Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต
ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต
ความหมาย ค่าความดันโลหิตซิสโตมาติกตั้งแต่ 140มิลลิเมตรปรอทและค่าไดแอสโซลิกตั้งแต่ 90 มิลลิเมตรปรอท
สาเหตุ
Acute or chronic renal disease
Exacerbation of chronic hypertension
การหยุดยาลดความดันโลหิตทันที
การใช้ยาบางชนิดที่มีผลทําให้ความดันโลหิตสูง
อาการอยู่กับ vascular injury และend organ damage แบ่งตามระบบต่างๆ
กลุ่มอาการโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน (Acute cardiovascular syndromes)
กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)
ภาวะเลือดเซาะในผนังหลอดเลือดเอออร์ต้า (Aortic dissection)
เจ็บแน่นหน้าอกแบบเฉียบพลัน/แบบไม่คงที่ (Unstable angina)
น้ําท่วมปอด (Pulmonary edema)
การซักประวัติ ได้แก่ ซักประวัติการเป็นโรคประจําตัว การรับประทานยา ประวัติความดันโลหิตสูงที่เป็นในสมาชิกครอบครัว ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
การตรวจร่างกาย ได้แก่ วัดสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตเปรียบเทียบกันจากแขนซ้ายและขวา น้ำหนัก ส่วนสูง ดัชนีมวลกาย เส้นรอบเอว รวมถึงตรวจหาความผิดปกติที่เกิดจาก TOD
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ ตรวจ CBC ตรวจการทํางานของไตจากค่า Creatinine และ Glomerular filtration rate (eGFR) และค่าอัลบูมินในปัสสาวะ ประเมินหาความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (12-lead ECG) และ chest X-ray
การรักษา ได้แก่ ผู้ป่วย Hypertensive crisis ต้องให้การรักษาทันทีใน ICU และให้ยาลดความดันโลหิตชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดํา
การพยาบาล
การรักษาด้วย short-acting intravenous antihypertensive agents
ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทํากิจกรรม
ในระหว่างได้รับยา ประเมินและบันทึกการตอบสนองต่อยาโดยติดตามความดันโลหิตอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการลดลงของความดันโลหิตอย่างรวดเร็ว
ให้ความรู้/ข้อมูลแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการรักษาเพื่อควบคุมความดันโลหิต และเหตุผลที่ต้องติดอุปกรณ์ที่ใช้เฝ้าระวังต่างๆ หลังจากควบคุมความดันโลหิตได้แล้วควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนการดําเนินชีวิตเพื่อลดปัจจัยเสี่ยง
1.ในระยะเฉียบพลัน เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของระบบต่างๆ ได้แก่ neurologic, cardiac, and renal systems
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนปลายไม่เพียงพอ
วิตกกังวล
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
พร่องความรู้
ภาวะช็อก (Shock)
ความหมาย เป็นภาวะที่เกิดความผิดปกติทางสรีรวิทยาส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนที่ส่งไปเลี้ยงเนื้อเยื่อทั่วร่างกายลดต่ำลงกว่าความต้องการใช้ออกซิเจนของเนื้อเยื่อและอวัยวะ นําไปสู่ความผิดปกติของการทํางานของอวัยวะต่างๆจากการขาดออกซิเจนในระดับเซลล์
ระยะของช็อก
1.ภาวะช็อกที่สามารถชดเชยได้ในระยะแรก (Compensated shock) คือ ภาวะช็อกที่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มต้น ได้รับการรักษาทั้งการให้สารน้ำและยาที่เหมาะสม ผลการรักษาจะดีและมีภาวะแทรกซ้อนเพียงเล็กน้อย
2.ภาวะช็อกที่สามารถชดเชยได้ในระยะท้าย (Decompensated shock) คือ ภาวะช็อกที่ได้รับการวินิจฉัยล่าช้า เซลล์ในร่างกายเริ่มตาย การทํางานของอวัยวะต่างๆลดลง
3.ภาวะช็อกที่ไม่สามารถชดเชยได้ (Irreversible shock) คือ ภาวะช็อกที่ได้รับการวินิจฉัยช้าเกินไป จนทําให้เซลล์หรืออวัยวะต่างๆในร่างกายได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก
อาการและอาการแสดง
ไตและการขับปัสสาวะ
ปัสสาวะออกน้อย
ทางเดินอาหาร
กระเพาะอาหารและลําไส้ขาดเลือด ตับอ่อนอักเสบ ดีซ่าน การย่อยและดูดซึมอาหารผิดปกติ ตับวาย
หายใจ
หายใจเร็วลึก ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ ระบบหายใจล้มเหลว
เลือดและภูมิคุ้มกัน
การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ภาวะลิ่มเลือดกระจายทั่วร่างกาย เม็ดเลือดขาวทํางานบกพร่อง
หัวใจและหลอดเลือด
ชีพจรเบาเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดส่วนปลายหดตัว ผิวหนังเย็นซีด
ต่อมไร้ท่อ
น้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำ ภาวะร่างกายเป็นกรด
ประสาทส่วนกลาง
กระสับกระส่าย ซึม หมดสติ เซลล์สมองตาย
ประเภทของช็อก
1.ภาวะช็อกจากการขาดสารน้ำ (Hypovolemic shock)
2.ภาวะช็อกจากภาวะหัวใจล้มเหลว(Cardiogenic shock)
3.ภาวะช็อกจากหลอดเลือดมีการขยายตัว (Distributive shock, vasogenic / vasodilatory shock, Inflammatory shock)
3.1 ภาวะช็อกจากการติดเชื้อ (Septic shock)
3.2 ภาวะช็อกจากการแพ้ (Anaphylactic shock)
3.3 ภาวะช็อกจากการทํางานผิดปกติของต่อมหมวกไต (Hypoadrenal /adrenocortical shock)
4.ภาวะช็อกจากการอุดกั้นการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่หัวใจ (Obstructive shock)
5.ภาวะช็อกจากความผิดปกติของระบบประสาท (Neurogenic shock)
การรักษา
1.การแก้ไขระบบไหลเวียนโลหิตให้ได้ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีเพียงพอ
1.1 การให้สารน้ำ ได้แก่ Crystalloid solution เพื่อเพิ่มปริมาตรของสารน้ำในหลอดเลือด
1.2 การให้ยาที่มีผลต่อการบีบตัวของหัวใจ และการหดตัวของหลอดเลือด
2.การแก้ไขภาวะพร่องออกซิเจนของเนื้อเยื่อและการลดการใช้ออกซิเจน
3.การรักษาที่เฉพาะเจาะจงตามสาเหตุของภาวะช็อก
4.การแก้ไขความผิดปกติของภาวะกรดด่าง
การประเมินสภาพ
1.การซักประวัติ เพื่อหาสาเหตุของภาวะช็อกที่เกิดจากการเจ็บป่วย
2.การตรวจร่างกาย ได้แก่ การประเมินทางเดินหายใจ การประเมินลักษณะและอัตราการหายใจ การประเมินการไหลเวียนโลหิตและการทํางานของหัวใจ และการประเมินระดับความรู้สึกตัว
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
4.การตรวจพิเศษ
กิจกรรมการพยาบาล
2.การส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
2.3 ดูแลจัดท่านอนหงายราบ ยกปลายเท้าสูง 20-30 องศา
2.4 ประเมินสัญญาณชีพ รวมถึงค่า MAP ทุก1ชั่วโมง
2.2 ดูแลให้ยา (Dopamine, Dobutamine, Epinephrine Norepinephrine) เพื่อส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตตามแผนการรักษา
2.5 ติดตามค่า CVP
2.6 บันทึกปริมาณสารน้ำเข้าออกจากร่างกาย และติดตามปริมาณปัสสาวะทุก 1-2 ชั่วโมง
2.1ดูแลให้สารน้ำและอิเล็กโตรไลท์ทดแทนตามแผนการรักษา
2.7 ติดตามการเปลี่ยนแปลงระดับความรู้สึกตัว ลักษณะผิวหนังเย็นชื้น ซีด หรือเขียวคล้ํา
2.8ดูแลให้ได้รับการช่วยเหลือโดยใช้อุปกรณ์พิเศษต่างๆเพื่อเพิ่มให้เลือดไปเลี้ยงเซลล์ได้อย่างเพียงพอ
การแก้ไขสาเหตุที่ทําให้เกิดภาวะช็อก
3.3 ดูแลให้ยาละลายลิ่มเลือดตามแผนการรักษาเพื่อแก้ไขภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย
3.4 ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
3.2 เตรียมผู้ป่วยเพื่อให้ได้รับการทํา PTCA, CABG
3.5 ดูแลให้ได้รับยา Chlorpheniramine 1 amp V
3.1 ดูแลเตรียมให้ได้รับการตรวจเพื่อหาสาเหตุ
1.การป้องกันเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน
1.2ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง
1.3 ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
1.1ประเมินภาวะขาดออกซิเจน โดยการติดตามสัญญาณชีพทุก 1ชั่วโมง ประเมินระดับความรู้สึกตัว อาการเขียวจากริมฝีปาก เล็บมือ เล็บเท้า ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจน ABG
4.ส่งเสริมการปรับตัวของผู้ป่วยและครอบครัวต่อภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น
4.2 เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและครอบครัวได้ระบายความรู้สึก วิตกกังวล และซักถามข้อข้องใจเกี่ยวกับการเจ็บป่วย
4.3 ให้การพยาบาลด้วยความนุ่มนวล ให้เกียรติผู้ป่วย
4.1 ให้ข้อมูลอธิบายเหตุผลก่อนทํากิจกรรมการพยาบาล
4.4 ให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนร่วมในการวางแผนการพยาบาล
4.5 ให้กําลังใจและสนับสนุนทางด้านจิตใจ ดูแลเอาใจใส่สม่ำเสมอทั้งผู้ป่วยและครอบครัว
4.6 ช่วยเหลือในการติดต่อสื่อสาร เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ป่วย ครอบครัวและทีมรักษา
4.7 เตรียมความพร้อมก่อนการย้ายออกจากหอผู้ป่วยวิกฤต
4.8 ประเมินระดับความวิตกกังวลของผู้ป่วยและครอบครัวอย่างต่อเนื่อง
Cardiac dysrhythmias
Atrial fibrillation (AF) คือ ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพริ้ว เกิดจากจุดปล่อยกระแสไฟฟ้า (ectopic focus)ใน atrium ส่งกระแสไฟฟ้าออกมาถี่และไม่สม่ําเสมอและไม่ประสานกัน ทําให้ atrium บีบตัวแบบสั่นพริ้ว และคลื่นไฟฟ้าไม่สามารถผ่านไปยัง ventricle ได้ทั้งหมด
ประเภทของ AF
3.Permanent AFหมายถึง AFที่เป็นนานติดต่อกันกว่า 1 ปีโดยไม่เคยรักษาหรือเคยรักษาแต่ไม่หาย
4.Recurrent AFหมายถึง AFที่เกิดซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง
2.Persistent AFหมายถึงAF ที่ไม่หายได้เองภายใน 7 วัน หรือหายได้ดัวยการรักษาด้วยยา หรือการช็อคไฟฟ้า
5.Lone AFหมายถึง AFที่เป็นในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 60 ปีที่ไม่มีความผิดปกติของหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
1.Paroxysmal AF หมายถึง AF ที่หายได้เองภายใน 7 วันโดยไม่ต้องใช้ยา หรือการช็อคไฟฟ้า (Electrical Cardioversion)
สาเหตุพบบ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจรูห์มาติก ภาวะหัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตสูง เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบผู้ป่วยหลังผ่าตัดหัวใจ (open heart surgery), hyperthyrodism
อาการและอาการแสดง ใจสั่น อ่อนเพลีย เหนื่อยเวลาออกแรง คลําชีพจรที่ข้อมือได้เบา
การพยาบาล
1.ประเมินการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างต่อเนื่อง
2.สังเกตอาการและอาการแสดงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน สมอง ปอด แขนและขา
3.ดูแลให้ได้รับยาควบคุมการเต้นของหัวใจ เช่น digoxin, beta-blocker, calcium channel blockers, amiodarone
4.ดูแลให้ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตามแผนการรักษาในผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ว่ามีลิ่มเลือดเกิดขึ้น
6.เตรียมผู้ป่วยในการจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (Radiofrequency Ablation) ในผู้ป่วยที่เป็น AF และไม่สามารถควบคุมด้วยยาได้
5.เตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ในการทํา Cardioversion เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะปกติ
Ventricular tachycardia (VT) หมายถึง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกําเนิดการเต้นของหัวใจ ในอัตราที่เร็วมากแต่สม่ําเสมอ 150-250 ครั้ง/นาที
ประเภทของ VT แบ่งเป็น
1.Nonsustained VT คือ VTที่เกิดต;อเนื่องกันเป็นเวลาน้อยกว่า 30วินาที
2.Sustained VT คือ VTที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 30วินาที ซึ่งมีผลทําให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง
3.Monomorphic VT คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complexเป็นรูปแบบเดียว
4.Polymorphic VT หรือ Torsade คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
สาเหตุ พบบ่อยในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายบริเวณกว้าง (Myocardial infarction) โรคหัวใจรูห์มาติก (Rheumatic heart disease) ถูกไฟฟs้าดูด ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ พิษจากยาดิจิทัลลิส (Digitalis toxicity) และ กล้ามเนื้อหัวใจถูกกระตุ้นจากการตรวจสวนหัวใจ
อาการและอาการแสดงอาการเกิดทันที ผู้ป่วยจะรู้สึกใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ หน้ามืด เจ็บหน้าอก หายใจลําบาก หัวใจหยุดเต้น
การพยาบาล
2.คลําชีพจร ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว เจ็บหน้าอก ภาวะเขียว จํานวนปัสสาวะ เพื่อประเมินภาวะเลือดไปเลี้ยงสมอง และอวัยวะสําคัญลดลง
3.ร่วมกับแพทย์ในการดูแลให้ได้รับยาและแก้ไขสาเหตุหัวใจเต้นผิดจังหวะ
1.นําเครื่อง Defibrillator มาที่เตียงผู้ป่วยและรายงานแพทย์ทันที และเปิดหลอดเลือดดําเพื่อให้ยาและสารน้ํา
4.ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลําชีพจรได้ร่วมกับมีอาการของการไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง ให้เตรียมผู้ป่วยในการทํา synchronized cardioversion
5.ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลําชีพจรไม่ได้ (Pulseless VT) ให้เตรียมเครื่อง Defibrillator เพื่อให้แพทย์ทําการช็อกไฟฟ้าหัวใจ ในระหว่างเตรียมเครื่องให้ทําการกดหน้าอกจนกว่าเครื่องจะพร้อมปล่อยกระแสไฟฟ้า
6.ทํา CPR ถ้าหัวใจหยุดเต้น
Ventricular fibrillation (VF) หมายถึง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกําเนิดการเต้นของหัวใจตําแหน่งเดียวหรือหลายตําแหน่ง เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ไม่สม่ําเสมอ
สาเหตุที่ทําให้เกิด VF และ Pulseless VT
Hypothermia
Tension pneumothorax
Hyperkalemia
Cardiac tamponade
Hypokalemia
Toxins
Hydrogen ion (acidosis)
Pulmonary thrombosis
Hypoxia
Coronary thrombosis
Hypovolemia
อาการและอาการแสดงอาการเกิดทันที คือ หมดสติ ไม่มีชีพจร รูม่านตาขยาย เนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดโลหิตออกมาได้ และเสียชีวิต
การพยาบาลเตรียมเครื่งมือ อุปกรณ์และยาที่ใช้ในการช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อมและทํา CPR ทันที เนื่องจากการรักษา VFและ Pulseless VTสิ่งที่สําคัญคือ การช็อกไฟฟ้าหัวใจทันที และการกดหน้าอก
การพยาบาล
ติดตามและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของ สัญญาณชีพ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ให้ยา antidysrhythmia ตามแผนการรักษาและเตรียมอุปกรณ์สําหรับทํา synchronized cardioversion ในผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดไม่รุนแรง
ติดตามและบันทึกอาการแสดงของภาวะอวัยวะและเนื้อเยื่อได้รับเลือดไปเลี้ยงลดลง
ทํา CPR ร่วมกับทีมรักษาผู้ป่วย ในกรณีเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง
ติดตามผลข้างเคียงของยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยว่ามียาชนิดใดที่มีผลต่ออัตราและจังหวะการเต้นของหัวใจ หรือไม่ ถ้าพบให้รายงานแพทย์ทันที
ติดตามค่าเกลือแร่ในเลือด เพื่อหาสาเหตุนําของการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ป้องกันภาวะ tissue hypoxia โดยให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลปริมาณเลือดออกจากหัวใจในหนึ่งนาทีลดลงเนื่องจากความผิดปกติของอัตราและจังหวะการเต้นของหัวใจ
ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute Heart Failure [AHF])
ความหมาย การเกิดอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างรวดเร็วจากการทํางานผิดปกติของหัวใจทั้งการบีบตัวหรือการคลายตัวของหัวใจ
สาเหตุ
ภาวะนี้มีสาเหตุการเกิด ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ ภาวะหัวใจวาย กลไกการไหลเวียนของเลือดผิดปกติเฉียบพลัน โรคหัวใจใดๆที่ทรุดลงตามการดําเนินโรค ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงจากความผิดปกติอื่นๆ หลอดเลือดปอดอุดตันเฉียบพลัน
นอกจากนี้พบว่าภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันยังสามารถเกิดได้จากปัจจัยกระตุ้น ได้แก่
2) ความผิดปกตินอกระบบหัวใจและหลอดเลือด
1) ความผิดปกติทางหัวใจและหลอดเลือด
อาการและอาการแสดง
3.Pulmonary edemaหมายถึง ภาวะที่มีอาการและอาการแสดงของปอดบวมน้ำร่วมด้วยอย่างชัดเจน
4.Cardiogenic shockหมายถึง ภาวะที่ร่างกายมี poor tissue perfusion ถึงแม้จะมีการแก้ไขภาวะขาดน้ำแล้วก็ตาม โดยมีความดันโลหิต systolic ต่ำกว่า 90 mmHg หรือ MAP < 60 mmHg ร่วมกับมีปัสสาวะออกน้อยกว่า 0.5 ml/kg/hr.
2.Hypertensive acute heart failureหมายถึง กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการภาวะหัวใจล้มเหลวที่มีปอดบวมน้ำ โดยมีความดันโลหิตสูงรุนแรงร่วมด้วย
5.High output failure หมายถึง ภาวะหัวใจล้มเหลวโดยมีปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีสูงกว่าปกติ มักมีหัวใจเต้นเร็ว ปลายมือเท้าอุ่น ร่วมกับการมีภาวะน้ำท่วมปอด
1.Acute decompensated heart failureหมายถึง กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการภาวะหัวใจล้มเหลวที่เกิดขึ้นเฉียบพลันแต่ไม่มีอาการรุนแรงมาก
6.Right heart failureหมายถึง ภาวะที่หัวใจด้านขวาทํางานล้มเหลว มีปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีลดลง
อาการและอาการแสดงที่พบบ่อย หายใจเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ อ่อนเพลีย บวมตามแขนขา ความดันโลหิตปกติหรือ ต่ำ/สูง ท้องอืดโต แน่นท้อง ปัสสาวะออกน้อย/มาก หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว เส้นเลือดดําที่คอโป่งพอง ฟังได้ยินเสียงปอดผิดปกติ
การรักษา
2.การดึงน้ำและเกลือแร่ที่คั่งออกจากร่างกาย
3.การใช้ยา
1.การลดการทํางานของหัวใจ
4.การรักษาสาเหตุได้แก่ การขยายหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี, การเปลี่ยนลิ้นหัวใจในโคโรนารี, การรักษาภาวะติดเชื้อ
การประเมินสภาพ
2.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.การตรวจพิเศษ
1.การซักประวัติและตรวจร่างกายเพื่อประเมินอาการทางคลินิกที่เกี่ยวข้อง
เป้าหมายสําคัญในการพยาบาล คือ การลดการทํางานของหัวใจ และส่งเสริมการไหลเวียนเลือดไปยังเซลล์ให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
กิจกรรมการพยาบาล
2.การลดความต้องการใช้ออกซิเจนของร่างกาย
2.1ดูแลให้ได้รับยาลด/ควบคุม จังหวะหรืออัตราการเต้นของหัวใจ
2.2ดูแลจํากัดกิจกรรมแบบสมบูรณ์ หรือช่วยในการทํากิจกรรม
2.3ดูแลควบคุมอาการปวดโดยให้ยาตามแผนการรักษา
2.4 ดูแลช่วยให้ได้รับการใส่เครื่องพยุงหัวใจ
3.การเพิ่มประสิทธิภาพการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
3.1ดูแลให้ได้รับยาช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ
3.2ดูแลให้ได้รับยาเพิ่มประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจตามแผนการรักษา
1.การลดการทํางานของหัวใจ
1.3ดูแลจํากัดสารน้ำและเกลือโซเดียม
1.4ดูแลจัดท่านอนศรีษะสูง
1.2ดูแลให้ได้รับยาขยายหลอดเลือดตามแผนการรักษา
1.5 ดูแลจํากัดกิจกรรมแบบสมบูรณ์หรือช่วยในการทํากิจกรรม
1.1ดูแลให้ได้รับยาขับปัสสาวะตามแผนการรักษา
4.ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
5.ดูแลให้กล้ามเนื้อหัวใจได้รับการไหลเวียนเลือด
6.ดูแลการทํางานของเครื่องกระตุ้นจังหวะหัวใจ
7.ดูแลให้ได้รับสารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอตามแผนการรักษา
10.ดูแลติดตามและบันทึกค่า CVP, PCWP
11.สังเกต/บันทึกปริมาณปัสสาวะทุก 1ชั่วโมง
12.จัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการนอนหลับพักผ่อน
13.ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
14.ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญกับความเจ็บป่วย
15.สอนและแนะนําเทคนิคการผ่อนคลายที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้ป่วย
16.กระตุ้นและส่งเสริมให้ครอบครัวญาติหรือบุคคลใกล้ชิดมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย
9.ดูแลติดตามการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟsาหัวใจ ประเมินสัญญาณชีพทุก 1-2 ชั่วโมง
8.ดูแลให้ได้รับการตอบสนองตามความต้องการพื้นฐาน
17.ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาและการเปลี่ยนแปลงของอาการที่เกิดขึ้นไปในทางที่ดีเพื่อให้ผู้ป่วยมีกําลังใจและลดความวิตกกังวลได้แต่ต้องระมัดระวังการให้ข้อมูลมากเกินไป