Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

บทที่1 การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ image, image, image, image…

- - - - เป็นต่อมน้ำเหลืองในช่องปาก มีหน้าที่ ดักจับและทำลายเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกายทางช่องปาก อีกทั้งยังสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย โดยการสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค
    - - มีไข้
      - กลืนลำบาก
      - เจ็บคอ
      - ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต
    - - การใช้ยาปฏิชีวนะ
    - - ควรดื่มน้ำมากๆ
      - ทานอาหารอ่อน
  - - - ปวดหูข้างที่เป็น อาจรู้สึกแน่นๆ ภายในหู หรือมีเสียงดังในหู
      - มีไข้สูง ในเด็กเล็กอาจร้องไม่หยุด โดยเฉพาะเวลากลางคืน กระวนกระวาย และอาจดึงใบหูข้างที่ปวด
      - มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และชักได้
      - หูอื้อ ระดับการได้ยินลดลง
    - - ไม่แคะ ปั่น เขี่ย เช็ดขี้หู หรือทำความสะอาดหูโดยใช้ไม้พันสำลี นิ้วมือ หรือวัตถุใดๆ ก็ตาม เพราะอาจก่ออันตรายทำให้แก้วหูฉีกขาด
      - ไม่ควรล้างหูด้วยสบู่ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อบ่อยๆ หรือซื้อยาหยอดหูมาใช้เอง
    - - ประทานยาต้านจุลชีพ (Antibiotic)
      - รับประทานยาแก้แพ้ (Antihistamine) ยาลดบวม ยาหดหลอดเลือด (Oral Decongestant) และพ่นจมูกด้วยยาหดหลอดเลือด (Topical Decongestant)
      - รักษาโดยการผ่าตัด
        การเจาะเยื่อแก้วหู (Myringotomy)
  - - - สภาพอากาศหนาวเย็น อยู่ในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว ซึ่งเอื้อต่อการระบาดของไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
      - มีสิ่งที่ทำให้เกิดการระคายเคืองภายในลำคอ
    - - ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอเล็กน้อยถึงปานกลาง
        
        น้ำมูกใสไหล ไอ เสียงแหบ มีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะเล็กน้อย ตาแดง
      - ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอมากจนกลืนน้ำและอาหารลำบาก
        
        จะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และอาจพบต่อมน้ำเหลืองโต
    - - ประวัติอาการของผู้ป่วย การตรวจร่างกาย การตรวจดูในลำคอ การตรวจคลำต่อมน้ำเหลืองลำคอ
    - - ควรหยุดงาน หยุดเรียน จนกว่าไข้จะลดลงแล้วอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
      - กลั้วคอด้วยน้ำเกลือวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อรักษาความสะอาดของช่องปากและเพื่อให้ช่องปากชุ่มชื้น
      - งดการใช้เสียง งดการสูบบุหรี่และงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  - - - ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน
        
        มีอาการน้อยกว่า 12 สัปดาห์
      - ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
        
        เป็นมา นานมากกว่า หรือเท่ากับ 12 สัปดาห์ โดยในช่วงที่เป็นอาการต่างๆไม่มีช่วงที่หายเลย
    - - อาการคัดหรือแน่นจมูก
      - มีน้ำมูกไหลออกมาทางรูจมูกด้านหน้า
      - น้ำมูกไหลลงคอ
    - - การซักประวัติ และการตรวจโพรงจมูก
    - - การรักษาตามอาการ
        
        ให้ยาแก้ปวด, ให้ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือและให้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก
      - ยาต้านจุลชีพ
      - amoxicillin และควรให้เป็นระยะเวลา 10-14 วัน
    - - รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และตรงเวลา เลี่ยงอาหารรสจัด มัน
      - เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไม่ควรมากกว่า 2 แก้วต่อวัน
      - ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
      - ดื่มน้ำอย่างน้อย 1.5 ลิตรต่อวัน
  - - - บางครั้งอาจมีอาการ เจ็บคอ ปวดท้อง อาเจียน หรือ ท้องเสียได้บ้าง
      - กติมักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์
      - มีอาการไม่รุนแรง อาจมีไข้ (แต่ไข้สูงไม่เกิน 38°เซลเซียส)
    - - ข้หวัดในเด็กส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส
        
        ไรโนไวรัส (Rhinoviruses)
        
        โคโรนาไวรัส (Coronaviruses)
      - ติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ จากการไอ จาม รับน้ำมูก น้ำลาย หรือสัมผัสเชื้อโรคจากสิ่งต่างๆ รอบตัว
    - - เนื่องจากโรคหวัดเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ จึงให้การรักษาตามอาการเท่านั้
        
        หากมีอาการไอ ควรดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ
        
        ถ้ามีไข้ ให้รับประทานยาลดไข้
    - - ปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม จะช่วยลดการติดเชื้อโรคได้
      - รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง
      - ไม่ควรเข้าไปในที่ที่มีคนแออัด โดยเฉพาะเวลาที่มีการระบาดของไข้หวัด
- - - - มีไข้
      - ไอ
      - เจ็บหน้าอก
      - หอบเหนื่อย
    - - เชื้อไวรัส
      - แบคทีเรีย
    - - ตรวจเลือด
      - เอกซเรย์หน้าอก
      - เอกซเรย์หน้าอก
    - - การรักษาตามอาการทั่วไป
      - การรักษาปอดบวมที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
      - การรักษาปอดบวมที่เกิดจากเชื้อไวรัส
  - - - ไอแบบมีเสียงก้องหรือคล้ายเสียงเห่า
      - เสียงแหบ
      - ตาแดง
    - - ติดเชื้อไวรัส
    - - เอกซเรย์บริเวณคอ
      - สังเกตการหายใจและฟังเสียงบริเวณหน้าอกด้วยหูฟังแพทย์
      - ตรวจภายในลำคอ
    - - ใช้ยาสเตียรอยด์ทั้งชนิดรับประทานหรือชนิดพ่น
      - ฉีดยาเดกซาเมทาโซน
    - - ล้างมือให้สะอาด และล้างมือบ่อย ๆ
      - ระวังไม่ให้เด็กอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
  - - - เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในบริเวณหลอดลมฝอย ที่เป็นทางเดินหายใจขนาดเล็กที่สุดในปอด การติดเชื้อนี้จะทำให้หลอดลมฝอยมีอาการบวมและอักเสบ จนทำให้เกิดการสะสมของเสมหะ ทำให้หายใจลำบาก
    - - น้ำมูกไหล
      - คัดจมูก
      - ไอ
      - มีไข้
    - - เอกซเรย์หน้าอก
      - ตรวจหาเชื้อไวรัส
      - ตรวจเลือด
    - - ดูแลรักษาตัวอยู่ที่บ้าน โดยคอยดูแลรักษาตามอาการ และคอยระวังระดับของน้ำและออกซิเจนในร่างกาย
  - - - หายใจสั้น หายใจลำบาก หรือหายใจไม่อิ่ม
      - เจ็บหน้าอก หรือมีอาการแน่นหน้าอก
    - - เกิดจากการที่หลอดลมมีภาวะไวต่อการกระตุ้นจากสารก่อภูมิแพ้ หรือสิ่งแวดล้อม หากถูกกระตุ้นจะทำให้กล้ามเนื้อของหลอดลมหดเกร็ง
    - - สไปโรเมทรีย์ (Spirometry) เป็นเครื่องตรวจสมรรถภาพปอด
      - พีค โฟลว์ มิเตอร์ (Peak Flow Meter) เป็นเครื่องวัดความเร็วสูงสุดของลมที่เป่าออกได้ ใช้เพื่อวัดสมรรถภาพของปอด
      - พีค โฟลว์ มิเตอร์ (Peak Flow Meter) เป็นเครื่องวัดความเร็วสูงสุดของลมที่เป่าออกได้ ใช้เพื่อวัดสมรรถภาพของปอด
    - - ยาที่ใช้ควบคุมโรคหืด (Controllers) ต้องใช้เป็นประจำเพื่อการรักษาอาการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม
      - ยาที่ใช้บรรเทาอาการโรคหืด (Relievers)
    - - หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นโรค หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ
      - รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันปอดบวม
  - - - rhinovirus, adenovirus, corona virus, influenza virus, parainfluenza virus, respiratory syncytial virus
    - - ไอเป็นเลือด
      - มีทั้งแบบไม่มีสี อาจมีสีเหลือง หรือเขียว บางรายอาจมีเลือดปนอยู่ด้วย แต่จะพบได้น้อย
      - ไอเรื้อรัง ไม่หายภายใน 2 สัปดาห์
      - แสบคอ หรืออาการเจ็บคอร่วมอยู่ด้วย
    - - ตรวจการทำงานของปอด
      - ตรวจเสมหะ
      - เอกซเรย์หน้าอก
    - - ยาแก้ไอ
      - ยาปฏิชีวนะ
    - - ดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ
      - ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
      - พักผ่อนให้เพียงพอ