Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
Hypertensive disorders of pregnacy เป็นภาวะแทรกซ้อนทางสูติกรรมที่รุนแรงโดยพบได้ร้อยละ 5-10 ของการตั้งครรภ์ทั้งหมด ส่งผลให้เกิดอัตราทุพพลภาพ การเสียชีวิตของมารดาและทารกในครรภ์ เป็น1ใน3สาเหตุหลักของการตายของมารดาทั่วโลก เสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น รกลอกก่อนกำหนด การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เลือดออกในสมอง ตับและไตวาย เกิดผลกระทบระยะยาวของภาวะครรภ์เป็นพิษต่อสตรี คือ เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ระดับความดันโลหิตในตรีตั้งครรภ์ ระดับความดันโลหิตในสตรีตั้งครรภ์จะต่ำกว่าขณะที่ไม่ตั้งครรภ์ ต่ำสุดในระยะไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ จากนั้นจะค่อยๆเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 จนกระทั่งอยู่ในระดับเดียวกับขณะที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ การลดต่ำลงของความดันโลหิตระหว่างตั้งครรภ์เกิดจาก vasculat tone ลดลง เนื่องจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้เกิด low resistance ในระบบไหลเวียน
-
-
สาเหตุและพยาธิกำเนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ แบ่งการดำเนินของโรคเป็น 2 ระยะ มีรายละเอียดดังนี้
ระยะที่ 1 ระยะก่อนแสดงอาการ preclinical หรือ asymptomatic stage เป็นระยะที่เกิดความผิดปกติที่รก มักเกิดขึ้นตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์โดยการพัฒนาการตามปกติของรกเซลล์ cytotrophoblasts ของทารกจะรุกล้ำเข้าไปใน maternal spiral arteries และมี remodeling เซลล์cytotrophoblasts ส่วนนี้จะมีการปรับเปลี่ยนจากลักษณะเนื้อเยื่อบุผิวไปเป็นลักษณะเนื้อเยื่อบุโพรงหลอดเลือด ซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า psuedovasculogenesis ในภาวะครรภ์เป็นพิษ จะเกิดความผิดปกติของการฝังตัวของรก เกิดความผิดปกติของ endovascular trophoblastic remodeling
ระยะที่ 2 ระยะแสดงอาการ clinical stage รกที่ขาดออกซิเจนจะมีการหลั่งสารต่างๆออกมาในกระแสเลือด ที่สำคัญคือ proinflmmatory และ antiangiogenic factors ทำให้เซลล์บุโพรงหลอดเลือดบาดเจ็บและขาดเลือด เกิดความผิดปกติในการทำหน้าที่ของเนื้อเยี่อบุโพรงหลอดเลือด กระตุ้นให้เกิดภาวะ oxidative stress ซึ่งภาวะนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการปล่อย placental factors ต่างๆเข้าไปในระบบไหลเวียนของมารดา
-
-
อาการแสดง มีดังนี้
-
2. ภาวะ Eclampsia
2.1 ระยะก่อนชัก Premonitoring stage อาจมีอาการแสดง เช่น กระสับกระส่าย ตามองนิ่งอยู่กับที่ ศีรษะหมุนไปด้านหนึ่งจนตึง และรูม่านตาขยาย
2.2 ระยะเริ่มแรกของอาการชัก Stage of invasion มีอาการกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าและมุมปากกระตุก ริมฝีปากเบี้ยว ใช้เวลาประมาณ 2-3 วินาที
2.3 ระยะชักเกร็ง Stage of contraction หรือ tonic stage มีอาการเกร็งกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ลำตัวเหยียด ศีรษะหงายไปด้านหลัง มือกำแน่น ถ้ากล้ามเนื้อที่ช่วยการหายใจหดรัดตัวมาก อาจมีการหยุดหายใจ หน้าเขียว ใช้เวลาประมาณ 15-20 วินาที
2.4 ระยะชักกระตุก Stage of convulsion หรือ clonic stage มีการกระตุกของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายอย่างแรง มีการกระตุกของขากรรไกร มีน้ำลายฟูมปาก ใบหน้าบวมสีม่วง หนังตาจะปิดและเปิดสลับกันอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เกิดแรงดีดตัว อาจ injury,fracture ได้ ใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที
2.5 ระยะหมดสติ Coma หรือ unconscious ภายหลังการชักกระตุก นอนนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่ในสภาพหมดแรง มีอาการหยุดหายใจเป็นบางครั้ง ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์คั่งเกิดภาวะ repiratory acidosis ร่างกายมีการปรับโดยการหายใจเร็ว จากการคั่งของ latic acid อาจมีอาการเขียว หมดสติ ทำให้ระยะนี้ใช้เวลาต่างกันไปในแต่ละราย หากไม่ได้รับการรักษาจะมีอาการชักซ้ำได้อีกในเวลาที่ถี่ขึ้น
-
การประเมินและวินิจฉัย
1. การซักประวัติ ซักประวัติเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น BP,DM โรคไต, ประวัติอาการแสดงของภาวะ preeclamsia เช่น ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว อาการบวม เป็นต้น
2.การตรวจร่างกาย ประเมินBP, ประเมินระดับรีเฟล็กซ์, ประเมินอาการบวม, ประเมินอาการบวมกดบุ๋ม
3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ CBC, platelet count, liver function test, renal functiontest
4. การตรวจพิเศษ ได้แก่
-
- Roll over test เป็นการทดสอบที่ทำเมื่อGAระหว่าง 28-32 wk. วัดBP ในท่านอนตะแคงซ้าย 15 นาที เปลี่ยนมาอยู่ในท่านอนหงายนาน 1 นาที ถ้าค่าdiastolic pressure ขณะนอนหงายสูงกว่านอนตะแคงซ้าย 20 mmHg. ซึ่งจะมีพัฒนาการของภาวะครรภ์เป็นพิษ
- Isometric exercise เป็นการทดสอบโดยให้สตรีตั้งครรภ์เกร็งกล้ามเนื้อแขน หากBPสูงขึ้นภายหลังการทดสอบ แสดงว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ
- Doppler velocimetry เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงตรวจการไหลเวียนเลือดของหลอดเลือดแดงในมดลูก เพื่อช่วยทำนายผลการตั้งครรภ์ที่ไม่ดี
- Specific blood testing เช่น การตรวจหาระดับ(PIGF),(sFlt-1)จากเลือดมารดา
-
แนวทางการรักษา
1. การรักษา preeclampsia without severe features หลักสำคัญคือ การนอนพัก ดูแลควบคุมไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น เฝ้าระวังการเกิด sever features ทำให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปจนครบกำหนด
2. การรักษา preeclampsia with sever features หลักสำคัญคือ การป้องกันการชัก ควบคุมbp และยุติการตั้งครรภ์
3. การรักษา eclampsia หลักสำคัญคือ ควบคุมการชัก แก้ไขภาวะพร่อมออกซิเจนและความเป็นกรดในร่างกาย ควบคุมbp และยุติการตั้งครรภ์เมื่อควบคุมอาการชักได้
-
-