Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorders of pregnancy) - Coggle…
ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorders of pregnancy)
สาเหตุและพยาธิกําเนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ระยะที่ 1 ระยะก่อนแสดงอาการ เป็นระยะที่เกิด ความผิดปกติที่รก ซึ่งมักเกิดขึ้นตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์โดยการพัฒนาการตามปกติของรก เซลล์ cytotrophoblasts ของทารกจะรุกล้ำเข้าไปใน maternal spiral arteries และมี remodeling of spiral arterioles โดยเซลล์ cytotrophoblasts ส่วนนี้จะมีการปรับเปลี่ยนจากลักษณะเนื้อเยื่อบุ ผิวไปเป็นลักษณะเนื้อเยื่อบุโพรงหลอดเลือด
ระยะที่ 2 ระยะแสดงอาการ รกที่ขาดออกซิเจนจะมีการหลั่งสารต่าง ๆ ออกมาในกระแสเลือด ที่สําคัญคือ proinflammatory และ antiangiogenic factors ทําให้เซลล์บุ โพรงหลอดเลือดบาดเจ็บ และขาดเลือด เกิดความผิดปกติในการทําหน้าที่ของเนื้อเยื่อบุโพรงหลอด เลือด (endothelial dysfunction) กระตุ้นให้เกิดภาวะ oxidative stress ซึ่งภาวะนี้เป็นจุดเริ่มต้น ของการปล่อย placental factors ต่าง ๆ เข้าไปในในระบบไหลเวียนของมารดา รวมทั้งสารสําคัญที่ เชื่อว่าเป็นต้นกําเนิดของภาวะครรภ์เป็นพิษ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
สตรีอายุมากขึ้นตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป
ดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 kg/m2 ขึ้นไป หรืออ้วน
ผ่านการคลอดบุตรคนก่อนมาอย่างน้อย 10 ปี มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
การตั้งครรภ์แฝดจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่าครรภ์แฝดสอง
ประวัติครรภ์เป็นพิษในครรภ์ก่อน มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 7 เท่า
ประวัติพันธุกรรมครรภ์เป็นพิษในครอบครัวของสตรีตั้งครรภ์โดยเฉพาะมารดา
สตรีที่ไม่เคยคลอดบุตรมาก่อน
ประวัติมีความเจ็บป่วยทางอายุรกรรมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง
โรคเบาหวาน
ความผิดปกติทางสูติกรรม เช่น กลุ่มอาการถุงน้ํารังไข่หลายใบ
ภาวะโภชนาการบกพร่อง เช่น ขาดวิตามินซี วิตามินอี ขาดแคลเซียม
ความหมายของภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ภาวะความดันโลหิตสูงหลังคลอดความดันโลหิตสูงขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ หลังคลอด ถึง 6 เดือนหลังคลอดจากนั้นความดันโลหิตกลับสู่ปกติในปลายปีแรก
ภาวะความดันโลหิตสูงเนื่องจากการตั้งครรภ์ พบในระยะครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ อาจ พบร่วมกับการมีโปรตีนในปัสสาวะ และ/หรือมีอาการบวม
ภาวะความดันโลหิตสูง หมายถึง ค่าความดันโลหิตช่วงหัวใจบีบตัว อย่างน้อย 140 mmHg. หรือค่าความดันโลหิตช่วงหัวใจคลายตัวอย่าง น้อย 90 mmHg
ผลกระทบต่อภาวะสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
น้ําท่วมปอด หรือปอดบวมน้ํา
เลือดออกในสมอง (cerebral henorrhage)
ไตวายเฉียบพลัน เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง
เลือดออกในตับจนมีการตายของเซลล์ตับ หรือตับวาย (hepatic failure)
หัวใจล้มเหลว จากการมี venous return เพิ่มอย่างรวดเร็ว
เกล็ดเลือดต่ำ
หัวใจขาดเลือด
การหลุดของเรตินา (retina detachment) ทําให้ตาบอดชั่วคราวได้
เลือดแข็งตัวผิดปกติ (DIC)
หลอดเลืออุดตัน (deep venous thrombosis)
รกลอกตัวก่อนกําหนด
อันตรายจากการชัก เช่น สําลักเศษอาหารเข้าหลอดลม กัดลิ้น ข้อเคลื่อน กระดูกหัก เป็นต้น
ผลกระทบต่อทารก
ทารกคลอดก่อนกําหนด
แท้งหรือเสียชีวิตในครรภ์
ขาดออกซิเจน เลือดเป็นกรด
ทารกตายในครรภ์เฉียบพลันหรือตายในระยะแรกเกิด
กรณีที่ได้รับการรักษาด้วย magnesium sulfate ในระยะคลอด ซึ่งยานี้ผ่านรกไปสู่ทารก
ได้ ทารกแรกเกิดอาจมีรีเฟล็กซ์ และการหายใจไม่ดี แต่อาการเหล่านี้จะค่อยๆหายไปภายใน 3-4 วัน
ทารกโตช้าในครรภ์
อาการและอาการแสดง
ภาวะ preeclampsia
อาการแสดง
Eclampsia คือ มีอาการชักแบบชักทั้งตัว
เลือดออกในสมอง
น้ําท่วมปอด
ตาบอดจากพยาธิสภาพของครรภ์เป็นพิษในสมอง
Systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ Diastolic BP ≥ 110 mmHg.
อาการ
เกล็ดเลือดต่ำมี platelet count < 100,000 ต่อไมโครลิตร
ระบบการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
การทํางานของตับผิดปกติ ระดับเอนไซม์ AST และ/หรือ ALT สูงกว่า 70 IU/L
HELLP syndrome เป็นภาวะแทรกซ้อน หรือเป็นกลุ่มอาการที่แสดงถึงความ รุนแรงของภาวะครรภ์เป็นพิษ
ภาวะไตวาย serum creatinine ≥ 1.1 mg/dL.
ภาวะ Eclampsia
ระยะชักเกร็ง (Stage of contraction มีอาการเกร็งกล้ามเนื้อทั่ว ร่างกาย ลําตัวเหยียด ศีรษะหงายไปด้านหลัง ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 15- 10 วินาที
ระยะชักกระตุก (Stage of convulsion การที่ร่างกายเกร็งกระตุกอย่างแรง อาจทําให้เกิดแรง ดีดตัว จึงอาจตกเตียงหรือกระทบถูกของแข็ง เกิดกระดูกหักได้ การเกร็งกระตุกของกล้ามเนื้อจะ ค่อยๆ เบาลงจนหายไป ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที
ระยะหมดสติ (coma) เกิดภายหลังการชักกระตุก นอนนิ่งไม่ เคลื่อนไหวอยู่ในสภาพหมดแรง อาจมีอาการหยุดหายใจเป็นบางครั้ง ทําให้คาร์บอนไดออกไซด์คั่งเกิด ภาวะ repiratory acidosis ร่างกายมีการปรับโดยการหายใจเร็ว
ระยะก่อนชัก (Premonitoring stage) อาการแสดงบอกล่วงหน้า (aura) เช่น กระสับกระส่าย
ระยะเริ่มแรกของอาการชัก (Stage of invasion) มีอาการกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า และมุมปากกระตุก ริมฝีปากเบี้ยว ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 2-3 วินาที
ชนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ภาวะความดัน โลหิตสูงที่เป็นมาก่อนการตั้งครรภ์ หรือวินิจฉัยได้ก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ โดยที่ความดันโลหิตสูง เกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่ gestational trophoblastic diseases
ครรภ์เป็นพิษ หรือ ภาวะครรภ์เป็นพิษระยะก่อนชัก กลุ่มอาการ (syndrome) ของความดันโลหิตที่พบครั้งแรกในขณะตั้งครรภ์หลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ ร่วมกับมี โปรตีนในปัสสาวะอย่างน้อย 300 มิลลิกรัมในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง และภาวะความดันโลหิตสูงคงอยู่ไม่ เกิน 12 สัปดาห์หลังคลอด
ความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ ภาวะความดัน โลหิตสูงที่วินิจฉัยได้ครั้งแรกในระหว่างการตั้งครรภ์หลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ โดยไม่มีโปรตีนใน ปัสสาวะ หรือมีโปรตีนในปัสสาวะน้อยกว่า 300 mg. ในปัสสาวะในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง และความดัน โลหิตกลับสู่ระดับปกติภายใน 12 สัปดาห์หลังคลอด
ครรภ์เป็นพิษซ้อนทับกับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง สตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรัง เมื่อตั้งครรภ์แล้วพบมี ภาวะครรภ์เป็นพิษแทรกซ้อน การวินิจฉัยภาวะ superimposed preeclampsia ในสตรีความดัน โลหิตสูงเรื้อรังที่ไม่เคยมีโปรตีนในปัสสาวะก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์
พยาธิสรีรภาพของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ระบบตับ (hepatic system)
ระบบประสาท (neurological system)
ระบบเลือดและการแข็งตัวของเลือด (hematologic and coagulation system)
ระบบการมองเห็น (visual system)
ระบบหัวใจและปอด (cardiopulmonary system)
รก และมดลูก (placenta and uterus)
ระบบไต (renal system)
การประเมินและวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย
การประเมินระดับรีเฟล็กซ
ระดับ 1 = มี reflex ลดลงหรือน้อยกว่าปกติ
ระดับ 2 = มี reflex ปกติ
ระดับ 3 = มี reflex ไวกว่าปกติ บ่งชี้ว่าอาจมีภาวะโรค
ระดับ 4 = มี reflex ไวมาก hyperactive มีการชักกระตุก บ่งชี้ว่ามีภาวะโรค
ระดับ 0 = ไม่มี reflex หรือ ไม่มีการตอบสนอง
การประเมินอาการบวม มักสังเกตได้ในไตรมาส3
2+ = บวมที่ขาทั้ง 2 ข้างบริเวณ lower extremities ค่อนข้างมาก
3+ = บวมชัดเจนบริเวณใบหน้า มือ ผนังหน้าท้องส่วนล่างและบริเวณ sacrum
1+ = บวมเล็กน้อยบริเวณเท้าและหน้าแข้ง
4+=บวมชัดเจนทั่วทั้งตัวมaีscitesเนื่องจากมีการสะสมของน้ําบริเวณperitoneal
cavity
การประเมินความดันโลหิต วัด ในท่านั่งที่สบาย หลังพิงพนัก ไม่ นั่งไขว้ขา พัน cuff ให้ตรงกลางอยู่ตรวจหรือแนวเดียวกับระดับหัวใจห้องบนขวา
ประเมินอาการบวมกดบุ๋ม
2+ = บุ๋มจากผิวหนังประมาณ 4 มิลลิเมตรและหายไปภายใน 10-15 วินาที
3+ = บุ๋มจากผิวหนังประมาณ 6 มิลลิเมตรและหายไปใช้เวลา > 1 นาที
1+ = บุ๋มจากผิวหนังประมาณ 2 มิลลิเมตรและหายไปอย่างรวดเร็ว
4+ = บุ๋มจากผิวหนังประมาณ 8 มิลลิเมตรและหายไปใช้เวลา 2-3 นาที
ประเมินการเปลี่ยนแปลงของน้ําหนัก
ค่าระหว่าง 19.8 - 26.00 น้ําหนักปกติ
ค่าระหว่าง 26.00 – 29.00 น้ําหนักตัวมาก
ค่าน้อยกว่า19.8 ถือว่าน้ําหนักตัวน้อย
ค่ามากกว่า 29.00 เป็นกลุ่มอ้วน (obese)
การซักประวัติ
ประวัติอาการและอาการแสดงของภาวะ preeclampsia เช่น ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว
ซักประวัติเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงเช่นความดันโลหิตสูง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ CBC, platelet count, liver function test, renal functiontest และตรวจ cogulation profile เพราะอาจพบปัจจัยการแข็งตัวของเลือดบางตัวลดลง
การตรวจพิเศษ การตรวจพิเศษเพื่อทํานายการเกิด preeclampsia
Isometric exercise เป็นการทดสอบโดยให้สตรีตั้งครรภ์เกร็งกล้ามเนื้อแขน
Doppler velocimetry เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงตรวจการไหลเวียนเลือดของ หลอดเลือดแดงในมดลูก
Roll over test ค่า diastolic pressure ขณะนอนหงายสูงกว่าขณะนอนตะแคงซ้าย 20 mmHg หรือมากกว่า หมายถึงผลเป็นpositiveซ่งึจะมีพัฒนาการของภาวะครรภ์เป็นพิษ
Specific blood testing เช่น การตรวจหาระดับ angiogenic factors,
Angiotensin sensitivity test วัดระดับความดันโลหิต ในสตรีที่มีโอกาสเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
จะพบว่าความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ
Mean arterial blood pressure (MAP) ถ้าพบว่ามีค่าเฉลี่ยมากกว่า 90 mmHg. แสดง ว่าสตรีตั้งครรภ์รายนั้นมีความเสี่ยงสูง การคํานวณค่า MAP จากสูตร คือ
MAP = [ (2 X diastolic BP + systolic BP) / 3]
แนวทางการรักษา
การรักษา preeclampsia with severe features
ประเมินอาการแสดงของ Mg toxicity เป็นระยะ อย่างน้อยชั่วโมงละครั้ง
ให้ยาลดความดันโลหิตเมื่อ systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ diastolic BP ≥ 110
mmHg.
ประเมินความดันโลหิตทุก 15 นาที จนกว่าจะคงที่ จากนั้นประเมินทุก 1 ชั่วโมง จนกระทั่งคลอด
เริ่มให้ยา magnesium sulfate (MgSO4) ทางหลอดเลือดดําทันที เพื่อป้องกันการชัก
ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อยืนยันอายุครรภ์ ตรวจแยกโรค หากไม่พบ molar pregnancy และ fetal hydrops ให้ประเมิน fetal growth parameters และ AFI
การยุติการตั้งครรภ์ มักเริ่ม induction ภายหลังจากที่ดูแลรักษาอาการต่างๆ คงที่แล้ว โดยการเจาะถุงน้ําคร่ำและให้ oxytocin ซึ่งต้องระวัง antidiuretic effect ด้วย
การรักษา eclampsia
ให้ยาลดความดันโลหิตเมื่อ systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ diastolic BP ≥ 110 mmHg.
ติดตามและตรวจสอบอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ควบคุมสัญญาณชีพ โดยเฉพาะการหายใจ
ให้ยาลดความดันโลหิตเมื่อ systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ diastolic BP ≥ 110 mmHg.
ตรวจสอบภาวะ oliguria หรือ anuria โดยคาสายสวนปัสสาวะ และวัดปริมาณปัสสาวะ ทุกชั่วโมง
หากชักในขณะได้ MgSO4 อยู่ ให้เจาะเลือดเพื่อตรวจหา Mg level ทันที
ไม่ควรใช้ยา diazepam เนื่องจากจะกดระดับความรู้สึก
ควบคุมการชักและป้องกันการชักซ้ำโดยให้ MgSO4 loading dose ตามด้วย maintenance dose ให้ทางหลอดเลือดดํา
Eclampsia ที่มีการเจ็บครรภ์คลอด ห้ามใช้ยา tocolytic drug ในทุกกลุ่มอายุ
เฝ้าระวังการตกเลือดหลังคลอด
เริ่มกระบวนการ augmentation of labor พิจารณาช่วยคลอดด้วยคีมหรือเครื่องดูด
สุญญากาศ
ให้ magnesium sulfate ต่อไปจนครบ 24 ชั่วโมงหลังคลอด
การรักษา preeclampsia without severe features
ให้นอนพักไม่จําเป็นต้องให้ยากล่อมประสาท
ประเมินความดันโลหิตทุก 4 ชั่วโมง
ตรวจโปรตีนในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ควรตรวจอย่างน้อย 3 วัน
ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อประเมินหรือยืนยันอายุครรภ์ แยกโรค molar
pregnancy และ fetal hydrops
ซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด เจาะเลือดส่งตรวจ
กรณีอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ และมี preterm labor พิจารณาให้ glucocorticoid เพื่อกระตุ้น fetal lung maturity
ดูแลควบคุมไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น เฝ้าระวัง การเกิด sever features
ให้รับประทานอาหารธรรมดา บันทึก intake และ output และชั่งน้ําหนักทุก 2 วัน
ยาที่ใช้ในการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ยาป้องกันการชัก (anticonvulsant)
การบริหารยา
จากนั้น maintenance dose ด้วย 50% MgSO4 ปริมาณ 10-20 gm. ในสารละลาย 5% D/W 1,000 ml. หยดทางหลอดเลือดดําในอัตรา 2 gm. ต่อชั่วโมง
ควรให้ยานี้ต่ออย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงหลังคลอด หรือจนกระทั่งปัสสาวะออก มากกว่า 100 ml. ต่อ ชั่วโมง
เริ่มให้ loading dose ด้วย 10% MgSO4 ปริมาณ 4-6 gm. ทางหลอดเลือดดําช้า ๆ นาน 15-20 นาที ด้วยอัตราไม่เกิน 1 gm. ต่อนาที
กรณีเกิดการชักซ้ำ ควรให้ MgSO4 ซ้ําทางหลอดเลือดดํา ปริมาณ 2-4 gm. เป็น เวลานาน 5 นาที
ผบข้างเคียง
MgSO4 ขับออกทางไต ในกรณีที่หลอดเลือดทั่วร่างกายมีการหดรัดตัวจนปัสสาวะ ออกน้อยลง อาจทําให้เกิดการสะสมของ magnesium ในกระแสเลือด
ผลข้างเคียงอื่น ๆ ได้แก่ อาการร้อนวูบวาบทั้งตัว เซื่องซึมและง่วงนอน มีเหงื่อออก มาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง รีเฟล็กซ์ลดลง อุณหภูมิร่างกายต่ำลง ปัสสาวะออกน้อย คลื่นไส้ อาเจียน
MgSO4 ออกฤทธิ์ทําให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว จึงทําให้กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวตาม ธรรมชาติไม่ดีเมื่อเข้าสู่ระยะคลอด
ยาลดความดันโลหิต (antihypertensive dtrugs)
Nifedipine (Adalat®)
การบริหารยา
รูปแบบยารับประทานเท่านั้น นิยมให้ยาขนาด 10-20 mg. และให้ยาซ้ำได้ทุก 15-30 นาที โดยขนาดยามากที่สุดที่รับได้ต้องไม่เกิน 50 mg.
ไม่ควรให้ยาแบบอมใต้ลิ้น เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตต่ำจนเกิดอันตรายได้
หากระดับความดันโลหิตยังที่วัดซ้ำยังอยู่ที่ระดับ 140/100 mmHg. ระดับยาที่ได้รับ ไมค่วรเกิน120mg/24hr.
ผลข้างเคียง
ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ใจสั่น คลื่นไส้ เหงือกอักเสบ ท้องผูก สิ่งที่ควรระวังมากที่สุดคือการที่ค่าความดันโลหิตลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว
ออกฤทธิ์ในการลดความดันโลหิตโดยการป้องกัน calcium เข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด ทําให้กล้ามเนื้อหัวใจทํางานน้อยลง อัตราการเต้น ของหัวใจลดลง และออกฤทธิ์ทําให้หลอดเลือดส่วนปลายคลายตัว
Labetalol (Avexor®)
การบริหารยา
เริ่มให้ยาครั้งแรกที่ขนาด 20 mg. เข้าหลอดเลือดดําช้าๆ นาน 2 นาที แล้ววัดความ ดันโลหิตซ้ำทุก 10 นาท
หากความดันโลหิตยังไม่ลดให้ซ้ำได้ทุก 10-15 นาที ในขนาด 40, 80, 80, และ 80 mg. ตามลําดับ แต่ขนาดยารวมกันต้องไม่เกิน 220-300 mg.
ผลข้างเคียง
ความดันโลหิตต่ํา เวียนศีรษะ คลื่นไส้ คัดจมูก หายใจลําบาก เหนื่อยล้า ปฏิกิริยาภูมิไวเกิน ภาวะหัวใจล้มเหลว
ยาออกฤทธิ์กดทั้ง alpha และ beta adrenergic receptors โดยออกฤทธิ์ยับยั้งระบบ ประสาท syspathetic ส่วนปลาย มีผลลดความต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลาย
Hydralazine (Apresoline® หรือ Nepresol®)
การบริหารยา
หลังจากนั้น 20 นาที หาก diastolic BP > 110 mmHg ให้ยาซ้ำได้อีก 10 mg. ทุก 20 นาที จนกว่าค่า diastolic BP อยู่ระหว่าง 90-100 mmHg ควรระวังไม่ให้ diastolic BP ลดต่ำ กว่า 90 mmHg.
เริ่มให้ยาครั้งแรกขนาด 5 mg. ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดําใน 2 นาที แล้วประเมินความ ดันโลหิตทุก 5 นาที หลังฉีด
ผลข้างเคียง
ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม คลื่นไส้ อาเจียน ใจสั่น หัวใจเต้นผิดปกติ จังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ
ยาออกฤทธิ์โดยตรงที่กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด ทําให้หลอดเลือดคลายตัวมีผลทําให้ ความดันโลหิตลดลง cardiac output มากขึ้น และเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงรกดีขึ้น
การพยาบาลสตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ preeclampsia with severe features
ดูแลให้ยาป้องกันชัก MgSO4 ตามแผนการรักษา และให้การดูแลภายหลังให้ยา
ดูแลให้ยาลดความดันโลหิตตามแผนการรักษา เช่น hydralazine
ประเมินอาการนําก่อนการชัก
ดูแลและส่งเสริมการขับสารน้ําออกจากร่างกาย โดยให้นอนตะแคงซ้าย บันทึกปริมาณ สาน้ําเข้าและออกจากร่างกาย
บันทึกปริมาณสารน้ําเข้าและออกในแต่ละวัน
ติดตามประเมินระดับ oxygen saturation ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ (ร้อย ละ 97)
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตทุก 1 ชั่วโมง
ดูแลให้ทารกปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน
ดูแลให้นอนพักบนเตียงอย่างเต็มที่ จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบทั้งแสงและสิ่งรบกวน
ดูแลให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงอย่างปลอดภัยเฝ้าประเมิณอย่างใกล้ชิด
ประคับประคองด้านจิตใจ อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเข้าใจถึงการดําเนิน
ของโรค
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ eclampsia
บันทึกปริมาณสารน้ําเข้าและออกจากร่างกาย
สังเกตและบันทึกอาการทางสมอง ได้แก่ ระดับความรู้สึกตัว ขนาดของ pupil และการ
ตอบสนองต่อแสง การเคลื่อนไหวของลูกตา
ประเมินสัญญาณชีพเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมง
สังเกตและบันทึกอาการนําของการชัก ระยะเวลาของการชัก ระยะเวลาที่หยุดหายใจ
ระดับความรู้สึกตัว
ให้ออกซิเจนขณะชัก และภายหลังชัก และประเมินความรุนแรงของการขาดออกซิเจน
รายงานแพทย์เมื่อมีอาการนําของการชักหรือขณะชัก และดูแลให้ได้รับยาระงับการชัก
จัดให้นอนตะแคง ใส่ไม้กั้นเตียง โดยใช้หมอนรองรับรอบด้าน เพื่อป้องกันอันตรายจาก การชัก
ให้งดอาหารและน้ําตามแผนการรักษา
ใส่ oral airway หรือ mouth gag เพื่อป้องกันไม่ให้กัดลิ้นและความสะดวกในการดูด เสมหะและน้ําลาย เพื่อป้องกันการสําลัก
จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ และลดสิ่งกระตุ้นให้เกิดการชัก
ประเมินอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์เป็นระยะ การหดรัดตัวของมดลูก
ความก้าวหน้าของการคลอด
เตรียมสตรีตั้งครรภ์เพื่อคลอดตามสถานการณ์ เช่น การคลอดด้วยสูติศาสตร์หัตถการ
ทางช่องคลอด หรือการผ่าตัดคลอด
ดูแลป้องกันการชักซ้ำและดูแลป้องกันการตกเลือดภายหลังคลอด
ดูแลทารกแรกเกิด ซึ่งอาจมีภาวะขาดออกซิเจน คลอดก่อนกําหนด หรือน้ําหนักแรกเกิดน้อย
ฝ
การพยาบาลสตรีที่มีภาวะ preeclampsia without severe features
เฝ้าระวัง ติดตาม อาการและอาการแสดงของ preeclampsia ที่รุนแรงขึ้น
ดูแลให้รับประทานอาหารธรรมดา บันทึกสารน้ําเข้าและออกจากร่างกาย และชั่งน้ําหนัก
ดูแลและติดตามประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
ดูแลติดตามการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตทุก 4 ชั่วโมง
ประเมินและให้การประคับประคองสภาวะทางอารมณ์ และจิตใจอย่างเหมาะสม
ดูแลให้นอนพักบนเตียง (bed rest) ในท่านอนตะแคงซ้าย