Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะอาเจียนรุงแรงในระยะตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
ภาวะอาเจียนรุงแรงในระยะตั้งครรภ์
Hyperemesis gravidarum
เป็นภาวะที่สตรีตั้งครรภ์มีอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง และต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจพบตั้งแต่ไตรมาสแรก และต่อเนื่องไปตลอดการตั้งครรภ์ ส่งผลให้ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ อันเป็นสาเหตุของการขาดความสมดุลของสารน้ำและสารอาหารในร่างกาย
อาการและอาการแสดง
มีอาการคลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง เป็นระยเวลานาน อาการรุนแรงเพิ่มมากขึ้นจนไม่สามารถยับยั้งได้
หากอาการไม่รุนแรงมาก สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ น้ำหนักลดลงเล็กน้อย
หากอาการรุนแรงมากขึ้น คือมีอาการอาเจียน 5-10 ครั้ง/วัน หรือมากกว่าเป็นเวลานานจะมีอาการดังนี้
3.1 Malnutrition + BW loss มาก
3.2 Dehydration ได้แก่ อ่อนเพลีย ทำกิจวัตรประจำวันไม่ได้ ริมฝีปากแห้ง ปัสสาวะออกน้อย ความดันโลหิตลดลง หน้ามืด สูญเสียการรับรู้เรื่องบุคคล เวลา และสถานที่
3.3 เกิดความไม่สมดุลของร่างกาย เกิดภาวะ acidosis และ alkalosis และ electrolyte imbalance เช่น ปากคอแห้ง กระหายน้ำ กล้ามเนื้อกระตุก เป็นต้น
3.4 ลมหายใจมีกลิ่น acetone ตรวจพบ ketonruia
3.5 มีอากาและอาการแสดงของกลุ่มอาการ Wenicke's encephalopathy จากการขาดวิตามินบี 1 จะมีอาการ Ophthalmoplegia,gait ataxia,confusion
3.6 มีอาการแสดงด้านจิตใจ เช่น Stress,anxiety,depress
สาเหตุ
ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่อาจเกิดจากปัจจัยส่งเสริมดังนี้
1.ปัจจัยด้านมารดา
ได้แก่
1.1 Estrogen,Human chorinoic gonadotropin เพิ่มมากกว่าปกติ เช่น Multiple pregnancy,Hyperthyroidism,Hydatidiform moles
1.2 มีประวัติแพ้ท้องอย่างรุนแรงในครรภ์ก่อน
1.3 มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารไม่เหมาะสมตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เช่น รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ขาดวิตามินบางชนิด
1.4 มีความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น กระเพาะอาหารหรือลำไส้อักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหารโดยเฉพาะจากเชื้อ Helicobacter pylori
1.5 Progesterone เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ กระเพราะอาหารมีการเคลื่อนไหวลดลง ทำให้หลั่งHydrochloric acidลดลง
1.6 สภาพจิตใจ ความเครียด ความวิตกกังวล ส่งผลให้เกิดการกระตุ้น cerebral cortex และ limbic system ส่งกระแสประสาทความรู้สึกไปยังศูนย์ควบคุมการอาเจียน
2. ปัจจัยด้านทารก
ได้แก่
ทารกมีความผิดปกติเกี่ยวกับโครโมโซม triploidy,trisomy 21 และทารกบวมน้ำ hydrops fetalis
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
1.ผลกระทบต่อมารดา
1.1 ทำให้ร่างกายเกิดการขาดน้ำ อุณหภูมิสูงขึ้น ชีพจรเบาเร็ว มีผลกระทบต่อการทำงานของไต ปัสสาวะออกน้อย มีไข้ ผิวหนังแห้งอ่อนเพลีย
1.2 เกิดภาวะ acidosis,metabolic acidosis
1.3 ถ้ามีอาการรุนแรงมาก เกิด elecrtolyte imbalance,hypokalemia,alklosis
1.4 Malnutrition มีผลกระทบต่อตับ SGOTเพิ่มึ้น มีอาการของการขาดวิตามิน เช่น ชาปลายมือปลายเท้าจากการขาดวิตามินบี1 ,วิตามินซี,วิตามินรวม มีเลือดออกตามไรฟัน จุดเลือดออกทั่วสมอง ทำให้ซึม หมดสติ และเสียชีวิตได้จากภาวะ hepatic corma
2. ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
2.1 หากสตรีตั้งครรภ์มีน้ำหนักลดลงมาก จะทำให้ทารกในครรภ์เติบโตช้า และน้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่าปกติ
2.2 หากสตรีตั้งครรภ์อาการรุนแรงมาก เกิดภาวะเป็นกรดในร่างกาย อาจทำให้ทารพมีอาการทางสมอง
2.3 อาจทำให้แท้ง คลอดก่อนกำหนด ทารกอาจตายคลอด และทารกพิการ
การวินิจฉัย
ซักประวัติ ตรวจร่างกาย ประเมินอาการและอาการแสดงของการอาเจียนรุนแรง การขาดสารน้ำขาดสารอาหาร และสภาพจิตใจ
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ
2.1 การตรวจเลือด พบ Hct,BUN,Cl,และLFT สูง และพบ Na,K,และProtein ต่ำ
2.2 พบมีความถ่วงจำเพาะสูง albumin เพิ่มขึ้น พบKetonuria ถ้ามีอาการรุนแรงมาก อาจพบน้ำดีในปัสสาวะได้
การตรวจพิเศษ Twin pregnancy, molar pregnancy, tirsomy 21, hydrops fetalis
แนวทางการรักษา
ควรวินิจฉัยแยกโรคจากอาการของโรคอื่นๆ เช่น โรคตับอักเสบ โรคกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ เป็นต้น
หากอาการไม่รุนแรงสามารถรับประทานอาการได้ แนะนำให้รับประทานอาหารที่มี K และ Mg
หากอาการรุนแรงมาก ควร NPO และรีบแก้ไขภาวะขาดน้ำ ความไม่สมดุลของเกลือแร่ และความเป็นกรด-ด่าง โดยการให้สาร้ำ 5% D/Nss 1,000 ml. (IV) ได้รับ parenteral nutrition therapy โดยต้องให้แคลอรี่มากกว่า 2,000แคลอรี่/วัน ซึ่งต้องมีกรดอะมิโน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่
การรักษาด้วยยา ได้แก่
4.1 ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ได้แก่ Metoclopramide 5-10 mg. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 6-8 ชั่วโมง หรือ Promethazine 12.5-25 mg. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 4-5 ชั่วโมง
4.2 วิตามิน ได้แก่ วิตามินบี 6 10-25 mg. 1 เม็ด รับประทาน 3-4 ครั้ง/วัน ไม่ควรเกิน 200 mg./วัน
4.3 ยาคลายกังวล และยานอนหลัง ได้แก่ Diazepan 2 mg. 1 เม็ด
เมื่ออาการแพ้ท้องรุนแรงดีขึ้น ให้คำแนะนำ ดังนี้
5.1 ให้รับประทานอาหารอ่อน ครั้งละน้อยแต่บ่อยครั้งทุก 2-3 ชั่วโมง ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ขนมปังกรอ หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด อาหารมัน
5.2 รับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของขิง จะช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้
หลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อม และสิ่งกระตุ้นที่ทำให้คลื่นไส้อาเจียน เช่น กลิ่น ความร้อน ความชื้น เป็นต้น
กรณีที่รักษาด้วยวิธีต่างๆแล้วอาการไม่ดีขึ้น ต้องทำการวินิจฉัยเพื่อค้นหาสาเหตุของโรคที่แท้จริง
การพยาบาล
1. การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยนอก
1.1 อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์เข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดภาวะอาเจียนรุนแรง และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
1.2 แนะนำวิธีการป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียน ได้แก่
การรับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง ไม่ควรให้กระเพาะอาหารว่าง อาจทำให้คลื่นไส้อาเจียน
งดอาหารไขมัน เพราะย่อยมาก ทำให้คลื่นไส้ ควรรับประทานอาหารแข็ง ย่อยยาก เช่น ขนมปังปิ้ง เพื่อลดการอาเจียน
รับประทานอาหารเหลว หรือดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหารแทนการดื่มพร้อมรับประทานอาหาร เพราะจะทำให้กระเพาะอาหารยืดขยายมาก
หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและอาหารที่มีกลิ่นแรง
หลังรับประทานอาหารไม่ควรนอนทันที เพื่อป้องกันการไหลท้นกลับของน้ำย่อย
ดูแลความสะอาดของปากและฟัน บ้วนปากบ่อยๆ ไม่ควรให้ปากแห้งแตกและสกปรก
แนะนำการพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง
1.3 แนะนำให้จิบเครื่องดื่มอุ่นๆ เช่น น้ำขิง เป็นต้น
1.4 รับประทานอาหารแข็งที่ย่อยง่าย เพื่อให้กระเพาะอาหารเก็บอาหารได้นานขึ้น
1.5 แนะนำให้รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เข่น น้ำหวาน นม น้ำผลไม้ เป็นต้น
1.6 แนะนำให้รับประทานผลไม้ เช่น ลูกพรุน มะละกอสุก ส้ม กล้วย เป็นต้น
1.7 แนะนำวิธีการรับประทานยาแก้อาเจียนตามแผนการรักษา
1.8 สอนวิธีการประเมินโภชนาการ การคำนวณ พลังงานที่ได้รับจากอาหารที่บริโภค
1.9 ให้คำปรึกษาในการปรับแบบแผนการรับประทานอาหาร เพื่อให้ได้พลังงานที่เพียงพอ
1.10 ช่วยประคับประคองด้านจิตใจ โดยเปิดโอกาสให้สตรีตั้งครรภ์ได้พูดถึงปัญหา เพื่อให้การแก้ไข
1.11 แนะนำให้มาพบแพทย์เมื่อมีอาการคลื่นไส้อาเจียนมากขึ้น
2. การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
2.1 ดูแลให้ NPO อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
2.2 หลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุนให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน เช่น กลิ่น อาหารมัน อาหารรสจัด
2.3 ดูและความสะอาดของช่องปากและฟัน ขณะที่ NPO หรือหลังอาเจียน
2.4 ดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำทดแทนประมาณ 3,000 ml. ใน 1 ชั่วโมง ตามแผนการรักษาของแพทย์
2.5 ดูแลให้ยาลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ตามแผนการรักษา
2.6 บันทึกปริมาณน้ำเข้าออกจากร่างกาย urine output ไม่น้อยกว่า 1,000 ml. ต่อวัน
2.7 จัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาด เงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อน
2.8 เมื่ออาการดีขึ้น ให้เริ่มรับประทานอาหารมื้อละน้อยแต่บ่อยครั้ง
2.9 ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก จำเป็นต้องให้อาหารทางสายยาง หรือสารน้ำทดแทน โดยเป็นอาหารเหลวที่มีแคลอรี่และวิตามินสูง
2.10 ติดตามชั่งน้ำหนัก เพื่อประเมินว่าได้รับสารน้ำและอาหารเพียงพอหรือไม่
2.11 ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และรายงานแพทย์ให้ทราบทันที
2.12 แนะนำให้คู่สมรสหรือบุคคลในครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลช่วยเหลือสตรีตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิด
2.13 ดูแลด้านจิตใจโดยการอยู่เป็นเพื่อน ให้กำลังใจ เปิดโอกาสให้ซักถาม หลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียด
2.14 ปรึกษาและส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษา เพื่อแก้ไขปัญหาด้านจิตใจ
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์เมื่อกลับไปอยู่บ้าน
แนะนำการรับประทานอาหาร โดยปรับเปลี่ยนแผนการรับประทานอาหารครั้งละน้อยแต่บ่อยครั้ง เป็นอาหารที่ย่อยง่าย มีโปรตีนสูง
แนะนำให้ดื่มน้ำอุ่นทันทีที่ตื่นนอนประมาณครึ่งแก้ว แล้วนอนต่ออีกประมาณ 15 นาที ก่อนลุกขึ้นปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน
แนะนำให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ อย่างน้อย 8 ชั่วโมงในเวลากลางคืน และกลางวันอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
แนะนำการออกกำลังกายหรือกายบริหารเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ
แนะนำให้หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้เกิดความเครียด ทำจิตใจให้สบาย เช่น ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ และทำสมาธิ
อธิบายให้คู่สมรสและครอบครัวเข้าใจถึงภาวะที่เกิดขึ้น และให้การช่วยเหลือสตรีตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิด
แนะนำให้เห็นความสำคัญของการตรวจตามนัดอย่างสม่ำเสมอ และสังเกตอาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์ก่อนวันนัด