิจกรรมบางอย่าง เช่น ขณะหลับ ออกกำลังกาย ควรให้ออกซิเจนเฉพาะเวลาที่มีกิจกรรมดังกล่าว
การประเมินและติดตามผู้ป่วย
:!:
1.การเตรียมผู้ป่วย
ควรประเมินผู้ป่วยก่อนกลับบ้านว่าควรได้รับปริมาณออกซิเจนน้อยที่สุดเท่าใดจึงจะประหยัดและ เพียงพอสำหรับรักษาให้ระดับออกซิเจนในเลือดของผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
โดยการติดตามวัดค่า SpO2 ด้วยเครื่อง pulse oximeter อย่างต่อเนื่องในผู้ป่วยที่ให้ออกซิเจนทาง nasal cannula อย่างน้อย 6-12 ชั่วโมง/วันทั้งในขณะหลับ ขณะตื่น ขณะร้องไห้ ขณะดูดนม และขณะออกกำลังกาย พร้อมกับการปรับอัตรา การไหลของออกซิเจนเพื่อให้ได้ค่ำ SpO2 ที่เหมาะสม
โดยควรให้ผู้ป่วยมีค่า SpO2 มากกว่าหรือเท่ากับ 92 % ตลอดเวลา โดยเฉพาะกลุ่มทำรกเกิดก่อนกำหนดควรรักษาระดับ SpO2 ที่ระหว่าง 92-94 %
การเตรียมครอบครัวและผู้ดูแลผู้ป่วย
ผู้ดูแลผู้ป่วยควรได้รับการฝึกฝนทักษะการใช้และดูแลเครื่องผลิตออกซิเจนและถังออกซิเจน วิธีการต่อ เครื่องทำความชื้น, nasal cannula และการปรับ flow meter รวมถึงการทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ สายต่อ และ nasal cannula
นอกจากนี้ ผู้ดูแลต้องฝึกทักษะการสังเกตเมื่ออุปกรณ์เกิดขัดข้องในกรณีต่างๆที่สำคัญ ก่อนกลับบ้าน เช่น สาย nasal cannula หลุดหรืออุดตัน, ถังออกซิเจนหมด หรือวาล์วปิด ผู้ดูแลจำเป็นจะต้อง มีความสามารถในการประเมินอาการของผู้ป่วย โดยเฉพาะการสังเกตลักษณะสีผิวที่แสดงถึงภาวะการขาด ออกซิเจน และสามารถปรับออกซิเจนตามความเหมาะสมกับสภาวะที่เด็กต้องการได้
การติดตามผู้ป่วย
ภายหลังจากจำหน่ายผู้ป่วยกลับบ้านแล้ว ทีมบุคลากรทางการแพทย์ควรมีการติดตามประเมินผลหลัง กลับบ้านโดยการเยี่ยมบ้านและการติดต่อทางโทรศัพท์ แพทย์ควรนัดผู้ป่วยกลับมาตรวจที่โรงพยาบาลตาม ความจำเป็น เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วยมากขึ้น และสามารถขอคำแนะนำ ในการดูแลผู้ป่วยได้สะดวกขึ้น
การลดออกซิเจน
เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้น สามารถลดปริมาณการให้ออกซิเจนได้ โดยการติดตามระดับ SpO2 และอัตรา การเต้นของหัวใจ ให้ระดับ SpO2 ≥ 92% ตลอดเวลาและอัตราการเต้นของหัวใจไม่เร็วขึ้นขณะลดออกซิเจน
โดยทั่วไป จะลดปริมาณออกซิเจนที่ให้แก่ผู้ป่วยในเวลากลางวันก่อน ถ้ำผู้ป่วยอาการดี คงที่จึงลดปริมาณออกซิเจนที่ให้ขณะหลับ ควรติดตามค่า SpO2ขณะหลับอย่างต่อเนื่องตลอดคืน เพื่อให้ มั่นใจว่าสามารถหยุดการใช้ออกซิเจนขณะหลับได้จริง ถ้าผู้ป่วยมีน้ำหนักลดลงโดยหาสาเหตุอื่นไม่ได้ ควรพิจารณาให้ออกซิเจนกลับเข้าไปใหม่
6.การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการป้องกันและการดูแลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจที่บ้าน :star:
การสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับโรคและการปฏิบัติในการดูแลเด็กเป็นทักษะที่สำคัญ
เนื่องจากพยาบาลเป็นผู้ที่อยู่กับ ผู้ป่วยเป็นส่วนใหญ่ และเป็นผู้ที่ให้เวลากับการอธิบาย และแจ้งข้อมูลต่างๆ แก่ผู้ปกครอง ดังนั้น ข้อมูลที่พยาบาล ควรสื่อสารและทำความเข้าใจกับผู้ดูแล ประกอบด้วย
1.การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินโรค การดูแลรักษาทั่วไป พยาบาลควรแนะนำและสอนวิธีการปฏิบัติ ที่ถูกต้องให้กับผู้ดูแล เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ดูแลได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติการดูแลเด็กได้อย่างถูกต้อง
2.การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรับประทานยาตามแผนการรักษา
การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
1) หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในที่ชุมชน ที่มีคนจำนวนมาก เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่เด็กจะได้รับเชื้อจากบุคคลอื่นได้
2) หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลที่ป่วยด้วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
3) หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรค ได้แก่ ฝุ่นละออง ควัน และควันบุหรี่
4.การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษา
ให้คำแนะนำในการดูแลให้ออกซิเจนอย่างถูกต้องเหมาะสม
การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจรักษาตามนัด
6.ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ
1) สอนและแนะนำวิธีการการล้างมือ
2) การป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง สิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงคือ การจัดการกับอาการในเบื้องต้นเมื่อมีอาการกลับเป็นซ้ำ
3) แนะนำการออกกำลังที่เหมาะสม
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
อายุ < 2 เดือน หายใจเร็ว ≥ 60 ครั้ง/นาที
อายุ 2 เดือน-1 ปี หายใจเร็ว ≥ 50 ครั้ง/นาที
อายุ 1-5 ปี หายใจเร็ว ≥ 40 ครั้ง/นาที
อายุ > 5 ปี หายใจเร็ว ≥ 30 ครั้ง/นาที