Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
3.2 การพยาบาลผู้ปวยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต - Coggle Diagram
3.2 การพยาบาลผู้ปวยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต
ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต (Hypertensive crisis)
หมายถึง ภาวะความดันโลหิตสูงอย่างเฉียบพลันสูงกว่า 180/120 มม.ปรอท และทําให้เกิดการทําลายของ อวัยวะเป้าหมาย (target organ damage, TOD)
สาเหตุ
1.การหยุดยาลดความดันโลหิตทันที (Sudden withdrawal of antihypertensive medications)
Acute or chronic renal disease
Exacerbation of chronic hypertension
การใช้ยาบางชนิดที่มีผลทําให้ความดันโลหิตสูง เช่น
ยาคุมกําเนิด ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
อาการและอาการแสดง
ความดันโลหิตสูงขั้นวิกฤตที่ทําให้เกิดอาการทางสมอง เรียกว่า hypertensive encephalopathyจะมีอาการ ปวดศรีษะ การมองเห็นผิดปกติ สับสน คลื่นไส้ อาเจียน
การซักประวัติ
ซักประวัติการเป็นโรคประจําตัว ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง ความสม่ําเสมอในการรับประทานยา ผลข้างเคียงของยาที่ใช้ การสูบบุหรี่ ประวัติความดันโลหิตสูงที่เป็นในสมาชิกครอบครัว ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ โรคอื่นๆที่เป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง
สอบถามอาการของอวัยวะที่ถูกผลกระทบจากโรคความดันโลหิตสูง (target organ damage, TOD)ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง จะมีอาการ ปวดศรีษะ (Headache)มองเห็นไม่ชัดหรือตามัวชั่วขณะ(blurred vision) ระดับความรู้สึกตัวผิดปกติ (change in level of consciousness) หมดสติ(Coma)
การตรวจร่างกาย
วัดสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตเปรียบเทียบกันจากแขนซ้ายและขวา น้ําหนัก ส่วนสูง ดัชนีมวลกาย เส้นรอบเอว รวมถึงตรวจหาความผิดปกติที่เกิดจาก TOD
-ถ้าพบ Papilledema ช่วยประเมินภาวะ increased intracranial pressureตรวจ retina -ถ้าพบ cotton-wool spots and hemorrhages แสดงว่า มีการแตกของ retina blood vessels และ retina nerves ถูกทําลาย -Chest pain บอกอาการของ acute coronary syndrome or aortic dissection
การรักษา ให้ยาลดความดันโลหิตชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดํา เป้าหมายเพื่อลดความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่ต้องการโดยป้องกันอวัยวะต่างๆไม่ให้ถูกทําลายมากขึ้นและไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา คือลดความดันโลหิตเฉลี่ย (mean arterial pressure)ลงจากระดับเดิม20-30% ภายใน 2 ชั่วโมงแรก และ 160/100 มม.ปรอท ใน 2-6 ชั่วโมง เมื่อควบคุมความดันโลหิตได้คงที่แล้ว
การพยาบาล
1.ในระยะเฉียบพลัน เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของระบบต่างๆ ได้แก่ neurologic, cardiac, and renal systems
ในระหว่างได้รับยา ประเมินและบันทึกการตอบสนองต่อยาโดยติดตามความดันโลหิตอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการลดลงของความดันโลหิตอย่างรวดเร็ว -ในผู้ป่วยที่มีสมองขาดเลือดร่วมกับความดันโลหิตสูงวิกฤต ควรควบคุมความดันโลหิตให้ต่ํากว่า 180/105 มม.ปรอทใน 24 ชั่วโมงแรก แต่ไม่เกินร้อยละ 15 ของค่าความดันโลหิตเริ่มต้น
การรักษาด้วย short-acting intravenous antihypertensive agents ได้แก่ sodium nitroprussideแพททย์จะเริ่มให้ขนาด 0.3-0.5 mcg/kg/min และเพิ่มครั้งละ 0.5 mcg/kg/minทุก 2-3 นาทีจนสามารถคุมความดันโลหิตได้
ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทํากิจกรรม เช่นการจัดท่านอนให้สุขสบาย การปฏิบัติกิจวัตรประจําวันต่างๆ และจัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ
ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute Heart Failure [AHF])
การเกิดอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างรวดเร็วจากการทํางานผิดปกติของหัวใจทั้งการบีบตัวหรือการคลายตัวของหัวใจ การเต้นของหัวใจผิดจังหวะ หรือการเสียสมดุลของpreload และafterloadโดยอาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจเดิม (decompensated)
สาเหตุ
1) ความผิดปกติทางหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่พอ
2) ความผิดปกตินอกระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น การใช้ยาไม่สม่ําเสมอ การควบคุมปริมาณเกลือในอาหารไม่เพียงพอ
อาการและอาการแสดง หายใจเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ อ่อนเพลีย บวมตามแขนขา ความดันโลหิตปกติหรือ ต่ํา/สูง ท้องอืดโต แน่นท้อง ปnสสาวะออกน้อย/มาก หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว เส้นเลือดดําที่คอโป่งพอง ฟังได้ยินเสียงปอดผิดปกติ(Lung crepitation) จากการที่มีเลือดคั่งในปอด(Pulmonary congestion)
การรักษา
1.การลดการทํางานของหัวใจ(Decrease cardiac workload)ได้แก่ Intra-aortic balloon pump, การให้ออกซิเจน, การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Cardiac pacemaker), การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน (Percutaneous coronary intervention)
2.การดึงน้ําและเกลือแร่ที่คั่งออกจากร่างกาย (Negative fluid balance)ได้แก่ การให้ยาขับปัสสาวะ, การจํากัดสารน้ําและเกลือโซเดียม การเจาะระบายน้ํา
3.การใช7ยา
ภาวะนี้เป็นกลุ่มอาการที่มีอาการแสดงได้ 6 รูปแบบ
1.Acute decompensated heart failureหมายถึง กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการภาวะหัวใจล้มเหลวที่เกิดขึ้นเฉียบพลันแต่ไม่มีอาการรุนแรงมาก
2.Hypertensive acute heart failureหมายถึง กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการภาวะหัวใจล้มเหลวที่มีปอดบวมน้ํา โดยมีความดันโลหิตสูงรุนแรงร่วมด้วย แต่การทํางานของหัวใจห้องล่างซ้ายยังอยู่ในเกณฑ์ดี
3.Pulmonary edemaหมายถึง ภาวะที่มีอาการและอาการแสดงของปอดบวมน้ําร่วมด้วยอย่างชัดเจน สามารถเห็นได้ชัดเจนจากภาพถ่ายรังสีทรวงอก และมี ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนต่ํากว่าร้อยละ 90 ที่บรรยากาศห้องก่อนการรักษา
4.Cardiogenic shockหมายถึง ภาวะที่ร่างกายมี poor tissue perfusion ถึงแม้จะมีการแก้ไขภาวะขาดน้ําแล้วก็ตาม โดยมีความดันโลหิตsystolic ต่ํากว่า 90 mmHg หรือ MAP < 60 mmHg ร่วมกับมีปnสสาวะออกน้อยกว่า 0.5 ml/kg/hr.
5.High output failure หมายถึง ภาวะหัวใจล้มเหลวโดยมีปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีสูงกว่าปกติ มักมีหัวใจเต้นเร็ว ปลายมือเท้าอุ่น ร่วมกับการมีภาวะน้ําท่วมปอด
6.Right heart failureหมายถึง ภาวะที่หัวใจด้านขวาทํางานล้มเหลว มี ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีลดลง ร่วมกับมีการเพิ่มขึ้นของความดันหลอดเลือดดําที่คอ
กิจกรรมการพยาบาล
1.การลดการทํางานของหัวใจ
ดูแลจัดท่านอนศรีษะสูง ดูแลจํากัดกิจกรรมแบบสมบูรณ์ (Absolute bed rest)หรือช่วยในการทํากิจกรรม
2.การลดความต้องการใช้ออกซิเจนของร่างกาย
3.การเพิ่มประสิทธิภาพการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
ดูแลให้ได้รับยาช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ โดยประเมินอัตราการเต้นของหัวใจก่อน หากอัตราการเต้นของหัวใจ ต่ํากว่า 60 ครั้ง/นาที งดให้ยาและรายงานแพทย์
4.ดูแลติดตามการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ประเมินสัญญาณชีพทุก 1-2 ชั่วโมง
5.ดูแลติดตามและบันทึกค่า CVP, PCWP
6.สังเกต/บันทึกปริมาณปัสสาวะทุก 1ชั่วโมง (keep urine output >= 0.5 ml/kg/hr.)
7.จัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการนอนหลับพักผ่อน
Cardiac dysrhythmias
Atrial fibrillation (AF)
ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพริ้ว เกิดจากจุดปล่อยกระแสไฟฟ้า (ectopic focus)ใน atrium ส่งกระแสไฟฟ้าออกมาถี่และไม่สม่ําเสมอและไม่ประสานกัน ทําให้ atriumบีบตัวแบบสั่นพริ้ว และคลื่นไฟฟ้าไม่สามารถผ่านไปยัง ventricle ได้ทั้งหมด ลักษณะ ECG ไม่สามารถบอก P wave ได้ชัดเจน จังหวะไม่สม่ําเสมอ QRS complexไม่เปลี่ยนแปลง อัตราการเต้นของ atrial มากกว;า 350 ครั้ง/นาที
สาเหตุ
พบบ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจรูห์มาติก ภาวะหัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตสูง (open heart surgery),
อาการและอาการแสดงใจสั่น อ่อนเพลีย เหนื่อยเวลาออกแรง คลําชีพจรที่ข้อมือได้เบา
การพยาบาล
1.ประเมินการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างต่อเนื่อง
2.สังเกตอาการและอาการแสดงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน สมอง ปอด แขนและขา
3.ดูแลให้ได้รับยาควบคุมการเต้นของหัวใจ เช่น digoxin, beta-blocker
4.ดูแลให้ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตามแผนการรักษาในผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ว่ามีลิ่มเลือดเกิดขึ้น
5.เตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ในการทํา Cardioversion เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะปกติ
6.เตรียมผู้ป่วยในการจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง(Radiofrequency Ablation) ในผู้ป่วยที่เป็น AF และไม่สามารถควบคุมด้วยยาได้
Ventricular tachycardia (VT)
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ventricle เป็นจุดกําเนิดการเต้นของหัวใจ ในอัตราที่เร็วมากแต่สม่ําเสมอ 150-250 ครั้ง/นาที ซึ่งจุดกําเนิดอาจมีตําแหน่งเดียวหรือหลายตําแหน่ง ลักษณะ ECGไม่พบP wave ลักษณะ QRS complexมีรูปร่างผิดปกติกว้างมากกว่า 0.12 วินาที VT อาจเปลี่ยนเป็น VF ได้ในทันทีและทําให้เสียชีวิต
ประเภทของ VT แบ่งเป็น
1.Nonsustained VT คือ VTที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลาน้อยกว่า 30วินาที
2.Sustained VT คือ VTที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 30วินาที ซึ่งมีผลทําให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง
3.Monomorphic VT คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complexเป็นรูปแบบเดียว
4.Polymorphic VT หรือ Torsade คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complexเป็นรูปต่างกัน
การพยาบาล
1.คลําชีพจร ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว เจ็บหน้าอก ภาวะเขียว จํานวนปัสสาวะ เพื่อประเมินภาวะเลือดไปเลี้ยงสมอง และอวัยวะสําคัญลดลง
2.ร;วมกับแพทย์ในการดูแลให้ได้รับยาและแก้ไขสาเหตุหัวใจเต้นผิดจังหวะ
3.ในผู้ป่วยที่เกิด VTและคลําชีพจรได้ร่วมกับมีอาการของการไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง ให้เตรียมผู้ป่วยในการทํา synchronized cardioversion
4.ในผู้ป่วยที่เกิด VTและคลําชีพจรไม่ได้้ (Pulseless VT) ให้เตรียมเครื่องDefibrillatorเพื่อให้แพทย์ทําการช็อกไฟฟ้าหัวใจ ในระหว่างเตรียมเครื่องให้ทําการกดหน้าอกจนกว่าเครื่องจะพร้อมปล่อยกระแสไฟฟ้า
Ventricular fibrillation (VF)
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ventricle เป็นจุดกําเนิดการเต้นของหัวใจตําแหน่งเดียวหรือหลายตําแหน่ง เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ไม่สม่ําเสมอ ลักษณะ ECG จะไม่มี P wave ไม่เห็นรูปร่างของ QRS complexระบุไม่ได้ว่าส่วนไหนเป็นQRS complexถ้าไม่ได้รับการแก้ไขผู้ป่วยจะหัวใจหยุดเต้นทันที
อาการเกิดทันที คือ หมดสติ ไม่มีชีพจร รูม่านตาขยาย เนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดโลหิตออกมาได้ และเสียชีวิต
การพยาบาล
เตรียมเครื่งมือ อุปกรณ์และยาที่ใช้ในการช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อมและทํา CPR ทันที เนื่องจากการรักษา VFและ Pulseless VTสิ่งที่สําคัญคือ การช็อกไฟฟ้าหัวใจทันที และการกดหน้าอก
ภาวะช็อก (Shock)
ภาวะที่ร่างกายเกิดความผิดปกติจากกลุ่มอาการต่างๆ หรือความผิดปกติจากทางสรีรวิทยาเป็นผลให้เกิดการไหลเวียนโลหิตไปยังอวัยวะต่างๆไม่เพียงพอทําให้ปริมาณออกซิเจนที่ส่งไปเลี้ยงเนื้อเยื่อไม่เพียงพอ (poor tissue perfusion) เสียสมดุลของการเผาผลาญระดับเซลล์อวัยวะต่างๆขาดออกซิเจนและสูญเสียหน้าที่(Organ dysfunction)
ระยะของช็อก
1.ภาวะช็อกที่สามารถชดเชยได้ในระยะแรก (Compensated shock)คือ ภาวะช็อกที่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มต้น ได้รับการรักษาทั้งการให้สารน้ําและยาที่เหมาะสม
2.ภาวะช็อกที่สามารถชดเชยได้ในระยะท้าย (Decompensated shock)คือ ภาวะช็อกที่ได้รับการวินิจฉัยล่าช้า เซลล์ในร่างกายเริ่มตาย การทํางานของอวัยวะต่างๆลดลง
3.ภาวะช็อกที่ไม่สามารถชดเชยได้ (Irreversible shock)คือ ภาวะช็อกที่ได้รับการวินิจฉัยช้าเกินไป จนทําให้เซลล์หรืออวัยวะต่างๆในร่างกายได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก
ประเภทของช็อก
1.ภาวะช็อกจากการขาดสารน้ํา(Hypovolemic shock)
เกิดจากการลดลงของปริมาณของเลือดหรือสารน้ําในร่างกาย (การสูญเสียมากกว่า 30-40% ของปริมาตรเลือด) ทําให้ปริมาณเลือดที่กลับเข้าสู่หัวใจ(Venous return หรือ preload)ลดลง
ระยะแรกร่างกายอาจสามารถรักษาระดับของปริมาตรของเลือดให้สามารถสูบฉีดไปเลี้ยงส่วนต่างๆให้อยู่ในระดับปกติ ได้ด้วยการเพิ่มระดับการเต้นของหัวใจ หากยังมีการสูญเสียเลือดและสารน้ําเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะทําให้มีการหดตัวของหลอดเลือดส่วนปลาย ส่งผลให้ความต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลาย (SVR)สูงขึ้น เพื่อเพิ่ม Cardiac output
2.ภาวะช็อกจากภาวะหัวใจล5มเหลว(Cardiogenic shock)
เป็นภาวะช็อกที่เกิดจากหัวใจไม่สามารถส่งจ่ายเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย โดยที่มีปริมาตรเลือดในระบบไหลเวียนโลหิตอย่างเพียงพอ
สาเหตุได้แก่ ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ ความผิดปกติของลิ้นหัวใจและผนังหัวใจ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
3.ภาวะช็อกจากหลอดเลือดมีการขยายตัว(Distributive shock, vasogenic / vasodilatory shock, Inflammatory shock)
เป็นภาวะช็อกที่มีสาเหตุจากหลอดเลือดส่วนปลายขยายตัว ทําให้เกิดการลดลงของแรงต้านทานของหลอดเลือด (SVR)ร่วมกับมีการไหลเวียนเลือดในระบบลดลงจากการไหลเวียนของเลือดลัดเส้นทาง (Maldistribution หรือ shunt)
3.1 ภาวะช็อกจากการติดเชื้อ(Septic shock)
ภาวะช็อกจากการติดเชื้ออาจเกิดภาวะDisseminated intravascular coagulation (DIC)ได้ ภาวะนี้มีการกระตุ้นกระบวนการแข็งตัวของเลือดอย่างต่อเนื่องทั่วร่างกาย ทําให้เกิดการสร้างไฟบรินเพิ่มมากขึ้นในหลอดเลือด จากการตอบสนองของร่างกายจากการหลั่งสาร cytokinesให้เกิดเป็นก้อนเลือดอุดตันตามหลอดเลือด การกระตุ้นการแข็งตัวของเลือดอย่างต่อเนื่องยังทําให้ปัจจัยในการแข็งตัวของเลือด
" ระยะอุ่น" (Warm shock, warm stage)ระยะนี้มักพบผู้ป่วยมีความดันโลหิตลดลง หัวใจเต้นเร็วขึ้น หายใจเร็วลึก มีไข้สูง หนาวสั่น ผิวหนังแดงอุ่น capillary refill time ลดลง
"ระยะเย็น" หรือ Cold stage ระยะนี้มักพบผู้ป่วยผิวหนังเย็นชื้น หายใจเร็วเบา ปัสสาวะออกน้อย ระดับความรู้สึกตัวลดลง
3.2 ภาวะช็อกจากการแพ5(Anaphylactic shock)
anaphylaxis เกิดจากปฏิกิริยาของผู้ป่วยที่ได้รับ antigen กับantibody ของร่างกาย (antigen-antibody reaction)ทําให้เกิด hypersensitivity type I ซึ่ง IgE จะไปกระตุ้น mast cell และ basophilแตกตัว (degranulation)มีการปล่อยmediator หลายชนิด
ทําให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด เป็นผลให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณนั้นมากขึ้น เกิดการซึมผ่านของของเหลวผ่านผนังหลอดเลือดฝอย ปริมาตรเลือดในระบบไหลเวียนลดลง มักพบว่าผู้ป่วยมีอาการบวมเฉพาะแห่ง ร้อนแดง(flush) ตัวแดง(flare)ความดันโลหิตต่ํา ผิวหนังเกิดผื่นแดง
3.3 ภาวะช็อกจากการทํางานผิดปกติของต่อมหมวกไต(Hypoadrenal /adrenocortical shock)
ภาวะช็อกที่ร่างกายไม่สามารถผลิต cortisol ในปริมาณมากพอกับความต้องการในการประคับประคองความดันโลหิตในขณะที่ร่างกายเกิดความเครียด มักพบในผู้ป่วย adrenal insufficiency ซึ่งในภาวะปกติเมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียด จะมีการกระตุ้น adrenal gland ให้หลั่งสาร cortisolเพิ่มขึ้น
ซึ่งสารนี้มีผลต่อ vascular smooth muscle ที่หัวใจและหลอดเลือดทําให้มีการตอบสนองต่อ catecholamines และ angiotensin II มากขึ้น เปลี่ยน norepinephrine ที่ต่อมหมวกไตในส่วน medulla ให7เป็น epinephrine จึงมีผลทําให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
4.ภาวะช็อกจากการอุดกั้นการไหลเวียนของเลือดเข5าสูAหัวใจ(Obstructive shock)
เกิดจากการอุดกั้นการไหลเวียนของโลหิตไปสู่หัวใจห้องซ้ายจากสาเหตุภายนอกหัวใจ ส่งผลให้ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจลดลง สาเหตุที่พบบ่อยได้แก่ Cardiac tamponade, tension pneumothorax, pulmonary embolism เป็นต้น ซึ่งพบว่าผู้ป่วยมักมีความดันโลหิตลดต่ําลง ร่วมกับการมีระดับของความดันในหัวใจห้องขวาเพิ่มมากขึ้น มีหลอดเลือดดําที่คอโป่งพอง CVP มีระดับที่สูงขึ้น
5.ภาวะช็อกจากความผิดปกติของระบบประสาท(Neurogenic shock)
การขยายตัวและการหดตัวของหลอดเลือด (Vasomotor tone) เป็นผลให้มีการขยายตัวของหลอดเลือดดําและหลอดเลือดแดงขึ้นทันใด ส่งผลให้เลือดมีการกระจายตัวไปยังหลอดเลือดส่วนปลายมากขึ้นหัวใจมีการเต้นช้าลง ซึ่งเป็นลักษณะจําเพาะของภาวะช็อกนี้ และปริมาณเลือดที่ไหลกลับเข้าสู่หัวใจลดลง ความดันโลหิตลดต่ําลง ส่วนใหญ่พบในผู้ที่มีการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังบริเวณคอและกระดูกสันหลังส่วนบน
อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกมักแสดงถึงการบกพร่องของการไหลเวียนโลหิต เนื้อเยื่อต่างๆได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ร่วมกับมีภาวะความดันโลหิตต่ํา กระสับกระส่าย ซึม หมดสติ ชีพจรเบาเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ระดับออกซิเจนในเลือดต่ํา ระบบหายใจล้มเหลว การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ภาวะลิ่มเลือดกระจายทั่วร่างกาย
การรักษา
1.การแก้ไขระบบไหลเวียนโลหิตให้ได้ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีเพียงพอ โดยกําหนดเป้าหมายให้ค่าความดันโลหิตเฉลี่ย (MAP)มากกว่าหรือเท่ากับ 65 mmHg
2.การแก้ไขภาวะพร่องออกซิเจนของเนื้อเยื่อและการลดการใช้ออกซิเจน
3.การรักษาที่เฉพาะเจาะจงตามสาเหตุของภาวะช็อก เช่น การให้ยาปฏิชีวนะ
4.การแก้ไขความผิดปกติของภาวะกรดด่าง
กิจกรรมการพยาบาล
1.การป้องกันเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน ประเมินภาวะขาดออกซิเจน โดยการติดตามสัญญาณชีพทุก 1ชั่วโมง ประเมินระดับความรู้สึกตัว ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง
2.การส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ดูแลจัดท่านอนหงายราบ ยกปลายเท้าสูง 20-30 องศา เพื่อให้เลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจได้ง่ายขึ้น
ประเมินสัญญาณชีพ รวมถึงค่า MAP ทุก 1ชั่วโมงเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย ติดตามค่า CVP (ปกติ 8-12 cmH2O)เพื่อประเมินความเพียงพอของสารน้ํา (keep urine output >= 0.5 ml/kg/hr.)